อรรถกถา_มหาสติปัฏฐานสูตร_ฉบับปรับสำนวน

อ.เหตุเกิดพระสูตร

คำว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้ นี้หมายถึง มหาสติปัฏฐานสูตร.

ในมหาสติปัฏฐานสูตรนั้น มีอธิบายบทแรกว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หนทางเดียว คือ (สัมมาสติ)มรรค" ดังนี้

พระพุทธเจ้าตรัสแสดงพระสูตรนี้ทำไม? เพราะชนชาวแคว้นกุรุสามารถรับเทศนาที่ลึกซึ้งนี้ได้.

เล่ากันว่า ชาวแคว้นกุรุ ไม่ว่าเป็นภิกษุ ภิกษุณี และอุบาสก อุบาสิกา มีร่างกายและจิตใจสมบูรณ์อยู่เป็นนิจ ด้วยเสพปัจจัย คือฤดูเป็นที่สบาย เพราะแคว้นนั้นสมบูรณ์ด้วยสัปปายะ มีอุตุสัปปายะเป็นต้น.ชาวกุรุนั้นมีกำลังปัญญาอันร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์เกื้อกูลอยู่แล้ว จึงสามารถรับเทศนาที่ลึกซึ้งนี้ได้. เพราะฉะนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นความเป็นผู้สามารถรับเทศนาที่ลึกซึ้งอันนี้ จึงทรงยกกัมมัฏฐาน 21 ฐานะ ใส่ลงในพระอรหัต ตรัสมหาสติปัฏฐานสูตรที่มีอรรถอันลึกซึ้งนี้ แก่ชาวกุรุเหล่านั้น. เปรียบเสมือนบุรุษได้ผอบทองแล้ว พึงบรรจงใส่ดอกไม้นานาชนิดลงในผอบทองนั้น หรือว่าบุรุษได้หีบทองแล้ว พึงใส่รตนะ 7 ลงฉันใดแม้พระผู้มีพระภาคเจ้าฉันนั้น ทรงได้บริษัทชาวกุรุแล้ว จึงทรงวางเทศนาที่ลึกซึ้ง.

ด้วยเหตุนั้นแล ในข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงพระสูตรอื่นๆ อีก มีอรรถอันลึกซึ้งในคัมภีร์ทีฆนิกายนี้ ก็คือมหานิทานสูตรในคัมภีร์มัชฌิมนิกาย ก็คือ สติปัฏฐานสูตร สาโรปมสูตร รุกโขปมสูตร รัฏฐปาลสูตร มาคัณฑิยสูตร อาเนญชสัปปายสูตร.

อนึ่ง บริษัท 4 ในแคว้นกุรุนั้น ต่างประกอบเนืองๆ ในการเจริญสติปัฏฐานอยู่โดยปกติ โดยที่สุด คนรับใช้และคนงานทั้งหลาย ก็พูดกันแต่เรื่องที่เกี่ยวด้วยสติปัฏฐานกันทั้งนั้น แม้แต่ในที่ท่าน้ำ ที่กรอด้ายเป็นต้น ก็ไม่มีการพูดกันถึงเรื่องที่ไร้ประโยชน์เลย.ถ้าสตรีบางท่านถูกถามว่า คุณแม่จ๊ะ คุณแม่ใสใจสติปัฏฐานข้อไหน นางจะไม่ตอบว่าอะไร ชาวกุรุจะติเตียนเขาว่าน่าตำหนิชีวิตของเจ้าจริงๆเจ้าถึงเป็นอยู่ ก็เหมือนตายแล้ว ต่อนั้นก็จะสอนเขาว่า อย่าทำอย่างนี้อีกต่อไปนะ แล้วให้เขาเรียนสติปัฏฐานข้อใดข้อหนึ่ง.แต่สตรีผู้ใดพูดว่า ดิฉันใส่ใจสติปัฏฐานข้อโน้นเจ้าค่ะ ชาวกุรุก็จะกล่าวรับรองว่า สาธุ สาธุ แก่นาง สรรเสริญด้วยถ้อยคำต่างๆ เป็นต้นว่า ชีวิตของเจ้าเป็นชีวิตดีสมกับที่เจ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติมาเพื่อประโยชน์แก่เจ้าแท้ๆ.

ในข้อนี้ มิใช่ชาวกุรุที่เกิดมาเป็นมนุษย์ประกอบด้วยการใส่ใจสติปัฏฐาน แต่พวกเดียวเท่านั้น แม้แต่สัตว์ดิรัจฉาน ที่อาศัยชาวกุรุอยู่ก็ใส่ใจ เจริญสติปัฏฐานด้วยเหมือนกัน.

ในข้อนั้น มีเรื่องสาธกดังต่อไปนี้.

เรื่องลูกนกแขกเต้า

เขาเล่าว่า นักฟ้อนรำผู้หนึ่งจับลูกนกแขกเต้าได้ตัวหนึ่ง ฝึกสอนมันพูดภาษาคน (ตัวเองเที่ยวไปแสดงการฟ้อนรำในที่อื่นๆ).นักฟ้อนรำผู้นั้นอาศัยสำนักของนางภิกษุณีอยู่ เวลาไปในที่อื่นๆ ลืมลูกนกแขกเต้าเสียสนิทแล้วไป. เหล่าสามเณรีก็จับมันมาเลี้ยงตั้งชื่อมันว่า พุทธรักขิต.

วันหนึ่ง พระมหาเถรีเห็นมันจับอยู่ตรงหน้า จึงเรียกมันว่า พุทธรักขิต. ลูกนกแขกเต้าจึงขานถามว่า อะไรจ๊ะ แม่เจ้า. พระมหาเถรีจึงถามว่า การใส่ใจภาวนาอะไรๆ ของเจ้ามีบ้างไหม. มันตอบว่า ไม่มีจ๊ะ แม่เจ้า.พระมหาเถรีจึงสอนว่า ขึ้นชื่อว่าผู้อยู่ในสำนักของพวกนักบวช จะปล่อยตัวอยู่ไม่สมควร ควรปรารถนาการใส่ใจบางอย่าง แต่เจ้าไม่ต้องสำเหนียกอย่างอื่นดอก จงท่องว่า อัฏฐิ อัฏฐิ ก็พอ.

ลูกนกแขกเต้านั้น ก็อยู่ในโอวาทของพระเถรี ท่องว่า อัฏฐิ อัฏฐิ อย่างเดียวแล้วเที่ยวไป. วันหนึ่ง ตอนเช้ามันจับอยู่ที่ยอดประตู ผึ่งแดดอ่อนอยู่ แม่เหยี่ยวตัวหนึ่งก็เฉี่ยวมันไปด้วยกรงเล็บ. มันส่งเสียงร้อง กิริๆ.เหล่าสามเณรีก็ร้องว่าแม่เจ้าพุทธรักขิตถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป เราจะช่วยมัน ต่างคว้าก้อนดินเป็นต้น ไล่ตามจนเหยี่ยวปล่อย.

เหล่าสามเณรีนำมันมาวางไว้ตรงหน้าพระมหาเถรีๆ ถามว่า พุทธรักขิต ขณะถูกเหยี่ยวจับไป เจ้าคิดอย่างไร.

ลูกนกแขกเต้าตอบว่า แม่เจ้า ไม่คิดอะไรๆ ดอก คิดแต่เรื่องกองกระดูกเท่านั้นจ๊ะแม่เจ้า ว่ากองกระดูกพากองกระดูกไป จักเรี่ยราดอยู่ในที่ไหนหนอ.

พระมหาเถรีจึงให้สาธุการว่า สาธุ สาธุ พุทธรักขิตนั้นจักเป็นปัจจัยแห่งความสิ้นภพของเจ้า ในกาลภายภาคหน้าแล.

แม้สัตว์ดิรัจฉานในแคว้นกุรุนั้น ก็ประกอบเนืองๆ ซึ่งสติปัฏฐานด้วยประการฉะนี้เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบถึงความเจริญแพร่หลายแห่งสติปัฏฐานของชาวกุรุเหล่านั้น จึงได้ตรัสพระสูตรนี้.

อ.คำบริกรรมกรรมฐาน

ในพระสูตรนั้น เอกายโน (เอก-อยนะ) แปลว่า เอกมคฺโค (ทางสายเดียว).

แท้จริง ทางมีมากชื่อ คือ

มัคคะ ปันถะ ปถะ ปัชชะ อัญชสะ วฏุมะ

อยนะ นาวา อุตตรเสตุ กุลละ ภิสิสังกมะ

ทางนี้นั้น ในที่นี้ ท่านกล่าวโดยชื่อว่า อยนะ เพราะฉะนั้น ในข้อที่ว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นทางเดียว" นี้ จึงควรเห็นความอย่างนี้ว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นทางเอก มิใช่ทางสองแพร่ง" ดังนี้.

อีกนัยหนึ่ง ชื่อว่า เอกายนะ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า เป็นทางที่บุคคลพึงไปผู้เดียว. คำว่า ผู้เดียว คือคนที่ละการคลุกคลีด้วยหมู่ ปลีกตัวไปสงบสงัด. ข้อว่า พึงไป คือพึงดำเนินไป.

อีกนัยหนึ่ง ชื่อว่า อยนะ เพราะอรรถวิเคราะว่าเป็นเครื่องไป. อธิบายว่า ไปจากสังสารวัฏสู่พระนิพพาน. หนทางไปของบุคคลผู้เป็นเอก ชื่อว่า เอกายนะ.

บทว่า เอกสฺส คือ ของบุคคลผู้ประเสริฐสุดแห่งสรรพสัตว์.

ก็พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นทรงประเสริฐกว่าสรรพสัตว์ เพราะฉะนั้น ท่านจึงอธิบายว่า หนทางของพระผู้มีพระภาคเจ้า. แม้สัตว์เหล่าอื่น ถึงจะเดินไปด้วยหนทางนั้นก็จริง แม้เช่นนั้น หนทางนั้นก็เป็นทางเดินของพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น เพราะเป็นทางที่พระองค์ทรงทำให้เกิดขึ้น.

เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ (ในโคปกโมคคัลลานสูตร) ว่า

ดูก่อนพราหมณ์ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นผู้ทำมรรคที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้นดังนี้เป็นต้น.

อีกนัยหนึ่ง ทางย่อมไป เหตุนั้นจึงชื่อว่าอยนะ. อธิบายว่า ไป คือเป็นไป. หนทางไปในธรรมวินัยอันเดียว ชื่อว่าเอกายนะ. ท่านอธิบายว่า หนทางเป็นไปในธรรมวินัยนี้เท่านั้น ไม่เป็นไปในธรรมวินัย (ศาสนา) อื่น.

เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ (ในมหาปรินิพพานสูตร) ว่า

ดูก่อนสุภัททะ มรรคมีองค์ 8 ที่เป็นอริยะ บุคคลจะได้ก็แต่ในธรรมวินัยนี้แล ดังนี้.

ก็มรรคนั้นต่างกันโดยเทศนา แต่โดยอรรถก็อันเดียวกันนั้นเอง.

อีกนัยหนึ่ง หนทางย่อมไปครั้งเดียว เหตุนั้นหนทางนั้นจึงชื่อเอกายนะ (ทางไปครั้งเดียว). ท่านอธิบายว่า หนทางแม้เป็นไปโดยมุข คือภาวนามีนัยต่างๆ กัน ณ เบื้องต้น ในเบื้องปลายก็ไปสู่พระนิพพานอันเดียวกันนั่นเอง.

เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ (ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) ว่า

ท้าวสหัมบดีพรหมกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

เอกายนํ ชาติขยนฺตทสฺสี

มคฺคํ ปชานาติ หิตานุกมฺปี

เอเตน มคฺเคน ตรึสุ ปุพฺเพ

ตริสฺสเร เจว ตรนฺติ โอฆํ

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเห็นธรรมเป็นที่สิ้นชาติ

ทรงพระกรุณาอนุเคราะห์ด้วยประโยชน์เกื้อกูล ทรงทราบ

ชัดเอกายนมรรค พระพุทธะทั้งหลายในอดีต พากันข้าม

โอฆะ (โอฆะ 4) ด้วยมรรคนั้นมาแล้ว พระพุทธะทั้งหลาย

ในอนาคตก็จักข้ามโอฆะด้วยมรรคนั้น และพระพุทธะทั้ง

ปัจจุบัน ก็ข้ามโอฆะด้วยมรรคอย่างเดียวกันนั้นแล.

แต่เกจิอาจารย์กล่าวตามนัยแห่งคาถาที่ว่า ชนทั้งหลายไม่ไปสู่ฝั่ง (พระนิพพาน) สองครั้งดังนี้ ว่าเพราะเหตุบุคคลไปพระนิพพานได้คราวเดียว ฉะนั้น หนทางนั้นจึงชื่อว่าเอกายนะ ไปคราวเดียว. คำนั้นไม่ถูก. เพราะอรรถนี้จะพึงมีพยัญชนะอย่างนี้ว่า สกึ อยโน ไปคราวเดียว.

ก็ถ้าหากว่าจะพึงประกอบอรรถะ กล่าวอย่างนี้ว่า การไปครั้งเดียว คือการดำเนินครั้งเดียวของมรรคนั้นเป็นไปอยู่ดังนี้ พยัญชนะก็น่าจะถูก.

แต่อรรถะไม่ถูกทั้งสองประการ.

เพราะเหตุไร. ก็เพราะในที่นี้ท่านประสงค์แต่มรรคที่เป็นส่วนเบื้องต้น.

เป็นความจริง ในที่นี้ ท่านประสงค์เอาแต่มรรคที่มีสติปัฏฐานเป็นส่วนเบื้องต้น ซึ่งเป็นไปโดยอารมณ์ 4 มีกายเป็นต้น. มิได้ประสงค์เอามรรคที่เป็นโลกุตตระ. ด้วยว่ามรรคที่เป็นส่วนเบื้องต้นนั้นย่อมดำเนินไปแม้มากครั้ง ทั้งการดำเนินไปของมรรคนั้น ก็มิใช่มีครั้งเดียว.

ธรรมสากัจฉาของพระมหาเถระ

ในข้อนี้ แต่ก่อนพระมหาเถระทั้งหลายก็ได้เคยสนทนากันมาแล้ว.

ท่านพระจุลลนาคเถระผู้ทรงพระไตรปิฎกกล่าวว่า สติปัฏฐาน เป็นมรรคเบื้องต้น (บุพพภาค). ส่วนท่านจุลลสุมนเถระผู้ทรงพระไตรปิฎก อาจารย์ของท่านพระจุลลนาคเถระ กล่าวว่า เป็นมรรคผสม (มิสสกะ).

ศิษย์ว่า เป็นส่วนเบื้องต้น ขอรับ.

อาจารย์ว่า เป็นมรรคผสม นะเธอ.

แต่เมื่ออาจารย์พูดบ่อยๆ เข้า ศิษย์ก็ไม่ค้าน กลับนิ่งเสีย. ทั้งศิษย์ทั้งอาจารย์ตกลงปัญหากันไม่ได้ ต่างก็ลุกไป. ภายหลังพระเถระผู้เป็นอาจารย์ เดินไปโรงสรงน้ำ คิดใคร่ครวญว่า เรากล่าวว่าเป็นมรรคผสม ส่วนท่านจุลลนาคยึดหลักกล่าวว่าเป็นส่วนเบื้องต้น ข้อวินิจฉัยในข้อนี้เป็นอย่างไรกันหนอ

เมื่อทบทวนสวดพระสูตร (มหาสติปัฏฐานสูตร) ตั้งแต่ต้น ก็กำหนดได้ตรงนี้ที่ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐาน 4 เหล่านี้ ถึง 7 ปี

ก็รู้ว่าโลกุตตมรรคเกิดขึ้นแล้ว ชื่อว่าตั้งอยู่ถึง 7 ปีไม่มี ที่เรากล่าวว่าเป็นมรรคผสม ย่อมไม่ได้ (ไม่ถูก) ส่วนที่ท่านจุลลนาคเห็นว่า เป็นมรรคส่วนเบื้องต้น ย่อมได้ (ถูก) เมื่อเขาประกาศการฟังธรรมวัน 8 ค่ำ ท่านก็ไป.

เล่ากันว่า พระเถระเก่าๆ เป็นผู้รักการฟังธรรม ครั้นได้ยินเสียงประกาศ ก็เปล่งเสียงเป็นอันเดียวกันว่า ผมก่อน ผมก่อน.

วันนั้นเป็นวาระของท่านพระจุลลนาคเถระ. ท่านนั่งบนธรรมาสน์ จับพัด กล่าวคาถาเบื้องต้น พระเถระผู้อาจารย์อยู่หลังอาสนะก็คิดว่าจะนั่งลับๆ ไม่พูดจาละ.

แท้จริง พระเถระเก่าๆ ไม่ริษยากัน ไม่หยิบยกเอาความชอบใจของตนขึ้นเป็นภาระ อย่างแบกท่อนอ้อย ถือเอาแต่เหตุ (ที่ควร) เท่านั้น ที่มิใช่ก็สละไป เพราะฉะนั้น ท่านพระจุลลสุมนเถระจึงเรียกท่านจุลลนาคเบาๆ.ท่านจุลลนาคเถระได้ยินเหมือนเสียงอาจารย์เรียก จึงหยุดธรรมกถาถามว่า อะไรขอรับ.

อาจารย์กล่าวว่า ท่านจุลลนาค ที่เรากล่าวว่า เป็นมรรคผสมนั้น ไม่ถูกดอก ส่วนที่เธอกล่าวว่า สติปัฏฐานเป็นมรรคเบื้องต้นถูกแล้ว.

ท่านพระจุลลนาคเถระคิดว่า อาจารย์ของเราทรงปริยัติธรรมไว้ทั้งหมด เป็นสุตพุทธะทางพระไตรปิฎกภิกษุเห็นปานนี้ยังวุ่นวายกับปัญหามาก ต่อไปภายภาคหน้า พระธรรมกถึกทั้งหลายจักวุ่นวายกับปัญหาชนิดนี้เพราะฉะนั้น เราจักยึดพระสูตรเป็นหลักทำปัญหาชนิดนี้ ไม่ให้วุ่นวายต่อไปละ. สติปัฏฐานเป็นมรรคเบื้องต้น แต่ปฏิสัมภิทามรรค เรียกว่า เอกายนมรรค.

ท่านจึงนำพระสูตร (ในธรรมบท ขุททกนิกาย) ตั้งเป็นบทอุเทศว่า

    มคฺคานฎฺฐงฺคิโก เสฎฺโฐ    สจฺจานํ จตุโร ปทา
    วิราโค เสฎฺโฐ ธมฺมานํ    ทิปทานญฺจ จกฺขุมา
    
    เอเสว มคฺโค นตฺถญฺโญ    ทสฺสนสฺส วิสุทฺธิยา
    
    เอตญฺหิ ตุมฺเห ปฏิปชฺชถ    มารเสนปฺปมทฺทนํ
    
    เอตญฺหิ ตุมฺเห ปฏิปนฺนา    ทุกขสฺสสนฺตํ กริสฺสถ
    
              บรรดาทางทั้งหลาย ทางมีองค์ 8 ประเสริฐสุด
              
     บรรดาสัจจะทั้งหลาย บททั้ง 4 (อริยสัจ) ประเสริฐสุด
     
     บรรดาธรรมทั้งหลาย วิราคธรรม ประเสริฐสุด
     
     บรรดาสัตว์สองเท้าทั้งหลาย พระพุทธเจ้าผู้มีจักษุประเสริฐสุด
     
               ทางนี้เท่านั้น เพื่อความหมดจดแห่งทรรศนะ
               
     ทางอื่นไม่มี ท่านทั้งหลายจงเดินทางนี้ ที่เป็นเครื่อง
     
    กำจัดกองทัพมาร ท่านทั้งหลายเดินทางนี้แล้ว 
    
    จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ดังนี้.               
    
ในข้อว่า มรรค ที่ชื่อว่ามรรค เพราะอรรถว่าอะไร.

เพราะอรรถว่า เป็นเครื่องเดินไปสู่พระนิพพานอย่างหนึ่ง

เพราะอรรถว่า อันผู้ต้องการพระนิพพานพึงค้นหาอย่างหนึ่ง.

ข้อว่า เพื่อความหมดจดของสัตว์ทั้งหลาย หมายความว่า เพื่อประโยชน์แก่ความหมดจดของสัตว์ทั้งหลายผู้มีจิตเศร้าหมอง เพราะมลทินทั้งหลายมีราคะเป็นต้น และเพราะอุปกิเลสทั้งหลาย มีอภิชฌาวิสมโลภะเป็นต้น

เป็นความจริง สัตว์เหล่านี้คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นอเนกตั้งต้นแต่พระพุทธเจ้าพระนามว่า ตัณหังกร เมธังกร สรณังกร ทีปังกร ซึ่งปรินิพพานในกัปป์เดียวเท่านั้นเบื้องต้นแต่ 4 อสงไขยแสนกัปป์ แต่กัปป์นี้ ลงมาจนถึงพระพุทธเจ้าพระนามว่า ศากยมุนี เป็นที่สุด พระปัจเจกพุทธเจ้าหลายร้อย แลพระอริยสาวกทั้งหลายอีกนับไม่ถ้วน ต่างลอยมลทินทางจิตทั้งหมด ถึงความหมดจดอย่างยิ่ง ด้วยทางนี้เท่านั้น.

การบัญญัติความเศร้าหมองและผ่องแผ้ว โดยมลทินทางรูปอย่างเดียว ไม่มี.

สมจริงดังคำที่กล่าวไว้ว่า

รูเปน สงฺกิลิฎฺเฐน สํกิลิสฺสนฺติ มาณวา รูเป สุทฺเธ วิสุชฺฌนฺติ อนกฺขาตํ มเหสินา จิตฺเตน สงฺกิลิฎฺเฐน สํกิลิสฺสนฺติ มาณวา จิตฺเต สุทฺเธ วิสุชฺฌนฺติ อิติ วุตฺตํ มเหสินา.

พระพุทธเจ้าผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ มิได้ตรัสสอนว่า คนทั้งหลาย มีรูปเศร้าหมองแล้ว จึงเศร้าหมอง มีรูปหมดจดแล้ว จึงหมดจด แต่พระผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ทรงสอนว่า คนทั้งหลาย มีจิตเศร้าหมองแล้ว จึงเศร้าหมอง มีจิตหมดจดแล้ว จึงหมดจด ดังนี้.

เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ (ในสังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค) ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายย่อมเศร้าหมอง เพราะจิตเศร้าหมอง ย่อมบริสุทธิ์ เพราะจิตผ่องแผ้ว ดังนี้.

ก็ความผ่องแผ้วแห่งจิตนั้น ย่อมมีได้ด้วยมรรค คือสติปัฏฐานนี้.

เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เพื่อความหมดจดของสัตว์ทั้งหลาย.

ข้อว่า เพื่อก้าวล่วงโสกะและปริเทวะ หมายความว่า เพื่อก้าวล่วง คือละโสกะและปริเทวะ. จริงอยู่ มรรคนี้อันบุคคลเจริญแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อก้าวล่วงโสกะเหมือนอย่างโสกะของสันตติมหาอำมาตย์เป็นต้นเพื่อก้าวล่วงปริเทวะ เหมือนอย่างปริเทวะของนางปฏาจาราเป็นต้น.

เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เพื่อก้าวล่วงโสกะและปริเทวะ.

แท้จริง สันตติมหาอำมาตย์ฟังคาถาที่ว่า

    ยํ ปุพฺเพ ตํ วิโสเธหิ    ปจฺฉา เต มาหุ กิญฺจนํ
    มชฺเฌ เจ โน คเหสฺสสิ    อุปสนฺโต จริสฺสสิ
              ท่านจงทำความโศกในกาลก่อนให้เหือดแห้ง
     ท่านอย่ามีความกังวลใจ ในกาลภายหลัง ถ้าท่านจัก
    ไม่ยึดถือในท่ามกลางก็จักเป็นผู้สงบเที่ยวไป ดังนี้.               
    
แล้วก็บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา.

นางปฏาจาราฟังพระคาถานี้ว่า

    น สนฺติ ปุตฺตา ตาณาย    น ปิตา นปิ พนฺธวา
    อนฺตเกนาธิปนฺนสฺส    นตฺถิ ญาตีสุ ตาณตา
              มีบุตรไว้เพื่อช่วยก็ไม่ได้ บิดาก็ไม่ได้
    พวกพ้องก็ไม่ได้ เมื่อความตายมาถึงตัวแล้ว
     ญาติทั้งหลายก็ช่วยไม่ได้ ดังนี้.               

แล้วก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล.

ก็เพราะเหตุว่า ชื่อว่าการไม่ถูกต้องธรรมบางอย่าง ในกาย เวทนา จิต ธรรมทั้งหลายแล้ว ภาวนาไม่มีเลย ฉะนั้น สันตติมหาอำมาตย์กับนางปฏาจาราแม้นั้นจึงควรทราบว่า เป็นผู้ก้าวล่วงโสกะและปริเทวะ ด้วยมรรคนี้เอง.

ข้อว่า เพื่อดับทุกข์ และโทมนัส ความหมายว่า เพื่อตั้งอยู่ไม่ได้ คือดับทั้งสองนี้ คือทุกข์ทางกาย และโทมนัสทางใจ.ด้วยว่ามรรคนี้ บุคคลเจริญแล้วย่อมเป็นไปเพื่อดับทุกข์ เหมือนทุกข์ของพระติสสเถระเป็นต้น ดับโทมนัส เหมือนอย่างโทมนัสของท้าวสักกะเป็นต้น.

ในเรื่องทั้งสองนั้นแสดงความดังต่อไปนี้.

เรื่องทุกข์ของพระติสสเถระ

เล่ากันว่า ในกรุงสาวัตถี บุตรของกุฏุมภีชื่อติสสะ ละทรัพย์ 40 โกฏิ ออกบวชโดดเดี่ยวอยู่ในป่าที่ไม่มีบ้าน.ภริยาของน้องชายท่าน ส่งโจร 500 ให้ไปฆ่าท่านเสีย. พวกโจรไปล้อมท่านไว้. ท่านจึงถามว่า ท่านอุบาสกมาทำไมกัน. พวกโจรตอบว่า มาฆ่าท่านนะซิ.

ท่านจึงพูดขอร้องว่า ท่านอุบาสกทั้งหลาย โปรดรับประกันอาตมา ให้ชีวิตอาตมาสักคืนหนึ่งเถิด. พวกโจรกล่าวว่า สมณะ ใครจักประกันท่านในฐานะอย่างนี้ได้.

พระเถระก็จับหินก้อนใหญ่ทุบกระดูกขาทั้งสองข้าง แล้วกล่าวว่าประกันพอไหม. เหล่าโจรพวกนั้นก็ยังไม่หลบไป กลับก่อไฟนอนเสียที่ใกล้จงกรม

พระเถระข่มเวทนา พิจารณาศีล อาศัยศีลที่บริสุทธิ์ก็เกิดปีติและปราโมช.

ลำดับต่อจากนั้น ก็เจริญวิปัสสนา ทำสมณธรรมตลอดคืน ในยามทั้งสาม

พออรุณขึ้น ก็บรรลุพระอรหัต จึงเปล่งอุทานว่า

    อุโภ ปาทานิ ภินฺทิตฺวา    สญฺญมิสฺสามิ โว อหํ
    อฏฺฏิยามิ หรายามิ    สราคมรเณ อหํ
    เอวาหํ จินฺตยิตฺวาน    ยถาภูตํ วิปสฺสิสํ
    สมฺปตฺเต อรุณุคฺคมฺหิ    อรหตฺตํ อปาปุณึ
              เราทุบเท้าสองข้าง ป้องกันท่านทั้งหลาย
     เราเอือมระอาในความตายทั้งที่ยังมีราคะ เราคิด
    อย่างนี้แล้ว ก็เห็นแจ้งตามเป็นจริง พอรุ่งอรุณมา
    ถึง เราก็บรรลุพระอรหัต ดังนี้.

เรื่องทุกข์ของภิกษุ 30 รูป

ภิกษุ 30 รูปอีกกลุ่มหนึ่ง เรียนกัมมัฏฐานในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วจำพรรษาในวัดป่า ทำกติกากันว่า ผู้มีอายุ เราควรทำสมณธรรม ตลอดคืนในยามทั้งสาม เราไม่ควรมายังสำนักของกันและกัน แล้วต่างคนต่างอยู่.

เมื่อภิกษุเหล่านั้นทำสมณธรรม ตอนใกล้รุ่งก็โงกหลับ เสือตัวหนึ่งก็มาจับภิกษุไปกินทีละรูปๆ. ภิกษุไรๆ ก็มิได้เปล่งแม้วาจาว่า เสือคาบผมแล้ว.

ภิกษุถูกเสือกินไป 15 รูป ด้วยอาการอย่างนี้ ถึงวันอุโบสถ ภิกษุที่เหลือก็ถามว่าท่านอยู่ที่ไหน และรู้เรื่องแล้วก็กล่าวว่า ถูกเสือคาบควรบอกว่า บัดนี้ เราถูกเสือคาบไปๆ แล้วก็อยู่กันต่อไป.

ต่อมา เสือก็จับภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งโดยนัยก่อน.

ภิกษุหนุ่มก็ร้องว่า เสือขอรับ. ภิกษุทั้งหลายก็ถือไม้เท้า และคบเพลิงติดตามหมายว่าจะให้มันปล่อย เสือก็ขึ้นไปยังเขาขาด ทางที่ภิกษุทั้งหลายไปไม่ได้ เริ่มกินภิกษุนั้น ตั้งแต่นิ้วเท้า.

ภิกษุทั้งหลายนอกนั้นก็ได้แต่กล่าวว่า สัปบุรุษ บัดนี้ กิจที่พวกเราจะต้องทำไม่มี ขึ้นชื่อว่าความวิเศษของภิกษุทั้งหลาย ย่อมปรากฏในฐานะเช่นนี้.

ภิกษุหนุ่มนั้นนอนอยู่ในปากเสือ ข่มเวทนาเจ็บปวด แล้วเจริญวิปัสสนา ตอนเสือกินถึงข้อเท้าเป็นพระโสดาบัน ตอนกินไปถึงหัวเข่าเป็นพระสกทาคามี ตอนเสือกินไปถึงท้องเป็นพระอนาคามี ตอนเสือกินไปยังไม่ถึงหัวใจ ก็บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา

จึงเปล่งอุทาน ดังนี้ว่า

สีลวา วตฺตสมฺปนฺโน ปญฺญวา สุสมาหิโต

    มุหุตฺตํ ปมาทมนฺวาย    พฺยคฺเฆ โน รุทฺธมานโส
    ปญฺชรสฺมึ โส คเหตฺวา    สิลาย อุปรี กโต
    กามํ ขาทตุ มํ พฺยคฺโฆ    อฎฺฐิยา จ นฺหารุสฺส จ
    กิเลเส เขปยิสฺสามิ    ผุสิสฺสามิ วิมุตฺติยํ
              เรามีศีล ถึงพร้อมด้วยวัตร มีปัญญา มีใจมั่นคงดีแล้ว
     อาศัยความประมาทครู่หนึ่ง ทั้งที่มีใจไม่คิดร้ายในเสือ มันก็
    จับไว้ในกรงเล็บ พาไปไว้บนก้อนหิน เสือจงกินเราถึงกระดูก
    และเอ็นก็ตามที เราจักทำกิเลสให้สิ้นไป จักสัมผัสวิมุตติ ดังนี้.

เรื่องทุกข์ของพระปีติมัลลเถระ

ภิกษุอีกรูปหนึ่ง ชื่อปีติมัลลเถระ ครั้งเป็นคฤหัสถ์ ท่านถือธงมาเกาะลังกา ถึง 3 รัชกาล เข้าเฝ้าพระราชาแล้ว ได้รับพระราชานุเคราะห์

วันหนึ่ง เดินทางไปประตูศาลาที่มีที่นั่งปูด้วยเสื่อลำแพน ได้ฟังนตุมหากวรรค (ในสังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค) ว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปไม่ใช่ของท่าน ท่านจงละรูปนั้นเสีย รูปนั้นท่านละได้แล้ว จักมีเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ตลอดกาลนาน ดั่งนี้แล้ว ก็คิดว่ามิใช่รูปเท่านั้น เวทนาก็ไม่ใช่ของตน.

เขาทำพระบาลีนั้นให้เป็นหัวข้อ แล้วออกไปยังมหาวิหารขอบวช บรรพชาอุปสมบทแล้ว กระทำมาติกาให้ทั้งสองคล่องแคล่ว พาภิกษุ 30 รูปไปยังลาน ณ ตำบลควปรปาลี กระทำสมณธรรม.

เมื่อเท้าเดินไม่ไหว ก็คุกเข่าเดินจงกรม.

ในคืนนั้น พรานเนื้อผู้หนึ่งสำคัญว่าเนื้อ ก็พุ่งหอกออกไป. หอกก็แล่นถูกท่านถึงทะลุ ท่านก็ให้เขาชักหอกออก เอาเกลียวหญ้าอุดปากแผลให้เขาจับตัวนั่งบนหลังแผ่นหิน ให้เขาเปิดโอกาส เจริญวิปัสสนา ก็บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา พยากรณ์แก่ภิกษุทั้งหลายที่พากันมาโดยให้เสียงไอ จาม เปล่งอุทานดังนี้ว่า

ภาสิตํ พุทฺธเสฎฺฐสฺส สพฺพโลกคฺควาทิโน

    น ตุมฺหากมิทํ รูปํ    ตํ ชเหยฺยาถ ภิกฺขโว
    อนิจฺจา วต สงฺขารา    อุปฺปาทวยธมฺมิโน
    อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ    เตสํ วูปสโม สุโข
              พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ที่สรรเสริญกันว่า
     เลิศทุกแหล่งล้า ทรงภาษิตไว้ว่า
              ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปนี้มิใช่ของท่าน ท่าน
    ทั้งหลายพึงละรูปนั้นเสีย
              สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีเกิดและเสื่อม
    ไปเป็นธรรมดา เกิดแล้วก็ดับ ความสงบระงับแห่ง
    สังขารเหล่านั้น เป็นสุข ดังนี้.

มรรคนี้ย่อมเป็นไปเพื่อดับทุกข์เหมือนอย่างทุกข์ของพระติสสเถระเป็นต้นเพียงเท่านี้ก่อน.

เรื่องโทมนัสของท้าวสักกะ

ก็ท้าวสักกะจอมเทพทรงเห็นบุพพนิมิต 5 ประการของพระองค์ถูกมรณภัยคุกคาม เกิดโทมนัส เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลถามปัญหา.

ท้าวเธอก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลพร้อมด้วยเทวดาแปดหมื่นองค์ ด้วยอำนาจการวิสัชนาอุเบกขาปัญหา. เรื่องการอุบัติของท้าวเธอจึงกลับเป็นปกติอีก.

เรื่องโทมนัสของสุพรหมเทพบุตร

แม้สุพรหมเทพบุตรอันนางเทพอัปสรพันหนึ่งห้อมล้อม ก็เสวยสวรรคสมบัติ. ในจำพวกนางเทพอัปสรพันหนึ่งนั้น นางเทพอัปสรห้าร้อยมัวเก็บดอกไม้จากต้น ก็จุติไปเกิดในนรกสุพรหมเทพบุตรรำพึงว่าทำไม เทพอัปสรเหล่านี้จึงชักช้าอยู่ก็รู้ว่าพวกนางไปเกิดในนรก จึงหันมาพิจารณาดูตัวเองว่าอายุเท่าไรแล้วหนอ ก็รู้ว่าตนจะสิ้นอายุจะไปเกิดในนรกนั้นด้วย ก็หวาดกลัว เกิดโทมนัสอย่างยิ่ง เห็นว่า พระบรมศาสดาเท่านั้นจะยังความโทมนัสของเรานี้ให้พินาศไป ไม่มีผู้อื่น แล้วก็พานางเทพอัปสรห้าร้อยที่เหลือเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า

ทูลถามปัญหาว่า

    
    นิจฺจุตฺรสฺตมิทํ จิตฺตํ    นิจฺจุพฺพิคฺคมิทํ มโน
    
    อนุปฺปนฺเนสุ กิจฺเจสุ    อโถ อุปฺปตฺติเตสุ จ
    
    สเจ อตฺถิ อนุตฺรสฺตํ    ตํ เม อกฺขาหิ ปุจฺฉิโต
    
              จิตนี้สะดุ้งอยู่เป็นนิตย์ จิตใจนี้หวาดอยู่เป็นนิตย์
    
     ทั้งในกิจที่ยังไม่เกิด ทั้งในกิจที่เกิดแล้ว ถ้าหากว่าความ
    
    ไม่หวาดสะดุ้งมีอยู่ ขอพระองค์ที่ถูกทูลถามแล้ว โปรด
    
    บอกความไม่หวาดสะดุ้งนั้น แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสบอกสุพรหมเทพบุตร

(ในสังยุตตนิกาย สคาถวรรค) ว่า

    นาญฺญตฺร โพชฺฌา ตปสา    นาญฺญตฺร อินฺทฺริยสํวรา
    
    นาญฺญตฺร สพฺพปฏินิสฺสคฺคา    โสตฺถึ ปสฺสามิ ปาณินํ
    
              นอกจากปัญญาเครื่องรู้ ตปะเครื่องเผาความชั่ว
    
    นอกจากความสำรวมอินทรีย์ นอกจากความสละคืนทุก
    
    สิ่งทุกอย่าง เราก็มองไม่เห็นความสวัสดีของสัตว์ทั้งหลาย
    
    ดังนี้.

ในที่สุดเทศนา สุพรหมเทพบุตรก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล พร้อมด้วยนางเทพอัปสรห้าร้อยทำสมบัตินั้นให้ถาวรแล้วกลับไปยังเทวโลก.

มรรคนี้อันบุคคลเจริญแล้ว บัณฑิตพึงทราบว่า ย่อมเป็นไปเพื่อดับโทมนัส เหมือนอย่างโทมนัสของท้าวสักกะเป็นต้น ดังกล่าวมานี้.

มรรคมีองค์ 8 ที่เป็นอริยะ เรียกว่า ญายธรรม ในข้อที่ว่า ญายสฺส อธิคมาย เพื่อบรรลุญายธรรม ท่านอธิบายว่า เพื่อบรรลุ คือเพื่อถึงญายธรรมนั้น.

จริงอยู่ มรรค คือสติปัฏฐานที่เป็นโลกิยะเบื้องต้นนี้ อันบุคคลเจริญแล้วย่อมเป็นไปเพื่อบรรลุมรรคที่เป็นโลกุตตร. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เพื่อบรรลุญายธรรม.

ข้อว่า เพื่อให้แจ้งพระนิพพาน ท่านอธิบายว่า เพื่อทำให้แจ้ง คือเพื่อประจักษ์ด้วยตนเองซึ่งอมตธรรม ที่ได้ชื่อว่านิพพาน เพราะเว้นจากตัณหาเครื่องร้อยรัด.จริงอยู่ มรรคนี้อันบุคคลเจริญแล้ว ย่อมยังการทำให้แจ้งพระนิพพานให้สำเร็จไปตามลำดับ. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เพื่อทำให้แจ้งพระนิพพาน ดังนี้.

ในพระสูตรนั้น ถึงเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เพื่อความหมดจดของสัตว์ทั้งหลายแล้ว ข้อที่ว่า เพื่อก้าวล่วงโสกะและปริเทวะเป็นต้น ก็เป็นอันสำเร็จใจความได้ก็จริงแต่ยกเว้นผู้ฉลาดรู้ข้อยุติของคำสั่งสอนเสียแล้ว ก็ไม่ปรากฏแก่คนอื่นๆ ได้ แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าหาได้ทรงทำให้ชนผู้ฉลาดรู้ข้อยุติของคำสั่งสอนเสียก่อนแล้วทรงแสดงธรรมในภายหลังไม่ หากแต่ทรงยังชนทั้งหลายให้รู้อรรถะนั้นๆ ด้วยสูตรนั้นๆ เลยทีเดียว เพราะฉะนั้น ในที่นี้ เอกายนมรรคจะยังอรรถใดๆ ให้สำเร็จได้ ก็ทรงแสดงอรรถนั้นๆ ให้ปรากฏ จึงตรัสข้อว่า เพื่อก้าวล่วงโสกะและปริเทวะเป็นต้น.

หรืออีกนัยหนึ่ง ความหมดจดของสัตว์ทั้งหลาย ย่อมเป็นไปได้ด้วยเอกายนมรรค

ความหมดจดนั้น ย่อมมีได้ด้วยความก้าวล่วงโสกะและปริเทวะ

ความก้าวล่วงโสกะและปริเทวะ ย่อมมีได้ด้วยความดับทุกข์และโทมนัส

ความดับทุกข์และโทมนัส ย่อมมีได้ด้วยการบรรลุญายธรรม

การบรรลุญายธรรม ย่อมมีได้ด้วยการทำให้แจ้งพระนิพพาน

เพราะฉะนั้น เมื่อจะทรงแสดงลำดับการอันนี้ จึงตรัสว่า เพื่อความหมดจดของสัตว์ทั้งหลาย แล้วตรัสข้อว่า เพื่อก้าวล่วงโสกะและปริเทวะ เป็นต้นไป.

อีกนัยหนึ่ง คำที่กล่าวมานี้เป็นการพรรณนาคุณของเอกายนมรรค.

เปรียบเหมือนอย่างว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคุณด้วยบททั้ง 8 ด้วยฉฉักกเทศนา (ฉฉักกสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์) ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงแก่ท่านทั้งหลาย ถึงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในเบื้องปลาย จักประกาศพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ คือฉฉักกธรรม 6 ดังนี้ฉันใด

และตรัสคุณด้วยบททั้ง 9 ด้วยอริยวังสเทศนา (อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต) ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยวงศ์ 4 เหล่านี้รู้กันว่า เลิศมีมานาน เป็นวงศ์พระอริยะ เป็นของเก่า ในอดีตก็ไม่มีใครรังเกียจไม่เคยรังเกียจ ในปัจจุบันก็ไม่รังเกียจกันในอนาคตก็จักไม่รังเกียจกัน สมณพราหมณ์ผู้รู้ก็ไม่เกลียดแล้ว ดังนี้ฉันใด

พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ตรัสคุณของเอกายนมรรค แม้อันนี้ด้วยบททั้ง 7 มีว่า เพื่อหมดจดของสัตว์ทั้งหลาย เป็นต้นก็ฉันนั้น.

ถ้าจะถามว่า เพราะเหตุใด?

ก็ตอบได้ว่า เพื่อให้เกิดอุตสาหะแก่ภิกษุเหล่านั้น.

จริงอยู่ ภิกษุเหล่านั้นฟังการตรัสคุณ (ของเอกายนมรรค) รู้ว่า

มรรคนี้นำไปเสียซึ่งอุปัททวะ 4 คือ โสกะ อันเป็นเครื่องเผาใจ ปริเทวะ อันเป็นการพิไรรำพัน ทุกขะ อันเป็นความไม่สำราญทางกาย โทมนัส อันเป็นความไม่สำราญทางใจ

นำมาซึ่งคุณวิเศษ 3 คือ วิสุทธิ ญายธรรม พระนิพพาน ดังนี้แล้วก็เกิดอุตสาหะ สำคัญเทศนานี้ว่า ควรเล่า ควรเรียน ควรทรงจำ ควรบอกกล่าวและจักสำคัญมรรคอันนี้ว่า ควรเจริญ.

เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคุณ (ของเอกายนมรรค) เพื่อให้เกิดอุตสาหะแก่ภิกษุเหล่านั้น เหมือนพ่อค้าผ้ากัมพลเป็นต้น โฆษณาคุณภาพของผ้ากัมพล เป็นต้นฉะนั้น.

เหมือนอย่างว่า แม้ว่าพ่อค้าผ้ากัมพลอันมีค่านับแสน โฆษณาว่า โปรดซื้อผ้ากัมพล มนุษย์ทั้งหลายก็ยังไม่ทราบก่อนดอกว่า ผมคนก็มี ผ้ากัมพลทำด้วยขนสัตว์ก็มีเป็นต้น มันมีกลิ่นสาบสัมผัสหยาบ แต่ก็เรียกว่าผ้ากัมพลเหมือนกัน

ต่อเมื่อใด พ่อค้านั้นโฆษณาว่าผ้ากัมพลสีแดงทำในแคว้นคันธาระ ละเอียดสดใส สัมผัสละมุน เมื่อนั้น ถ้ามีเงินพอก็จะซื้อเอา มีไม่พอก็อยากจะชม ฉันใด

แม้เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นทางเดียวดังนี้ ก็ยังไม่ปรากฏก่อนดอกว่า หนทางไหน ด้วยว่าแม้หนทางที่ไม่นำสัตว์ออกจากทุกข์มีประการต่างๆ ก็เรียกกันว่า หนทางเหมือนกัน

แต่เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เพื่อความหมดจดของสัตว์ทั้งหลายดังนี้ เป็นต้น ภิกษุทั้งหลายก็ทราบว่าหนทางนี้นำเสียซึ่งอุปัทวะ 4 นำมาซึ่งคุณวิเศษ 3 แล้วก็เกิดอุตสาหะ สำคัญเทศนานี้ว่า ควรเล่า ควรเรียน ควรทรงจำ ควรบอกกล่าวและจักสำคัญมรรคอันนี้ว่า ควรเจริญ.

เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะตรัสคุณ (ของเอกายนมรรค) จึงตรัสว่า เพื่อความหมดจดของสัตว์ทั้งหลาย เป็นต้น.

อนึ่ง ข้ออุปมาว่าด้วยพ่อค้าผ้ากัมพลสีเหลืองอันมีค่าแสน นำมาเปรียบฉันใด ในข้อนี้ก็ควรนำข้ออุปมาว่าด้วยพ่อค้าทองชมพูนุทสีสุก แก้วมณีกรองน้ำให้ใส แก้วมุกดาที่บริสุทธิ์ ผ้าขนสัตว์ และแก้วประพาฬเป็นต้น เอามาเปรียบฉันนั้น.

สติปัฏฐาน 4

คำว่า ยทิทํ เป็นศัพท์นิบาต. ศัพท์นิบาตนั้นมีความดังนี้ว่า เหล่านี้ใด (เย อิเม).

คำว่า จตฺตาโร (4) เป็นศัพท์กำหนดจำนวน. ด้วยจำนวนนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงการกำหนดจำนวนสติปัฏฐานว่า ไม่ต่ำกว่านั้น ไม่สูงกว่านั้น.

คำว่า สติปัฏฐานทั้งหลาย ได้แก่ สติปัฏฐาน 3 คืออารมณ์แห่งสติก็มี ความที่พระบรมศาสดาทรงล่วงเลยความยินร้ายและยินดีในพระสาวกทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติ 3 อย่างก็มี ตัวสติก็มี.

อารมณ์แห่งสติ เรียกว่าสติปัฏฐาน ได้ในบาลีเป็นต้น (สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงความเกิดและความดับไปแห่งสติปัฏฐาน 4 ท่านทั้งหลายจงฟัง ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเกิดแห่งกายเป็นอย่างไร ความเกิดแห่งกาย ก็เพราะอาหารก่อให้เกิดดังนี้.

อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าสติปัฏฐาน ได้ในบาลี (ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค) เป็นต้นว่า

กายเป็นที่ปรากฏมิใช่สติ สติเป็นที่ปรากฏด้วย เป็นตัวสติด้วย.

คำนั้นมีความดังนี้. ชื่อว่าปัฏฐาน เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า เป็นที่ตั้งในที่นี้.

ถามว่า อะไรตั้ง.

ตอบว่า สติ. ที่ตั้งอยู่แห่งสติ ชื่อว่าสติปัฏฐาน.

อีกนัยหนึ่ง ความตั้งเป็นประธาน เหตุนั้นจึงชื่อว่า ปัฏฐาน. ความตั้งแห่งสติ ชื่อว่าสติปัฏฐาน เหมือนอย่างการยืนของช้าง การยืนของม้าเป็นต้น.

ความที่พระบรมศาสดาทรงล่วงเลยความยินร้าย และความยินดีในพระสาวกทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติ 3 อย่าง เรียกว่า สติปัฏฐาน ได้ในบาลี (สฬายตนวิภังสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์) นี้ว่า

สติปัฏฐาน 3 พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพระอริยะ ทรงเสพสติปัฏฐาน ไรเล่า เมื่อทรงเสพสติปัฏฐาน ไรเล่า จึงเป็นพระศาสดา สมควรสอนพระสาวก ดังนี้.

คำนั้นมีความดังนี้ ชื่อว่าปัฏฐาน เพราะเป็นธรรมที่ควรตั้งไว้. อธิบายว่า ควรให้เป็นไป.

ถามว่า เพราะเป็นธรรมที่ควรตั้งไว้ด้วยอะไร.

ตอบว่า ด้วยสติ. การตั้งไว้ด้วยสติชื่อว่าสติปัฏฐาน

ก็สติเท่านั้น เรียกว่าสติปัฏฐาน ได้ในบาลี (สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) เป็นต้นว่า

สติปัฏฐาน 4 อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังสัมโพชฌงค์ 7 ให้บริบูรณ์ ดังนี้.

คำนั้นมีความดังนี้

ธรรมชาติใดตั้งอยู่ทั่ว อธิบายว่า เข้าไปตั้งมั่น คือแล่นเป็นไป เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อว่าปัฏฐาน. สตินั้นเอง ชื่อว่าสติปัฏฐาน.อีกนัยหนึ่ง ที่ชื่อว่าสติ เพราะอรรถว่าระลึกได้ ที่ชื่อว่าปัฏฐาน เพราะอรรถว่า เข้าไปตั้งไว้. เพราะฉะนั้น สตินั้นด้วย ปัฏฐานด้วย เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าสติปัฏฐาน. ในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์เอาสติปัฏฐานอันนี้.

ถามว่า หากเป็นเช่นนั้น เหตุไร คำว่าสติปัฏฐานทั้งหลายจึงเป็นคำพหูพจน์.

ตอบว่า เพราะต้องมีสติมาก. เป็นความจริง สติเหล่านั้นมีมาก เพราะต่างแห่งอารมณ์.

ถามว่า แต่เหตุไร คำว่ามรรค จึงเป็นเอกวจนะ.

ตอบว่า เพราะมีทางเดียว ด้วยอรรถว่าเป็นมรรค. เป็นความจริง สติเหล่านั้นแม้มี 4 ก็นับว่าทางเดียว ด้วยอรรถว่าเป็นมรรค.

สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า ถามว่า ในคำว่ามรรค ที่ชื่อว่ามรรค เพราะอรรถว่าอะไร ตอบว่า เพราะอรรถว่าเป็นเครื่องไปสู่พระนิพพานด้วย เพราะอรรถว่า ผู้ต้องการพระนิพพานจะพึงค้นหาด้วย.

สติทั้ง 4 นั้นทำกิจให้สำเร็จในอารมณ์ทั้งหลาย มีกายเป็นต้นจึงถึงพระนิพพานในภายหลัง แต่ผู้ต้องการพระนิพพานทั้งหลาย จำต้องดำเนินไปตั้งแต่ต้นมา เพราะฉะนั้น สติทั้ง 4 จึงเรียกว่า หนทางเดียว.

เทศนาพร้อมด้วยอนุสนธิ ย่อมมีด้วยการอนุสนธิ

คำว่า สติ เหมือนดังในบาลีทั้งหลาย (สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) เป็นต้นว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงมรรค เป็นเครื่องกำจัดกองทัพมาร เธอจงฟัง มรรคนั้นเป็นเครื่องกำจัดกองทัพมารเป็นอย่างไร คือสัมโพชฌงค์ 7 ดังนี้.

คำว่า มรรค เป็นเครื่องกำจัดกองทัพมาร และคำว่า สัมโพชฌงค์ 7 โดยอรรถก็เป็นอันเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น ฉันใด

คำว่า เอกายนมรรค กับคำว่า สติปัฏฐาน 4 โดยอรรถก็เป็นอันเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้นก็ฉันนั้น เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า เป็นเอกวจนะ ก็เพราะเป็นทางเดียว ด้วยอรรถว่าเป็นมรรค เป็นพหุวจนะ ก็เพราะมีสติมาก โดยความต่างแห่งอารมณ์.

ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสสติปัฏฐานว่ามี 4 ไม่หย่อนไม่ยิ่ง.

ตอบว่า ก็เพราะจะทรงให้เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่เวไนยสัตว์.

แท้จริง ในจำพวกเวไนยสัตว์ที่เป็นตัณหาจริต ทิฏฐิจริต ผู้เป็นสมถยานิก (ผู้มีสมถะเป็นยาน) และวิปัสสนายานิก (ผู้มีวิปัสสนาเป็นยาน) ที่เป็นไปโดยส่วนทั้งสอง คือ ปัญญาอ่อนและปัญญากล้า

กายานุปัสสนาสติปัฏฐานมีอารมณ์หยาบเป็นทางหมดจด สำหรับเวไนยสัตว์ผู้มีตัณหาจริต มีปัญญาอ่อน. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานมีอารมณ์ละเอียด เป็นทางหมดจด สำหรับเวไนยสัตว์ผู้มีตัณหาจริต มีปัญญากล้า.จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานที่มีอารมณ์ไม่แยกออกมากนัก เป็นทางหมดจด สำหรับเวไนยสัตว์ผู้มีทิฏฐิจริต มีปัญญาอ่อน. ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานที่มีอารมณ์แยกออกมาก เป็นทางหมดจด สำหรับเวไนยสัตว์ผู้มีทิฏฐิจริต มีปัญญากล้า.

อนึ่ง สติปัฏฐานข้อ 1 ที่มีนิมิตอันจะพึงบรรลุได้โดยไม่ยาก เป็นทางหมดจด สำหรับเวไนยสัตว์ผู้เป็นสมถยานิก มีปัญญาอ่อน.สติปัฏฐานข้อที่ 2 เพราะไม่ตั้งอยู่ในอารมณ์อย่างหยาบ จึงเป็นทางหมดจด สำหรับเวไนยสัตว์ผู้เป็นสมถยานิก มีปัญญากล้า.สติปัฏฐานข้อที่ 3 มีอารมณ์ที่แยกออกไม่มากนัก เป็นทางหมดจด สำหรับเวไนยสัตว์ผู้เป็นวิปัสสนายานิก มีปัญญาอ่อน.สติปัฏฐานข้อที่ 4 มีอารมณ์ที่แยกออกมาก เป็นทางหมดจด สำหรับเวไนยสัตว์ผู้เป็นวิปัสสนายานิก มีปัญญากล้า.

เพราะเหตุดังนั้น จึงกล่าวว่า สติปัฏฐานมี 4 เท่านั้น ไม่หย่อนไม่ยิ่ง.

อีกอย่างหนึ่ง ที่ตรัสว่า สติปัฏฐานมี 4 ก็เพื่อละเสียซึ่งวิปัลลาสความสำคัญผิดว่างาม สุข เที่ยงและเป็นตัวตน.แท้จริง กายเป็นอสุภะ ไม่งาม แต่สัตว์ทั้งหลายก็ยังสำคัญว่างาม ในกายนั้น. ด้วยทรงแสดงความไม่งามในกายนั้นแก่สัตว์เหล่านั้น จึงตรัสสติปัฏฐานข้อที่ 1 เพื่อละวิปัลลาสนั้นเสีย.และในเวทนาเป็นต้น ที่สัตว์ยึดถือว่าสุข เที่ยง เป็นตัวตน เวทนาก็เป็นทุกข์ จิตไม่เที่ยง ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา. แต่สัตว์ทั้งหลายก็ยังสำคัญว่าสุข เที่ยง เป็นตัวตน ในเวทนา จิต ธรรมนั้นด้วยทรงแสดงความเป็นทุกข์เป็นต้นในเวทนา จิต ธรรมนั้นแก่สัตว์เหล่านั้นจึงตรัสสติปัฏฐาน 3 ที่เหลือเพื่อละวิปัลลาสเหล่านั้นเสีย เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบว่าที่ตรัสว่า สติปัฏฐาน 4 ไม่หย่อนไม่ยิ่งก็เพื่อละความสำคัญผิดว่างาม สุข เที่ยงและตัวตนเสีย ดังที่กล่าวมานี้. มิใช่เพื่อละวิปัลลาสอย่างเดียวเท่านั้นบัณฑิตพึงทราบว่า ที่ตรัสสติปัฏฐาน 4 ก็เพื่อละโอฆะ โยคะ อาสวะ คัณฐะ อุปาทานและอคติ อย่างละ 4 ด้วย เพื่อกำหนดรู้อาหาร 4 อย่างด้วย พึงทราบในที่มาในปกรณ์ (บาลี) เท่านี้ก่อน.

ส่วนในอรรถกถาท่านกล่าวว่า สติปัฏฐานมีอันเดียวเท่านั้น โดยเป็นความระลึกและโดยเป็นที่ประชุมลงเป็นอันเดียวกัน มี 4 ด้วยอำนาจอารมณ์.เปรียบเหมือนพระนครมี 4 ประตู คนที่มาแต่ทิศตะวันออกนำสิ่งของที่อยู่ทางทิศตะวันออก มาเข้าพระนครทางประตูทิศตะวันออก คนที่มาแต่ทิศใต้ ทิศตะวันตกก็เหมือนกัน คนที่มาแต่ทิศเหนือก็นำสิ่งของที่อยู่ทางทิศเหนือ มาเข้าพระนครทางประตูทิศเหนือฉันใด ข้ออุปไมยนี้ก็ฉันนั้น.

จริงอยู่ นิพพานเปรียบเหมือนนคร โลกุตตรมรรคมีองค์แปด เปรียบเหมือนประตูพระนคร สติปัฏฐานมีกายเป็นต้น เปรียบเหมือนทิศทั้งหลายมีทิศตะวันออกเป็นต้น.ก็คนที่มาแต่ทิศตะวันออกนำสิ่งของที่อยู่ทางทิศตะวันออกมาเข้าพระนครทางประตูทิศตะวันออกฉันใด ผู้ปฏิบัติโดยมุขแห่งกายานุปัสสนา เจริญกายานุปัสสนา 14 วิธี ย่อมหยั่งลงสู่พระนิพพานอันเดียวกันนั่นเองด้วยอริยมรรคที่เกิดจากอานุภาพแห่งการเจริญกายานุปัสสนาก็ฉันนั้น.

คนที่มาแต่ทิศใต้นำสิ่งของที่อยู่ทางทิศใต้ย่อมเข้ามาสู่พระนครทางประตูทิศใต้ฉันใด ผู้ปฏิบัติโดยมุขแห่งเวทนานุปัสสนาเจริญเวทนานุปัสสนา 9 วิธี ย่อมหยั่งลงสู่พระนิพพานอันเดียวกันนั่นเอง ด้วยอริยมรรคที่เกิดจากอานุภาพแห่งการเจริญเวทนานุปัสสนาก็ฉันนั้น.

คนที่มาแต่ทิศตะวันตกนำสิ่งของที่อยู่ทางทิศตะวันตก ย่อมเข้ามาสู่พระนครทางประตูทิศตะวันตกฉันใด ผู้ปฏิบัติโดยมุขแห่งจิตตานุปัสสนา เจริญจิตตานุปัสสนา 16 วิธี ย่อมหยั่งลงสู่พระนิพพานอันเดียวกันนั้นเอง ด้วยอริยมรรคที่เกิดจากอานุภาพแห่งการเจริญจิตตานุปัสสนาฉันนั้น.

คนที่มาแต่ทิศเหนือนำสิ่งของที่อยู่ทางทิศเหนือ ย่อมเข้ามาสู่พระนครทางประตูทิศเหนือฉันใด ผู้ปฏิบัติโดยมุขแห่งธัมมานุปัสสนา เจริญธัมมานุปัสสนา 5 วิธี ย่อมหยั่งลงสู่พระนิพพานอันเดียวกันนั้นเอง ด้วยอริยมรรคที่เกิดจากอานุภาพแห่งการเจริญธัมมานุปัสสนาก็ฉันนั้น.

บัณฑิตพึงทราบว่า ที่ท่านกล่าวว่า สติปัฏฐานมีอันเดียวเท่านั้น ก็ด้วยอำนาจความระลึกได้ อย่างหนึ่ง ด้วยอานุภาพประชุมลงสู่ความเป็นอันเดียวกันหนึ่ง ที่กล่าวว่ามี 4 ก็โดยจัดตามอารมณ์ ดังกล่าวมาฉะนี้.

อรรถกถาบทบริกรรมกายานุปัสสนา

คำว่า มี 4 เป็นอย่างไร เป็นคำถามด้วยหมายจะตอบ (ถามเองตอบเอง).

คำว่า ในธรรมวินัยนี้ คือ ในพระศาสนานี้.

คำว่า ภิกฺขเว นั้น เป็นคำเรียกบุคคลผู้รับธรรม.

คำว่า ภิกษุนั้น เป็นคำแสดงถึงบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยข้อปฏิบัติ. เทวดาและมนุษย์แม้เหล่าอื่น ก็ดำเนินการปฏิบัติให้พร้อมเหมือนกัน. แต่ที่ตรัสว่า ภิกษุ ก็เพราะเป็นผู้ประเสริฐอย่างหนึ่ง เพราะทรงแสดงภาวะของภิกษุด้วยการปฏิบัติอย่างหนึ่ง.

เป็นความจริง ในบุคคลทั้งหลายผู้รับคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ภิกษุเป็นผู้ประเสริฐ เพราะเป็นประหนึ่งภาชนะรองรับคำสั่งสอนมีประการต่างๆ เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า ภิกษุ เพราะเป็นผู้ประเสริฐ.

แต่เมื่อทรงถือเอาภิกษุแล้วคนทั้งหลายที่เหลือก็เป็นอันทรงถือเอาด้วย เหมือนอย่างในการเสด็จพระราชดำเนิน เป็นต้น เหล่าราชบริพารนอกนั้นก็เป็นอันท่านรวมไว้ด้วยศัพท์ว่าราช. ผู้ใดปฏิบัติข้อปฏิบัตินี้ ผู้นั้นย่อมชื่อว่าภิกษุ. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุ ก็เพราะจะทรงแสดงภาวะของภิกษุด้วยการปฏิบัติ.

เป็นความจริง ผู้ปฏิบัติจะเป็นเทวดา หรือมนุษย์ก็ตาม ย่อมนับได้ว่า เป็นภิกษุทั้งนั้น.

เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ (ในธรรมบท ขุททกนิกาย) ว่า

อลงฺกโตฺ เจปิ สมํ จเรยฺย

สนฺโต ทนฺโต นิยโต พฺรหฺมจารี

สพฺเพสุ ภูเตสุ นิธาย ทณฺฑํ

โส พฺราหฺมโณ โส สมโณ ส ภิกฺขุ

หากว่า บุคคลมีธรรมประดับแล้ว เป็น

ผู้สงบแล้ว ฝึกแล้ว เป็นคนแน่ เป็นพรหมจารี

เลิกอาชญากรรมในสัตว์ทั้งปวง พึงประพฤติ

สม่ำเสมออยู่ไซร้ ผู้นั้นก็ชื่อว่าพราหมณ์ ผู้นั้น

ก็ชื่อว่าสมณะ ผู้นั้นก็ชื่อว่าภิกษุ ดังนี้.

คำว่า ในกาย คือ ในรูปกาย.

จริงแล้ว รูปกายในที่นั้นท่านประสงค์เอาว่า กาย เพราะอรรถว่าเป็นที่รวมแห่งอวัยวะน้อยใหญ่ และธรรมทั้งหลายมีผมเป็นต้น เหมือนตัวของช้างตัวของรถเป็นต้น.ที่ชื่อว่ากาย เพราะอรรถว่าเป็นที่รวมฉันใด ที่ชื่อว่ากาย เพราะอรรถว่าเป็นแหล่งที่มาของสิ่งที่น่ารังเกียจฉันนั้น.

จริงแล้ว กายนั้นเป็นแหล่งที่มาของสิ่งน่ารังเกียจ คือน่าเกียจอย่างยิ่ง แม้เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่ากาย.

คำว่า เป็นแหล่งที่มา คือเป็นถิ่นเกิด ใจความของคำในคำว่า เป็นแหล่งที่มานั้น มีดังนี้ ธรรมชาติทั้งหลายมาแต่กายนั้น เหตุนั้น กายนั้นจึงชื่อว่าเป็นแหล่งที่มา.

อะไรมา.

สิ่งอันน่าเกลียดทั้งหลายมีผมเป็นต้นย่อมมา. ชื่อว่า อายะ เพราะเป็นแหล่งมาแห่งสิ่งน่าเกลียดทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.

คำว่า พิจารณาเห็นกาย หมายความว่า มีปกติพิจารณาเห็นในกาย หรือพิจารณาเห็นกาย.พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้จะตรัสว่า ในกายแล้ว บัณฑิตพึงทราบว่าทรงกระทำศัพท์ว่ากาย ครั้งที่สองว่า พิจารณาเห็นกายอีกครั้งหนึ่ง เพื่อทรงแสดงการกำหนด และการแยกออกจากก้อนเป็นต้น โดยไม่ปนกัน.

ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในกาย หรือพิจารณาเห็นจิตในกาย หรือพิจารณาเห็นธรรมในกายหามิได้ ที่แท้พิจารณาเห็นกายในกายต่างหากเพราะฉะนั้น จึงเป็นอันทรงแสดงการกำหนดไม่ปนกัน ด้วยทรงแสดงอาการ คือพิจารณาเห็นกายในวัตถุที่นับว่ากาย.มิใช่พิจารณาเห็นธรรมอย่างหนึ่ง ที่พ้นจากอวัยวะน้อยใหญ่ในกาย ทั้งมิใช่พิจารณาเห็นเป็นหญิงหรือเป็นชาย ที่พ้นจากผมขนเป็นต้น.

จริงอยู่ ในข้อนั้น กายแม้อันใด ที่นับว่าเป็นที่รวมของภูตรูปและอุปาทายรูป มีผมขนเป็นต้น มิใช่พิจารณาเห็นธรรมอย่างหนึ่งที่พ้นจากภูตรูปและอุปาทายรูปที่แท้พิจารณาเห็นกายเป็นที่รวมอวัยวะน้อยใหญ่ในกายแม้อันนั้น เหมือนพิจารณาเห็นส่วนประกอบของรถฉะนั้น พิจารณาเห็นกายเป็นที่รวมของผมขนเป็นต้น เหมือนพิจารณาเห็นส่วนน้อยใหญ่ของพระนครพิจารณาเห็นกายเป็นที่รวมของภูตรูปและอุปาทายรูป เหมือนแยกใบและก้านของต้นกล้วย และเหมือนแบกำมือที่วางเปล่าฉะนั้นเพราะฉะนั้น จึงเป็นอันทรงแสดงการแยกออกจากก้อน ด้วยทรงแสดงวัตถุที่นับได้ว่ากาย โดยเป็นที่รวมโดยประการต่างๆ นั่นแล้ว.

ความจริง กายหรือชายหญิง หรือธรรมไรๆ อื่นที่พ้นจากกายอันเป็นที่รวมดังกล่าวแล้วหาปรากฏในกายนั้นไม่ แต่สัตว์ทั้งหลายก็ยึดมันผิดๆ โดยประการนั้นๆ ในกายที่สักว่า เป็นที่รวมแห่งธรรมดังกล่าวแล้ว อยู่นั่นเอง.

เพราะฉะนั้น พระโบราณาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า

    ยํ ปสฺสติ น ตํ ทิฎฺฐํ    ยํ ทิฎฺฐํ ตํ น ปสฺสติ
    อปสฺสํ พชฺฌเต มูฬฺโห    พชฺฌมาโน น มุจฺจติ
              บุคคลเห็นสิ่งใด สิ่งนั้นก็ไม่ได้เห็น
    สิ่งใดเห็นแล้วก็ไม่เห็นสิ่งนั้น เมื่อไม่เห็น
    ก็หลงติด เมื่อติดก็ไม่หลุดพ้น ดังนี้.               

ท่านกล่าวคำนี้ ก็เพื่อแสดงการแยกออกจากก้อนเป็นต้น.

ด้วยศัพท์ว่าอาทิเป็นต้น ในคำนี้บัณฑิตพึงทราบความดังนี้.

ก็ภิกษุนี้พิจารณาเห็นกายในกายนี้เท่านั้น ท่านอธิบายว่า มิใช่พิจารณาเห็นธรรมอย่างอื่น. คนทั้งหลายแลเห็นน้ำในพยับแดด แม้ที่ไม่มีน้ำฉันใดภิกษุพิจารณาเห็นกายอันนี้ว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน ไม่สวยงาม ว่าเป็นของเที่ยง เป็นสุข เป็นตัวตนและสวยงามฉันนั้น หามิได้ที่แท้ พิจารณาเห็นกาย ท่านอธิบายว่า พิจารณาเห็นกายเป็นที่รวมของอาการ คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มิใช่ตัวตนและไม่สวยงามต่างหาก.

อีกอย่างหนึ่ง ก็กายอันนี้ใด ที่ท่านกล่าวไว้ข้างหน้าว่า มีลมอัสสาสะปัสสาสะเป็นต้น มีกระดูกที่ป่นเป็นที่สุด ตามนัยพระบาลีเป็นต้นว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ไปป่าก็ดี ฯลฯ เธอมีสติหายใจเข้า ดังนี้

และกายอันใดที่ท่านกล่าวไว้ในปฏิสัมภิทามรรค (ขุททกนิกาย) ว่า

ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายคือดิน กายคือน้ำ กายคือไฟ กายคือลม กายคือผม กายคือขน กายคือผิวหนัง กายคือหนัง กายคือเนื้อ กายคือเลือด กายคือเอ็น กายคือกระดูก กายคือเยื่อในกระดูก โดยความเป็นของไม่เที่ยง ดังนี้

บัณฑิตพึงทราบเนื้อความของกายนั้นทั้งหมด แม้อย่างนี้ว่า ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย โดยพิจารณาเห็นในกายอันนี้เท่านั้น.

อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบความอย่างนี้ว่า พิจารณาเห็นกาย ที่นับว่าเป็นที่รวมแห่งธรรมมีผมเป็นต้นในกายโดยไม่พิจารณาเห็นส่วนใดส่วนหนึ่ง ที่พึงถือว่าเป็นเรา เป็นของเราในกาย แต่พิจารณาเห็นกายนั้นๆ เท่านั้นเป็นที่รวมแห่งธรรมต่างๆ มีผมขนเป็นต้น.

อนึ่ง พึงทราบความอย่างนี้ว่า พิจารณาเห็นกายในกาย แม้โดยพิจารณาเห็นกายที่นับว่าเป็นที่รวมแห่งอาการมีลักษณะไม่เที่ยงเป็นต้น ทั้งหมดทีเดียวซึ่งมีนัยที่มาในปฏิสัมภิทามรรค ตามลำดับบาลี เป็นต้นว่า พิจารณาเห็นในกายนี้ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่โดยเป็นของเที่ยงดังนี้.

จริงอย่างนั้น ภิกษุผู้ปฏิบัติปฏิปทา คือพิจารณาเห็นกายในกายรูปนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายอันนี้โดยเป็นของไม่เที่ยงไม่ใช่เห็นโดยเป็นของเที่ยง พิจารณาเห็นโดยเป็นทุกข์ ไม่ใช่เห็นโดยเป็นสุข พิจารณาเห็นโดยมิใช่ตัวตน ไม่ใช่เห็นเป็นตัวตน ด้วยอำนาจอนุปัสสนา (การพิจารณาเห็น) 7 ประการมีพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงเป็นต้น ย่อมเบื่อหน่าย มิใช่ยินดี ย่อมคลายกำหนัด มิใช่กำหนัด ย่อมดับทุกข์ มิใช่ก่อทุกข์ ย่อมสละ มิใช่ยึดถือ.

ภิกษุนั้น เมื่อพิจารณาเห็นกายอันนี้โดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละนิจจสัญญาความสำคัญว่าเที่ยงเสียได้.เมื่อพิจารณาเห็นโดยความเป็นทุกข์ ย่อมละสุขสัญญาความสำคัญว่าเป็นสุขเสียได้. เมื่อพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่ใช่ตัวตน ย่อมละอัตตสัญญาความสำคัญว่าเป็นตัวตนเสียได้.เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมละความยินดีเสียได้. เมื่อคลายกำหนัด ย่อมละความกำหนัดเสียได้. เมื่อดับทุกข์ ย่อมละเหตุเกิดทุกข์เสียได้. เมื่อสละย่อมละความยึดถือเสียได้ ดังนี้ พึงทราบดังกล่าวมาฉะนี้.

คำว่า อยู่ คือเป็นไปอยู่.

คำว่า มีเพียร มีอรรถว่า สภาพใดย่อมแผดเผากิเลสทั้งหลายในภพทั้ง 3 เหตุนั้น สภาพนั้นชื่อว่าอาตาปะแผดเผากิเลส คำนี้เป็นชื่อของความเพียร. ความเพียรของผู้นั้นมีอยู่ เหตุนั้น ผู้นั้นชื่อว่า อาตาปีมีความเพียร.

คำว่า มีสัมปชัญญะ คือ ผู้ประกอบด้วยความรู้ที่นับว่า สัมปชัญญะ.

คำว่า มีสติ คือ ประกอบด้วยสติกำกับกาย.

ก็ภิกษุรูปนี้กำหนดอารมณ์ด้วยสติ พิจารณาเห็นด้วยปัญญา ธรรมดาว่าปัญญาพิจารณาเห็นของผู้เว้นจากสติ ย่อมมีไม่ได้

ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส (สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าสติแล จำปรารถนาในที่ทั้งปวง เพราะฉะนั้น ในที่นี่จึงตรัสว่า ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ดังนี้.

กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นอันทรงอธิบายด้วยประการฉะนี้.

อีกอย่างหนึ่ง ความท้อแท้ภายใน ย่อมทำอันตรายแก่ผู้ไม่มีความเพียร ผู้ไม่มีสัมปชัญญะ ย่อมหลงลืมในการกำหนดอุบายในการงดเว้นสิ่งที่มิใช่อุบายผู้มีสติหลงลืมแล้ว ย่อมไม่สามารถในการกำหนดอุบายและในการสละสิ่งที่ไม่ใช่อุบาย ด้วยเหตุนั้น กัมมัฏฐานนั้นของภิกษุนั้นย่อมไม่สำเร็จเพราะฉะนั้น กัมมัฏฐานนั้นย่อมสำเร็จด้วยอานุภาพแห่งธรรมเหล่าใด เพื่อทรงแสดงธรรมเหล่านั้น พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มีเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ. ทรงแสดงกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน และองค์แห่งสัมปโยคะ

บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงองค์แห่งการละ จึงตรัสว่า นำออกเสีย ซึ่งอภิชฌาและโทมนัสในโลก.

บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า นำออกเสีย หมายความว่า นำออกเสีย ด้วยการนำออกชั่วขณะหรือด้วยการนำออกด้วยการข่มไว้.

คำว่า ในโลก ก็คือในกายอันนั้นแหละ.

จริงอยู่ กายในที่นี้ทรงหมายถึงโลก เพราะอรรถว่าชำรุดทรุดโทรม. อภิชฌาและโทมนัส มิใช่พระโยคาวจรนั้นละได้ในอารมณ์เพียงกายเท่านั้น แม้ในเวทนาเป็นต้น ก็ละได้เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในวิภังค์ (สติปัฏฐานวิภังค์) ว่า

อุปาทานขันธ์ 5 ก็ชื่อว่าโลก.

คำนั้น ท่านกล่าวตามนัยแห่งการขยายความ เพราะธรรมเหล่านั้นนับได้ว่าเป็นโลก. แต่ท่านกล่าวคำอันใดไว้ว่า โลกเป็นอย่างไร โลกก็คือกายอันนั้นแหละ ความในคำนั้นมีดังนี้แล.

พึงเห็นการเชื่อมความดังนี้ว่า นำออกเสียซึ่งอภิชฌาและโทมนัสในโลกนั้น. ก็เพราะในที่นี้ กามฉันท์รวมเข้ากับศัพท์ว่า อภิชฌา พยาบาทรวมเข้ากับศัพท์ว่าโทมนัส ฉะนั้น

จึงควรทราบว่า ทรงอธิบายการละนิวรณ์ด้วยการทรงแสดงธรรมอันเป็นคู่ที่มีกำลังนับเนื่องในนิวรณ์. แต่โดยพิเศษ ในที่นี้ ตรัสการละความยินดีที่มีกายสมบัติเป็นมูลด้วยการกำจัดอภิชฌาตรัสการละความยินร้ายที่มีกายวิบัติเป็นมูล ด้วยการกำจัดโทมนัส ตรัสการละความยินดียิ่งในกาย ด้วยการกำจัดอภิชฌา ตรัสการละความไม่ยินดียิ่งในการเจริญกายานุปัสสนา ด้วยการกำจัดโทมนัสตรัสการละกายของผู้ใส่ซึ่งภาวะว่างามเป็นสุขเป็นต้นที่ไม่มีจริงในกาย ด้วยการกำจัดอภิชฌา และตรัสการละการเอาออกไปซึ่งภาวะที่ไม่งาม เป็นทุกข์เป็นต้นที่มีอยู่จริงในกาย ด้วยการกำจัดโทมนัส.ด้วยพระดำรัสนั้น เป็นอันทรงแสดงอานุภาพของความเพียร และความเป็นผู้สามารถในการประกอบความเพียรของพระโยคาวจร.

แท้จริง อานุภาพของความเพียรนั้น ก็คือเป็นผู้หลุดพ้นจากความยินดียินร้าย ครอบงำความไม่ยินดีและความยินดี และเว้นจากใส่สิ่งที่ไม่มีจริง และนำออกซึ่งสิ่งที่มีจริง.ก็พระโยคาวจรนั้นเป็นผู้หลุดพ้นจากความยินดียินร้าย เป็นผู้ครอบงำความไม่ยินดี และความยินดี ไม่ใส่สิ่งที่ไม่มีจริง ไม่นำออกซึ่งสิ่งที่มีจริง จึงชื่อว่าเป็นผู้สามารถในการประกอบความเพียรด้วยประการฉะนั้น.

อีกนัยหนึ่ง ตรัสกัมมัฏฐานด้วยอนุปัสสนา ในคำที่ว่า กาเย กายานุปสฺสี พิจารณาเห็นกายในกาย.ตรัสการบริหารกายของพระโยคาวจรบำเพ็ญกัมมัฏฐาน ด้วยวิหารธรรมที่กล่าวไว้แล้ว ในคำนี้ว่า วิหรติ อยู่.

ก็ในคำเป็นต้นว่า อาตาปี มีความเพียร พึงทราบว่า

ตรัสความเพียรชอบด้วยอาตาปะความเพียรเครื่องเผากิเลส

ตรัสกัมมัฏฐานที่ให้สำเร็จประโยชน์ทั่วๆ ไป หรืออุบายเครื่องบริหารกัมมัฏฐานด้วยสติสัมปชัญญะ

หรือตรัสสมถะที่ได้มาด้วยอำนาจกายานุปัสสนา

ตรัสวิปัสสนาด้วยสัมปชัญญะ

ตรัสผลแห่งภาวนาด้วยการกำจัดซึ่งอภิชฌาและโทมนัสฉะนี้.

ส่วนในอภิธรรมปิฎก วิภังคปกรณ์ กล่าวความของบทเหล่านั้นไว้อย่างนี้ว่า

บทว่า อนุปสฺสี ความว่า อนุปัสสนาในคำนั้นเป็นอย่างไร ความรอบรู้ ความรู้ทั่ว ฯลฯ ความเห็นชอบ นี้เรียกอนุปัสสนาบุคคลได้ประกอบแล้ว ประกอบพร้อมแล้ว เข้าไปแล้ว เข้าไปพร้อมแล้ว เข้าถึงแล้ว เข้าถึงพร้อมแล้ว มาตามพร้อมแล้ว ด้วยอนุปัสสนานี้ เหตุนั้น บุคคลนั้นจึงเรียกว่า อนุปสฺสี.

บทว่า วิหรติ แปลว่า เป็นอยู่ เป็นไปอยู่ รักษาอยู่ ดำเนินไปอยู่ ให้อัตตภาพดำเนินไปอยู่ เที่ยวไปอยู่ เหตุนั้นจึงเรียกว่า วิหรติ.

บทว่า อาตาปี ผู้มีเพียร ความว่า อาตาปะ ความเพียรในคำนั้นเป็นอย่างไร การปรารภความเพียรเป็นไปทางใจ ฯลฯ สัมมาวายามะใด นี้เรียกว่า อาตปะ บุคคลผู้ประกอบด้วยอาตาปะนี้ เหตุนั้น บุคคลนั้นจึงเรียกว่าอาตาปี.

บทว่า สมฺปชาโน ความว่า สัมปชัญญะในคำนั้นเป็นอย่างไร ความรอบรู้ ความรู้ทั่ว ฯลฯ ความเห็นชอบ นี้เรียกว่า สัมปชัญญะ บุคคลใดประกอบแล้ว ฯลฯ มาตามพร้อมแล้ว ด้วยสัมปชัญญะนี้ เหตุนั้น บุคคลนั้นจึงเรียกว่า สมฺปชาโน.

บทว่า สติมา ความว่า สติในคำนั้นเป็นอย่างไร ความระลึกได้ ความระลึกถึง ฯลฯ ความระลึกชอบ นี้เรียกว่า สติ บุคคลใดประกอบแล้ว ฯลฯ มาตามพร้อมแล้วด้วยสตินี้ เหตุนั้น บุคคลนั้นจึงเรียกว่าสติมา.

ข้อว่า วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ ความว่า โลกในคำนั้นเป็นอย่างไร กายนั้นแล ชื่อว่าโลก อุปาทานขันธ์แม้ทั้ง 5 ก็ชื่อว่าโลก นี้เรียกว่าโลก.

อภิชฌาในคำนั้นเป็นอย่างไร ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ความดีใจ ความยินดี ความเพลิดเพลิน ความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน ความกำหนัดนักแห่งจิต นี้เรียกว่าอภิชฌา.

โทมนัสในคำนั้นเป็นอย่างไร ความไม่สำราญทางใจ ทุกข์ทางใจ ฯลฯ เวทนาที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแก่สัมผัสทางใจ นี้เรียกว่า โทมนัส.

อภิชฌาและโทมนัสนี้ เป็นอันพระโยคาวจรกำจัดเสียแล้ว นำออกไปแล้ว สงบแล้ว ให้สงบแล้ว ให้ระงับแล้ว ให้ถึงความตั้งอยู่ไม่ได้แล้ว ให้ถึงความสาบศูนย์แล้ว ให้ถึงความไม่มีแล้ว ให้ถึงความย่อยยับแล้ว ให้เหือดแห้งแล้ว ให้แห้งผากแล้ว ทำให้ถึงที่สุดแล้วเหตุนั้นจึงตรัสว่า วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌา โทมนสฺสํ ดังนี้.

นัยที่มาในอรรถกถานี้ กับบาลีวิภังค์นั้น บัณฑิตพึงทราบได้โดยการเทียบกัน.

พรรณนาความแห่งอุทเทสที่ว่าด้วยกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีเพียงเท่านี้ก่อน.

บัดนี้จะวินิจฉัยในคำว่า ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย จิตในจิต ธรรมในธรรมทั้งหลาย อยู่ ฯลฯ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก ดังนี้ ประโยชน์ในอันจะกล่าวซ้ำเวทนาเป็นต้นในคำซึ่งมีอาทิอย่างนี้ว่า เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย พึงทราบโดยนัยที่กล่าวมาแล้วในกายานุปัสสนานั่นแล.

อนึ่ง ในข้อที่ว่า พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย พิจารณาเห็นจิตในจิต พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายนี้ มีวินิจฉัยดังนี้ เวทนาได้แก่เวทนา 3 ก็เวทนา 3 นั้น เป็นโลกิยะอย่างเดียว แม้จิตก็เป็นโลกิยะ ธรรมทั้งหลายก็เป็นโลกิยะเหมือนกัน.

การจำแนกเวทนาจิตธรรมนั้นจักปรากฏในนิทเทสวาร.

ส่วนในอุทเทสวารนี้ ภิกษุผู้พิจารณาเวทนา 3 นั้นโดยประการที่ตนพึงพิจารณาเห็น ก็พึงทราบว่า เป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย. แม้ในจิตและธรรม ก็นัยนี้เหมือนกัน.

ถามว่า จะพึงพิจารณาเห็นเวทนาอย่างไร.

ตอบว่า พึงพิจารณาเห็นสุขเวทนาโดยความเป็นทุกข์ เห็นทุกข์เวทนาโดยเป็นดุจลูกศร เห็นอทุกขมสุขเวทนา โดยความเป็นของไม่เที่ยง.

ดังที่ตรัสไว้ว่า

         โย สุขํ ทุกฺขโต อทฺท    ทุกฺขมทฺทกฺขิ สลฺลโต
    อทุกฺขมสุขํ สนฺตํ    อทฺทกฺขิ นํ อนิจฺจโต
    ส เว สมฺมทฺทโส ภิกฺขุ    อุปสนฺโต จริสฺสติ
              ภิกษุใดเห็นสุขเวทนาโดยความเป็น
    ทุกข์ เห็นทุกขเวทนาโดยความเป็นดังลูกศร
     เห็นอทุกขมสุขเวทนาที่มีอยู่โดยความเป็น
    ของไม่เที่ยง ภิกษุนั้นแล เป็นผู้เห็นชอบ จัก
    เป็นผู้สงบเที่ยวไป ดังนี้.

อนึ่ง พระโยคาวจรพึงพิจารณาเห็นเวทนาทั้งหมดนั่นแหละ โดยความเป็นทุกข์ด้วย. สมจริงดังที่ตรัสไว้ดังนี้ว่า เรากล่าวเวทนาทุกอย่างบรรดามี อยู่ในทุกข์ทั้งนั้น.

พึงพิจารณาเห็นเวทนาโดยความเป็นสุข เป็นทุกข์ (เปลี่ยนเวียนกันไป). ดังที่ตรัสไว้ว่า สุขเวทนาเป็นสุข เมื่อเกิดขึ้น เมื่อตั้งอยู่ เป็นทุกข์เมื่อแปรไป ดังนี้

คำทั้งหมด ผู้ศึกษาพึงเข้าใจให้กว้างขวาง.

อนึ่ง พระโยคาวจรพึงพิจารณาเห็น แม้ด้วยอำนาจอนุปัสสนา 7 มีอนิจจานุปัสสนา เป็นต้น. ข้อควรกล่าวนี้ยังเหลือจักปรากฏในนิทเทสวารแล.

ก่อนอื่น บรรดาจิตและธรรม จิตอันพระโยคาวจรพึงพิจารณาเห็นด้วยอำนาจประเภทแห่งจิตอันต่างๆ กัน มีอารัมมณจิต อธิปติจิต สหชาตจิต ภูมิจิต กัมมจิต วิปากจิตและกิริยาจิตเป็นต้นและด้วยอำนาจประเภทแห่งจิต มีจิตมีราคะเป็นต้น ซึ่งมาในนิทเทสวารแห่งอนุปัสสนา มีอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น.

ธรรมอันพระโยคาวจรพึงพิจารณาเห็นด้วยอำนาจแห่งลักษณะเฉพาะตนและลักษณะทั่วไป และแห่งธรรมที่เป็นสภาพว่างเปล่า และด้วยอำนาจประเภทแห่งธรรมมีธรรมอันมีสงบเป็นต้น ซึ่งมาในนิทเทสสวารแห่งอนุปัสสนา 7 มีอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น.

คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวมาแล้วทั้งนั้น.

อภิชฌาและโทมนัสในโลก คือกาย อันพระโยคาวจรใดละได้แล้ว ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐานนี้ แม้อภิชฌาและโทมนัสในโลก คือเวทนาเป็นต้นก็เป็นอันพระโยคาวจรนั้นละได้แล้วเหมือนกันก็จริงอยู่ ถึงดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ยังตรัสการละอภิชฌาและโทมนัสไว้ในสติปัฏฐานทุกข้อด้วยอำนาจแห่งบุคคลต่างๆ กัน และด้วยอำนาจแห่งสติปัฏฐานภาวนา อันเป็นไปในขณะจิตต่างกัน.

อีกนัยหนึ่ง เพราะอภิชฌาและโทมนัสที่ละได้ในสติปัฏฐานข้อหนึ่งถึงในสติปัฏฐานที่เหลือทั้ง 3 ข้อ ก็เป็นอันละได้เหมือนกัน.เพราะฉะนั้นแล จึงควรทราบว่า การละอภิชฌาและโทมนัสนี้ ตรัสไว้เพื่อทรงแสดงการละในสติปัฏฐานเหล่านั้นของภิกษุนั้น ฉะนั้นแล.

จบอุทเทสวารกถา

อ.คำอธิบายคำบริกรรมกรรมฐาน

นายช่างจักสานผู้ฉลาด ประสงค์จะทำเครื่องใช้ เช่นเสื่อหยาบ เสื่ออ่อน เตียบ ลุ้งและฝาชีเป็นต้น ได้ไม้ไผ่ลำใหญ่มาลำหนึ่ง ตัดเป็น 4 ท่อนแล้ว พึงเอาท่อนๆ หนึ่งแต่ 4 ท่อนนั้นมาผ่าออกทำเป็นเครื่องใช้นั้นๆ แม้ฉันใด

พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ฉันนั้นเหมือนกัน บัดนี้ ทรงประสงค์จะทำสัตว์ทั้งหลายให้บรรลุคุณวิเศษต่างๆ ด้วยการทรงแสดงสติปัฏฐานจำแนกสัมมาสติอย่างเดียวเท่านั้น ออกเป็น 4 ส่วน ด้วยสามารถแห่งอารมณ์โดยนัยเป็นต้นว่า สติปัฏฐาน 4 เป็นอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ดังนี้ ทรงถือเอาสติปัฏฐานแต่ละอย่างจาก 4 อย่างนั้น

เมื่อจะทรงจำแนกกาย จึงทรงเริ่มตรัสนิทเทสวารโดยนัยเป็นต้นว่า กถญฺจ ภิกฺขเว.

อธิบายศัพท์ในปุจฉวาร

ในนิทเทสวารนั้น คำว่า กถญฺจ อย่างไรเล่า เป็นต้น เป็นคำถามด้วยหมายจะขยายให้กว้างขวาง.ก็แล ความย่อในปุจฉวารนี้มีดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายโดยประการไรเล่า. ในปุจฉวารทุกข้อ ก็นัยนี้.

ข้อว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ คือภิกษุในพระศาสนานี้. ก็อิธศัพท์ในคำนี้ เป็นเครื่องแสดงศาสนา อันเป็นที่อาศัยอย่างดีของบุคคลผู้บำเพ็ญกายานุปัสสนาสติปัฏฐานทุกประการ ให้เกิดขึ้นแล้ว และเป็นเครื่องปฏิเสธความไม่เป็นจริงของศาสนาอื่น.

สมจริงดังที่ตรัสไว้ (ในจูฬสีหนาทสูตร มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์) ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะที่ 1-2-3-4 มีอยู่ในศาสนานี้เท่านั้น ศาสนาอื่นว่างเปล่าจากสมณะผู้เป็นพระอรหันต์ทั้งหลาย

เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า ภิกษุในศาสนานี้.

คำว่า ภิกษุไปป่าก็ดี ไปที่โคนไม้ก็ดี ไปยังเรือนว่างก็ดี นี้เป็นเครื่องแสดงการกำหนดเอาเสนาสนะอันเหมาะแก่การเจริญสติปัฏฐานของภิกษุนั้น.เพราะจิตของเธอซ่านไปในอารมณ์ทั้งหลายมีรูปเป็นต้นมานาน ย่อมไม่ประสงค์จะลงสู่วิถีแห่งกัมมัฏฐาน คอยแต่จะแล่นออกนอกทางท่าเดียว เหมือนเกวียนที่เทียมด้วยโคโกงฉะนั้น.

เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้จะเจริญสติปัฏฐานนี้ ประสงค์จะทรมานจิตที่ร้าย ที่เจริญมาด้วยการดื่มรส มีรูปารมณ์เป็นต้นมานานพึงพรากออกจากอารมณ์ เช่นรูปารมณ์เป็นต้น แล้วเข้าไปป่าก็ได้ โคนไม้ก็ได้ เรือนว่างก็ได้ แล้วเอาเชือก คือสติผูกเข้าไว้ที่หลัก คืออารมณ์ของสติปัฏฐานนั้นจิตของเธอนั้นแม้จะดิ้นรนไปทางนั้นทางนี้ เมื่อไม่ได้อารมณ์ที่คุ้นเคยมาก่อน ไม่อาจตัดเชือก คือสติให้ขาดแล้วหนีไปได้ ก็จะแอบแนบสนิทเฉพาะอารมณ์นั้นอย่างเดียว ด้วยอำนาจเป็นอุปจารภาวนา และอัปปนาภาวนา.

เหมือนอย่างคนเลี้ยงโค ต้องการจะทรมานลูกโคโกงที่ดื่มนมแม่โคตัวโกงจนเติบโต พึงพรากมันไปเสียจากแม่โค แล้วปักหลักใหญ่ไว้หลักหนึ่ง เอาเชือกผูกไว้ที่หลักนั้นครั้งนั้น ลูกโคของเขานั้นก็จะดิ้นไปทางโน้นทางนี้ เมื่อไม่อาจหนีไปได้ ก็หมอบหรือนอนแนบหลักนั้นนั่นแล ฉะนั้น.

เหตุนั้น พระโบราณาจารย์จึงกล่าวว่า

ยถา ถมฺเภ นิพนฺเธยฺย วจฺฉํ ทมํ นโร อิธ

    พนฺเธยฺเยวํ สกํ จิตฺตํ    สติยารมฺมเณ ทฬฺหํ
              นรชนในพระศาสนานี้ พึงผูกจิตของตน
    ไว้ในอารมณ์ให้มั่นด้วยสติ เหมือนคนเลี้ยงโค
     เมื่อจะฝึกลูกโค พึงผูกมันไว้ที่หลักฉะนั้น.

เสนาสนะนี้ ย่อมเหมาะแก่การเจริญสติปัฏฐานของภิกษุผู้เจริญสติปัฏฐานนั้น ด้วยประการฉะนี้.เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า คำนี้เป็นเครื่องแสดงการกำหนดเสนาสนะอันเหมาะแก่การเจริญสติปัฏฐานของภิกษุนั้นดังนี้.

เสนาสนะที่เหมาะแก่การเจริญอานาปานสติ

อีกอย่างหนึ่ง เพราะพระโยคาวจรไม่ละ ละแวกบ้านอันอื้ออึ้งด้วยเสียงหญิงชาย ช้างม้าเป็นต้น จะบำเพ็ญอานาปานสติกัมมัฏฐาน อันเป็นยอดในกายานุปัสสนา เป็นปทัฏฐานแห่งการบรรลุคุณวิเศษและธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบันของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งปวงนี้ให้สำเร็จ ไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ เลย เพราะฌานมีเสียงเป็นข้าศึก

แต่พระโยคาวจรกำหนดกัมมัฏฐานนี้แล้วให้จตุตถฌาน มีอานาปานสติเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ทำฌานนั้นนั่นแลให้เป็นบาท พิจารณาสังขารทั้งหลายแล้วบรรลุพระอรหัต ซึ่งเป็นผลอันยอดจะทำได้ง่าย ก็แต่ในป่าที่ไม่มีบ้าน ฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงเสนาสนะอันเหมาะแก่ภิกษุโยคาวจรนั้น จึงตรัสว่า อรญฺญคโต วา ไปป่าก็ดี เป็นต้น.

ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเปรียบเหมือนอาจารย์ผู้รู้ชัยภูมิ. อาจารย์ผู้รู้ชัยภูมิเห็นพื้นที่ควรสร้างนครแล้ว ใคร่ครวญถี่ถ้วนแล้ว ก็ชี้ว่า ท่านทั้งหลายจงสร้างนครตรงนี้เมื่อเขาสร้างนครเสร็จโดยสวัสดีแล้ว ย่อมได้รับลาภสักการะอย่างใหญ่จากราชสกุล ฉันใด

พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นก็ฉันนั้น ทรงใคร่ครวญถึงเสนาสนะอันเหมาะแก่พระโยคาวจรแล้วทรงชี้ว่าเสนาสนะตรงนี้ พระโยคาวจรควรประกอบกัมมัฏฐานเนืองๆ ต่อแต่นั้น พระโยคีเจริญกัมมัฏฐานเนืองๆ ในเสนาสนะนั้น ได้บรรลุพระอรหัตตามลำดับย่อมทรงได้รับสักการะอย่างใหญ่ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ จริงหนอ.

ก็ภิกษุนี้ ท่านกล่าวว่า เป็นเช่นเดียวกับเสือเหลือง. เหมือนอย่างพระยาเสือเหลืองขนาดใหญ่อาศัยพงหญ้าป่าชัฏ หรือเทือกเขาในป่า ซ่อนตัวคอยจับหมู่มฤคมีกระบือป่า ละมัง หมูป่าเป็นต้น ฉันใดภิกษุนี้ผู้มีเพียรประกอบเนืองๆ ซึ่งกัมมัฏฐานในป่าเป็นต้น ย่อมถือเอาซึ่งมรรค 4 และอริยผล 4 ได้ตามลำดับ ฉันนั้นเหมือนกัน.

เพราะเหตุนั้น พระโบราณาจารย์จึงกล่าวว่า.

ยถาปิ ทีปิโก นาม นิลียิตฺวา คณฺหตี มิเค

    ตเถวายํ พุทฺธปุตฺโต    ยุตฺตโยโค วิปสฺสโก
    อรญฺญํ ปวิสิตฺวาน    คณฺหติ ผลมุตฺตมํ
              อันเสือเหลืองซ่อนตัวคอยจับหมู่มฤค ฉันใด
     ภิกษุผู้เป็นพุทธบุตรนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เข้าไปสู่
    ป่าแล้ว ประกอบความเพียร เป็นผู้มีปัญญาเห็นแจ้ง
     (เจริญวิปัสสนา) ย่อมถือไว้ได้ซึ่งผลอันสูงสุดได้.

เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงเสนาสนะป่า อันเป็นภูมิที่เหมาะแก่ชวนปัญญา อันเป็นเครื่องบากบั่นของพระโยคาวจรนั้น จึงตรัสว่า อรญฺญคโตวา ไปป่าก็ดี เป็นต้น.

ต่อแต่นี้ไป ก่อนอื่น คำที่ควรจะกล่าวในอานาปานบรรพนี้ท่านกล่าวไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคแล้วทั้งนั้น.

กำหนดลมอัสสาสปัสสาสะ

ก็คำว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนนายช่างกลึง หรือลูกมือของนายช่างกลึงผู้ขยัน นี้เป็นเพียงคำอุปมาเท่านั้น.คำว่า ในกายภายใน ก็ดีนี้เป็นเพียงอัปปนาเท่านั้น. แต่อัปปนานั้นก็ย่อมไม่มาในคำนั้น. มาแต่อุปจารกัมมัฏฐานที่เหลือ. แต่ก็ยังมาไม่ถึง คำว่า ผู้ขยัน หมายถึง ผู้ฉลาด (ผู้ชำนาญ).

คำว่า ชักเชือกกลึงยาวก็ดี ความว่า เหยียดมือ เหยียดเท้า ชักเชือกยาวในเวลากลึงกลองช่องพิณเป็นต้น ซึ่งเป็นของใหญ่.คำว่า ชักเชือกสั้นก็ดี ความว่า ชักเชือกสั้นๆ ในเวลากลึงของเล็กๆ น้อยๆ เช่นงาและลิ่มสลักเป็นต้น.

คำว่า ฉันนั้นเหมือนกันแล ความว่า แม้ภิกษุนี้ก็ฉันนั้น เมื่อหายใจเข้ายาวโดยลมอัสสาสะและปัสสาสะ ที่เป็นไปโดยระยะยาวและระยะสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว ฯลฯ คอยสำเหนียกอยู่ว่าเราหายใจออกยาวดังนี้.เมื่อเธอสำเหนียกอยู่อย่างนี้ ฌาน 4 ย่อมเกิดในนิมิตแห่งลมอัสสาสปัสสาสะ. เธอออกจากฌานแล้ว จะกำหนดลมอัสสาสปัสสาสะ หรือองค์ฌานได้.

ในการกำหนดลมอัสสาสปัสสาสะนั้น ภิกษุประกอบกัมมัฏฐานในลมอัสสาสปัสสาสะ ย่อมกำหนดรูปอย่างนี้ว่า ลมอัสสาสปัสสาสะเหล่านี้อาศัยอะไรอาศัยวัตถุ กรัชกาย ชื่อว่าวัตถุ มหาภูตรูป 4 กับอุปาทายรูป ชื่อว่ากรัชกาย ต่อแต่นั้น จึงกำหนดในนามธรรม ซึ่งมีผัสสะเป็นที่ 5 (1. เวทนา 2. สัญญา 3. เจตนา 4. วิญญาณ 5. ผัสสะ) มีรูปนั้นเป็นอารมณ์.

ครั้นกำหนดนามรูปนั้นอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้แล้ว ค้นหาปัจจัยแห่งนามรูปนั้นอยู่ เห็นปฏิจจสมุปบาทมีอวิชชาเป็นต้นแล้ว ข้ามพ้นความสงสัยเสียได้ว่านี้เป็นเพียงปัจจัย และธรรมที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยเท่านั้นไม่ใช่สัตว์หรือบุคคล จึงยกนามรูปกับทั้งปัจจัย ขึ้นสู่พระไตรลักษณ์เจริญวิปัสสนาอยู่ ย่อมบรรลุพระอรหัตโดยลำดับ. นี้เป็นทางปฏิบัติออกจากทุกข์จนถึงพระอรหัตของภิกษุรูปหนึ่ง.

ภิกษุผู้เจริญฌานกัมมัฏฐาน กำหนดนามรูปว่า องค์ฌานเหล่านี้อาศัยอะไร อาศัยวัตถุรูป กรัชกายชื่อว่าวัตถุรูป องค์ฌานจัดเป็นนาม กรัชกายจัดเป็นรูป เมื่อจะแสวงหาปัจจัยแห่งนามรูปนั้น จึงเห็นปัจจยาการมีอวิชชาเป็นต้นจึงข้ามความสงสัยเสียได้ว่า นี้เป็นเพียงปัจจัยและธรรมอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น ไม่ใช่สัตว์หรือบุคคล จึงยกนามรูปพร้อมทั้งปัจจัยขึ้นสู่ไตรลักษณ์ เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตโดยลำดับ. นี้เป็นมุขของการออกจากทุกข์จนถึงพระอรหัตของภิกษุรูปหนึ่ง.

คำว่า อิติ อชฺฌตฺตํวา ในกายภายใน ความว่า พิจารณาเห็นกายในกาย คือลมอัสสาสปัสสาสะของตนอยู่อย่างนี้.

คำว่า หรือ ภายนอก ความว่า หรือพิจารณาเห็นกายในกาย คือลมอัสสาสปัสสาสะของคนอื่น อยู่.

คำว่า ทั้งภายในทั้งภายนอก ความว่า หรือในกาย คือลมอัสสาสปัสสาสะของตนตามกาล ของคนอื่นตามกาลด้วยคำนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกาลที่ภิกษุนั้นไม่หยุดกัมมัฏฐานที่คล่องแคล่ว ให้กาย คือลมอัสสาสปัสสาสะสัญจรไปมาอยู่ ก็กิจทั้งสองนี้ ย่อมไม่ได้ในเวลาเดียวกัน.

คำว่า พิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิด ความว่า ลมอาศัยสูบของช่างทอง 1 ลูกสูบ 1 ความพยายามอันเกิดแต่ลูกสูบนั้น 1 จึงจะสัญจรไปมาได้ฉันใดกาย คือลมอัสสาสปัสสาสะก็อาศัยกรัชกาย 1 ช่องจมูก 1 จิต 1 ของภิกษุ จึงสัญจรไปมาได้ฉันนั้น. ภิกษุเห็นธรรมมีกายเป็นต้น ซึ่งมีความเกิดเป็นธรรมดา ท่านเรียกว่า พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดในกาย.

คำว่า พิจารณาธรรม คือความเสื่อมก็ดี ความว่า เมื่อสูบถูกนำออกไปแล้วเมื่อลูกสูบแตกแล้ว เมื่อความพยายามอันเกิดแต่ลูกสูบนั้น ไม่มี ลมนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ฉันใด เมื่อกายแตกแล้ว เมื่อช่องจมูกถูกกำจัดเสียแล้ว และเมื่อจิตดับแล้วชื่อว่ากาย คือลมอัสสาสปัสสาสะ ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน. ภิกษุผู้เห็นอยู่อย่างนี้ว่า ลมอัสสาสปัสสาสะดับ เพราะกายเป็นต้นดับ ดังนี้ ท่านเรียกว่า พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมในกาย.

คำว่า พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิด และความเสื่อม หมายความว่า พิจารณาเห็นความเกิดตามกาล ความเสื่อมตามกาล.

คำว่า สติของเธอปรากฏชัดว่ากายมีอยู่ ความว่า สติของภิกษุนั้นเข้าไปตั้งเฉพาะอย่างนี้ว่ากายแลมีอยู่ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่หญิง ไม่ใช่ชาย ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร.

คำว่า เพียงเท่านั้น นี้เป็นเครื่องกำหนดเขตแห่งประโยชน์.

ท่านอธิบายว่า สติที่เข้าไปตั้งอยู่นั้น หาใช่เพื่อประโยชน์อย่างอื่นไม่ ที่แท้ก็เพียงเพื่อประโยชน์สักว่า ความรู้ คือประมาณแห่งความรู้ยิ่งๆ ขึ้นไป และประมาณแห่งสติเท่านั้น. อธิบายว่า เพื่อความเจริญแห่งสติสัมปชัญญะ.

คำว่า ไม่ถูกกิเลส อาศัยอยู่ ความว่า ไม่ถูกกิเลสอาศัย ด้วยอำนาจแห่งกิเลสเป็นที่อาศัย คือตัณหา และทิฏฐิอยู่.

คำว่า ไม่ยึดถือสิ่งไรๆ ในโลกด้วย ความว่า ไม่ถือสิ่งไรๆ ในโลก คือรูป ฯลฯ หรือวิญญาณว่า นี้เป็นตัวของเรา นี้มีในตัวของเรา.

ปิอักษรใน คำว่า เอวํปิ ลงในอรรถ คือ อาศัยความข้างหน้าประมวลมา.

ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมอบเทศนา คืออานาปานบรรพแสดงแล้วด้วยบทนี้.

อานาปานสติเป็นอริยสัจ 4

ในอานาปานบรรพนั้น สติที่กำหนดลมอัสสาสปัสสาสะเป็นอารมณ์เป็นทุกขสัจ ตัณหามีในก่อนอันยังทุกขสัจนั้นให้ตั้งขึ้นเป็นสมุทัยสัจ ความไม่เป็นไปแห่งสัจจะทั้งสอง เป็นนิโรธสัจอริยมรรคที่กำหนดรู้ทุกขสัจ ละสมุทัยสัจ มีนิโรธสัจเป็นอารมณ์ เป็นมรรคสัจ. ภิกษุโยคาวจรขวนขวายด้วยอำนาจสัจจะ 4 อย่างนี้ ย่อมบรรลุความดับทุกข์ได้ฉะนี้.

นี้เป็นทางปฏิบัตินำออกจากทุกข์ จนบรรลุพระอรหัตของภิกษุผู้ตั้งมั่นแล้ว ด้วยอำนาจแห่งลมอัสสาสปัสสาสะ รูปหนึ่งฉะนี้แล.

จบอานาปานบรรพ

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกกายานุปัสสนาโดยทางแห่งลมอัสสาสปัสสาสะอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงจำแนกโดยทางแห่งอิริยาบถ จึงตรัสว่า ปุน จปรํ อีกอย่างหนึ่งดังนี้เป็นต้น.

ในอิริยาบถนั้น พึงทราบความว่า แม้สัตว์ดิรัจฉาน เช่นสุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอกเป็นต้น เมื่อเดินไปก็รู้ว่าตัวเดิน ก็จริงอยู่ แต่ในอิริยาบถนั้น มิได้ตรัสหมายเอาความรู้เช่นนั้นเพราะความรู้เช่นนั้น ละความเห็นว่าสัตว์ไม่ได้ เพิกถอนความเข้าใจว่าสัตว์ไม่ได้ ไม่เป็นกัมมัฏฐาน หรือสติปัฏฐานภาวนาเลย.

ส่วนการรู้ของภิกษุ (ผู้เจริญกายานุปัสสนา) นี้ ย่อมละความเห็นว่าสัตว์ เพิกถอนความเข้าใจว่าสัตว์ได้ เป็นทั้งกัมมัฏฐาน และเป็นสติปัฏฐานภาวนา และคำที่ตรัสหมายถึง ความรู้ชัดอย่างนี้ว่า ใครเดิน การเดินของใคร เดินได้เพราะอะไร.

แม้ในอิริยาบถอื่น มีการยืนเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.

จะวินิจฉัยในปัญหาเหล่านั้น คำว่า ใครเดิน ความว่า ไม่ใช่สัตว์หรือบุคคลไรๆ เดิน. คำว่า การเดินของใคร ความว่า ไม่ใช่การเดินของสัตว์ หรือบุคคลไรๆ เดิน.คำว่า เดินได้เพราะอะไร ความว่า เดินได้เพราะการแผ่ไปของวาโยธาตุอันเกิดแต่การทำของจิต.

เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ คือจิตเกิดขึ้นว่า เราจะเดิน จิตนั้นก็ทำให้เกิดวาโยธาตุๆ ก็ทำให้เกิดวิญญัติ ความเคลื่อนไหว การนำสกลกายให้ก้าวไปข้างหน้า ด้วยความไหวตัวแห่งวาโยธาตุอันเกิดแต่การทำของจิต เรียกว่าเดิน.

แม้ในอิริยาบถอื่นมียืนเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.

ก็ในอิริยาบถยืนเป็นต้นนั้น จิตเกิดขึ้นว่า เราจะยืน จิตนั้นทำให้เกิดวาโยธาตุๆ ทำให้เกิดวิญญัติความเคลื่อนไหว การทรงสกลกายตั้งขึ้นแต่พื้นเท้าเป็นที่สุด ด้วยความไหวตัวแห่งวาโยธาตุอันเกิดแต่การทำของจิต เรียกว่ายืน. จิตเกิดขึ้นว่า เราจะนั่ง จิตนั้นก็ทำให้เกิดวาโยธาตุๆ ก็ทำให้เกิดวิญญัติความเคลื่อนไหวความคู้กายเบื้องล่างลง ทรงกายเบื้องบนตั้งขึ้น ด้วยความไหวตัวแห่งวาโยธาตุอันเกิดแต่การทำของจิต เรียกว่านั่ง. จิตเกิดขึ้นว่า เราจะนอน จิตนั้นก็ทำให้เกิดวาโยธาตุๆ ทำให้เกิดวิญญัติความเคลื่อนไหวการเหยียดกายทั้งสิ้นเป็นทางยาว ด้วยความไหวตัวแห่งวาโยธาตุอันเกิดแต่การทำจิต เรียกว่า นอน.

เมื่อภิกษุนั้นรู้ชัดอยู่อย่างนี้ ย่อมมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เขากล่าวกันว่า สัตว์เดิน สัตว์ยืน แต่โดยอรรถแล้ว สัตว์ไรๆ ที่เดิน ที่ยืนไม่มีประดุจคำที่กล่าวกันว่า เกวียนเดิน เกวียนหยุด แต่ธรรมดาว่า เกวียนไรๆ ที่เดินได้ หยุดได้เอง หามีไม่ต่อเมื่อนายสารถีผู้ฉลาดเทียมโค 4 ตัว แล้วขับไป เกวียนจึงเดิน จึงหยุด เพราะฉะนั้น คำนั้นจึงเป็นเพียงบัญญัติสมมุติเรียกกันฉันใด

กายเปรียบเหมือนเกวียน เพราะอรรถว่าไม่รู้ ลมที่เกิดจากจิต เปรียบเหมือนโค จิตเปรียบเหมือนสารถี

เมื่อจิตเกิดขึ้นว่า เราจะเดิน เราจะยืน วาโยธาตุที่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวก็เกิดขึ้น อิริยาบถมีเดินเป็นต้น ย่อมเป็นไปเพราะความไหวตัวแห่งวาโยธาตุอันเกิดแต่การทำของจิตต่อแต่นั้น สัตว์ก็เดิน สัตว์ก็ยืน เราเดิน เรายืน เพราะเหตุนั้น คำนั้นจึงเป็นเพียงบัญญัติสมมุติเรียกกัน ฉันนั้นเหมือนกัน.

ด้วยฉะนั้น พระโบราณาจารย์จึงกล่าวว่า

              นาวา มาลุตเวเคน    ชิยาเวเคน เตชนํ
              ยถา ยาติ ตถา กาโย    ยาติ วาตาหโต อยํ
              
              ยนฺตํ สุตฺตวเสเนว    จิตฺตสุตฺตวเสนิทํ        
                     
              ปยุตฺตํ กายยนฺตมฺปิ    ยาติ ฐาติ นิสีทติ      
                       
              โก นาม เอตฺถ โส    สตฺโต โย วินา เหตุปจฺจเย               
              
              อตฺตโน อานุภาเวน    ติฎฺเฐ วา ยทิ วา วเช
              
              เรือแล่นไปได้ด้วยกำลังลม ลูกธนูแล่นไปด้วย
              กำลังสายธนูฉันใด กายนี้อันลมนำไป จึงเดินไปได้               
              ฉันนั้น แม้ยนต์คือกายนี้ อันปัจจัยประกอบแล้ว เดิน               
              ยืนและนั่งได้ด้วยอำนาจสายชัก คือจิต เหมือนเครื่อง               
              ยนต์ หมุนไปได้ด้วยอำนาจสายชักฉะนั้นนั่นแหละ
              ในโลกนี้ สัตว์ใดเว้นเหตุปัจจัยเสียแล้ว ยังยืนได้ 
              เดินได้ด้วยอานุภาพของตนเอง สัตว์นั้นชื่อไรเล่าจะมี ดังนี้.

เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า ภิกษุนี้กำหนดอิริยาบถมีเดินเป็นต้น ซึ่งเป็นไปได้ด้วยอำนาจเหตุปัจจัยเท่านั้นอย่างนี้เมื่อเดินก็รู้ว่าเราเดิน เมื่อยืนก็รู้ว่าเรายืน เมื่อนั่งก็รู้ว่าเรานั่ง เมื่อนอนก็รู้ว่าเรานอน ดังนี้.

คำว่า ก็หรือ กายของเธอตั้งอยู่โดยอาการใดๆ ก็รู้กายนั้นโดยอาการนั้นๆนี้เป็นคำกล่าวรวมอิริยาบถทั้งปวง.มีคำอธิบายว่า หรือกายของเธอดำรงอยู่โดยอาการใดๆ ก็รู้ชัดกายนั้นโดยอาการนั้นๆคือกายนั้นดำรงอยู่โดยอาการเดิน ก็รู้ชัดว่าเราเดิน กายดำรงอยู่โดยอาการยืน นั่ง นอน ก็รู้ชัดว่าเรายืน เรานั่ง เรานอน.

อิริยาบถภายในภายนอก

คำว่า ภายใน หรือดังนี้ ความว่า พิจารณาเห็นกายในกายด้วยการกำหนดอิริยาบถ 4 ของตนเองอย่างนี้อยู่.

คำว่า หรือภายนอก ความว่า ด้วยการกำหนดอิริยาบถสี่ของคนอื่นอยู่.

คำว่า หรือทั้งภายใน ทั้งภายนอก ความว่า พิจารณาเห็นกายในกาย ด้วยการกำหนดอิริยาบถ 4 ของตนเองตามกาล ของคนอื่นตามกาลอยู่.

ก็ในคำบาลีเป็นต้นว่า พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิด คือพึงนำความเกิดและความเสื่อมแห่งรูปขันธ์ออกแสดง โดยอาการทั้ง 5 ตามนัยบาลีเป็นต้นว่า รูปเกิด เพราะอวิชชาเกิด ดังนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาความเกิด และความเสื่อมนั้นแล ตรัสว่า พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดดังนี้เป็นต้นในที่นี้.

คำบาลีเป็นต้นว่า สติของเธอก็ปรากฏชัดว่า กายมีอยู่ ดังนี้ ก็มีข้อความเช่นเดียวกับที่กล่าวมาแล้วนั่นแล.

สติกำหนดอิริยาบถเป็นอริยสัจ 4

แม้ในอิริยาบถบรรพนี้ สติที่กำหนดอิริยาบถ 4 เป็นอารมณ์เป็นทุกขสัจ ตัณหาที่มีในก่อนอันยังสติที่กำหนดอิริยาบถ 4 นั้นให้ตั้งขึ้นเป็นสมุทัยสัจการหยุดทุกขสัจและสมุทัยสัจทั้งสอง เป็นนิโรธสัจ อริยมรรคที่กำหนดรู้ทุกข์ ละสมุทัยมีนิโรธเป็นอารมณ์ เป็นมรรคสัจภิกษุผู้โยคาวจรขวนขวายโดยทางสัจจะ 4 อย่างนี้ ย่อมบรรลุพระนิพพานดับทุกข์.

นี้เป็นทางปฏิบัตินำออกจากทุกข์จนถึงพระอรหัต ของภิกษุผู้กำหนดอิริยาบถ 4 รูปหนึ่งฉะนี้แล.

จบอิริยาบถบรรพ

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกกายานุปัสสนาโดยทางอิริยาบถ 4 อย่างนี้แล้วบัดนี้ เพื่อจะทรงจำแนกโดยทางสัมปชัญญะ 4 จึงตรัสว่า ยังมีอีกข้อหนึ่ง เป็นต้น.

ในสัมปชัญญบรรพนั้น คำว่า ก้าวไปข้างหน้าเป็นต้น ทรงพรรณนาไว้แล้วในสามัญญผลสูตร.

คำว่า หรือภายใน ความว่า พิจารณาเห็นกายในกายของตน หรือในกายของคนอื่น หรือในกายของตนตามกาล ของคนอื่นตามกาล โดยกำหนดสัมปชัญญะ 4 อย่างนี้อยู่.

ความเกิด และความเสื่อมของรูปขันธ์นั้นแล พึงนำออกแสดงในคำว่า พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดเป็นต้น แม้ในสัมปชัญญบรรพนี้.

คำนอกจากนี้ ก็เช่นเดียวกับที่กล่าวมาแล้วนั่นแล.

สติกำหนดสัมปชัญญะเป็นอริยสัจ 4

ในสัมปชัญญบรรพนี้ สติกำหนดสัมปชัญญะ 4 เป็นทุกขสัจ ตัณหาที่มีในก่อน อันยังสติกำหนดสัมปชัญญะ 4 นั้นให้ตั้งขึ้น เป็นสมุทัยสัจการไม่เกิดทุกขสัจและสมุทัยสัจทั้งสอง เป็นนิโรธสัจ อริยมรรคมีประการดังกล่าวมาแล้วเป็นมรรคสัจภิกษุโยคาวจรขวนขวายโดยทางสัจจะ 4 อย่างนี้ ย่อมบรรลุนิพพานดับทุกข์ได้แล.

นี้เป็นทางปฏิบัตินำทุกข์ออกจนถึงพระอรหัต ของภิกษุผู้กำหนดสัมปชัญญะ 4 รูปหนึ่งฉะนี้แล.

จบสัมปชัญญบรรพ

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกกายานุปัสสนาโดยทางสัมปชัญญะ 4 อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงจำแนกการใส่ใจถึงกายโดยความเป็นของปฏิกูล จึงตรัสว่า ยังมีอีกข้อหนึ่ง เป็นต้น.

ในปฏิกูลมนสิการบรรพนั้น คำใดที่ควรกล่าวในบาลีเป็นต้นว่า กายนี้นี่แลคำนั้นทั้งหมด ท่านกล่าวไว้แล้วในกายคตาสติกัมมัฏฐาน คัมภีร์วิสุทธิมรรคโดยพิสดารด้วยอาการทั้งปวง.

คำว่า มีปากสองข้าง ความว่า ประกอบด้วยปากทั้งสอง ทั้งข้างล่างข้างบน.

คำว่า มีอย่างต่างๆ คือมีชนิดต่างๆ.

ในข้อนั้นมีคำเทียบเคียงอุปมาดังต่อไปนี้.

ก็กายอันประกอบด้วยมหาภูตรูป 4 พึงทราบ เปรียบเหมือนไถ้มีปากสองข้าง อาการ 32 มีผมเป็นต้น เปรียบเหมือนธัญญชาติต่างชนิด ที่เขาใส่ปนกันลงไปในไถ้นั้นพระโยคาวจรเปรียบเหมือนบุรุษมีจักษุ อาการปรากฏชัดแห่งอาการ 32 ของพระโยคาวจรพึงทราบเหมือนอาการที่ธัญญชาติต่างชนิดปรากฏแก่บุรุษผู้แก้ไถ้นั้นออกแล้ว พิจารณาดูอยู่.

คำว่า ภายในก็ดี ความว่า พิจารณาเห็นกายในกายของตน หรือในกายของคนอื่น หรือในกายของตนตามกาล ของคนอื่นตามกาล ด้วยการกำหนดอาการ 32 มีผมเป็นต้นอย่างนี้อยู่.

ข้อต่อไปจากนี้ ก็มีนัยดังที่กล่าวมาแล้ว. ในปฏิกูลมนสิการบรรพนี้ ต่างกันอย่างเดียว ก็คือควรประกอบความอย่างนี้ว่า สติกำหนดอาการ 32 เป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจแล้วพึงทราบว่าเป็นทางปฏิบัตินำออกจากทุกข์จนถึงพระอรหัต ของภิกษุผู้กำหนดอาการ 32 รูปหนึ่ง. คำนอกจากนี้ก็เป็นเช่นเดียวกับที่กล่าวมาแล้วนั้นแล.

จบปฏิกูลมนสิการบรรพ

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกกายานุปัสสนาโดยทางการใส่ใจถึงกายโดยเป็นของปฏิกูลอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงจำแนกโดยทางการใส่ใจถึงกายโดยความเป็นธาตุ จึงตรัสธาตุมนสิการบรรพว่า ยังมีอีกข้อหนึ่ง เป็นต้น.

ในธาตุมนสิการบรรพนั้น มีการพรรณนาอรรถพร้อมด้วยข้อเทียบเคียงอุปมาดังต่อไปนี้. คนฆ่าโคบางคน หรือลูกมือของเขา ที่เขาเลี้ยงดูด้วยอาหารและค่าจ้าง ฆ่าโคแล้วชำแหละแบ่งออกเป็นส่วนๆ แล้วนั่ง ณ ที่ทางใหญ่ 4 แพร่ง คือที่ชุมทางย่านกลางทางใหญ่ ซึ่งไปได้ทั้ง 4 ทิศ ฉันใด ภิกษุ (ผู้บำเพ็ญธาตุกัมมัฏฐาน) ก็ฉันนั้นนั่นแล ย่อมพิจารณากาย ซึ่งชื่อว่าตั้งอยู่ตามที่เพราะตั้งอยู่ด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่งแห่งอิริยาบถทั้ง 4 และซึ่งชื่อว่าดำรงอยู่ตามที่ เพราะตั้งอยู่ตามที่ อย่างนี้ว่า ในกายนี้มีปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ.

กายสักว่าธาตุ 4

ท่านอธิบายไว้อย่างไร. ท่านอธิบายไว้ว่า เมื่อคนฆ่าโคเลี้ยงโคอยู่ก็ดี นำโคไปยังที่ฆ่าก็ดี นำมาผูกไว้ที่ฆ่าก็ดี กำลังฆ่าก็ดีมองดูโคที่ฆ่าตายแล้วก็ดี ความสำคัญว่าโค ยังไม่หายไปตราบเท่านี้ เขายังไม่ได้ชำแหละโคนั้นออกเป็นส่วนๆ ต่อเมื่อเขาชำแหละแบ่งออกแล้ว ความสำคัญว่าโคก็หายไป กลับสำคัญเนื้อโคไปเขามิได้คิดว่า เราขายโค คนเหล่านี้ซื้อไป ที่แท้ เขาคิดว่า เราขายเนื้อโค คนเหล่านี้ซื้อเนื้อโค เปรียบฉันใด

แม้ภิกษุนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อครั้งเป็นปุถุชนผู้เขลา เป็นคฤหัสก็ดี บรรพชิตก็ดี ความสำคัญว่าสัตว์หรือบุคคลยังไม่หายไปก่อนตราบเท่าที่ยังไม่พิจารณาเห็นกายนี้นี่แล ตามที่ตั้งอยู่ ตามที่ดำรงอยู่ แยกออกจากก้อน โดยความเป็นธาตุ ต่อเมื่อเธอพิจารณาเห็นโดยความเป็นธาตุ ความสำคัญว่าสัตว์จึงหายไป จิตก็ตั้งอยู่ด้วยดีโดยความเป็นธาตุอย่างเดียว.

เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า

ภิกษุพิจารณาเห็นกายอันนี้นี่แล ตามที่ตั้งอยู่ ตามที่ดำรงอยู่ โดยความเป็นธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนคนฆ่าโค หรือลูกมือของคนฆ่าโคผู้ขยัน ฯลฯ วาโยธาตุ ดังนี้ฉันนั้น.

ก็พระโยคาวจรเปรียบเหมือนคนฆ่าโค ความสำคัญว่าสัตว์เปรียบเหมือนความสำคัญว่าโค อิริยาบถทั้ง 4 เปรียบเหมือนทางใหญ่ 4 แพร่งความพิจารณาเห็นโดยความเป็นธาตุ เปรียบเหมือนการที่คนฆ่าโคนั่งแบ่งออกเป็นส่วนๆ นี้เป็นการพรรณนาบาลี ในธาตุมนสิการบรรพนี้. ส่วนกถาว่าด้วยกัมมัฏฐาน ท่านพรรณนาไว้พิสดาร ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคแล้ว.

คำว่า หรือภายใน ความว่า พิจารณาเห็นกายในกายของตน หรือในกายของคนอื่น หรือในกายของตนตามกาล ของคนอื่นตามกาล ด้วยการกำหนดธาตุ 4 ด้วยอาการอย่างนี้อยู่.

ข้อต่อไปจากนี้ ก็มีนัยที่กล่าวมาแล้วทั้งนั้น. แต่ในที่นี้มีข้อต่างกันอย่างเดียว คือ พึงประกอบความอย่างนี้ว่า สติกำหนดธาตุ 4 เป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจเป็นต้นแล้วพึงทราบว่า นี้เป็นทางปฏิบัตินำออกจากทุกข์ของภิกษุผู้กำหนดธาตุ 4 ดังนี้. ส่วนคำที่เหลือก็เช่นกับที่กล่าวมาแล้วแต่ก่อนนั่นแล.

จบธาตุมนสิการบรรพ

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกกายานุปัสสนาโดยทางธาตุมนสิการอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงจำแนกด้วยนวสีวัฏฐิกาบรรพ ข้อกำหนดว่าด้วยป่าช้า 9 ข้อ จึงตรัสว่า ยังมีอีกข้อหนึ่งเป็นต้น.

บรรดาเหล่านั้น บทว่า เหมือนอย่างว่า เห็น คือ เหมือนอย่างว่าพบ.

บทว่า สรีระ คือสรีระของคนตาย.

บทว่า ที่เขาทิ้งไว้ที่ป่าช้า คือที่เขาปล่อยทิ้งไว้ที่สุสาน.

ซากศพที่ชื่อว่าตายแล้ววันเดียว เพราะเป็นซากศพที่ตายแล้วได้ 1 วัน. ที่ชื่อว่าตายแล้ว 2 วัน เพราะเป็นซากศพที่ตายแล้วได้ 2 วัน. ที่ชื่อว่าตายแล้ว 3 วัน เพราะซากศพที่ตายแล้วได้ 3 วัน.

ที่ชื่อว่าศพที่พองขึ้น เพราะเป็นศพที่พองขึ้นโดยเป็นศพที่ขึ้นอืดตามลำดับตั้งแต่สิ้นชีพไป เหมือนลูกสูบช่างทองอันพองขึ้นด้วยลม. ศพที่พองขึ้นนั่นแล ชื่อว่าอุทธุมาตกะ.อีกนัยหนึ่ง ศพที่พองขึ้นน่าเกลียด เพราะเป็นของปฏิกูล เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอุทธุมาตกะ.

ศพที่มีสีต่างๆ เจือเขียว เรียกว่าศพที่มีสีเขียวเจือ. ศพที่มีสีเขียวเจือนั่นแล ชื่อว่าวินีลกะ. อีกนัยหนึ่ง ศพที่มีสีเขียวน่าเกลียด เพราะเป็นของปฏิกูล เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าวินีลกะ.

คำว่า วินีลกะ นี้เป็นชื่อของซากศพ มีสีแดง ในที่เนื้อนูนหนา มีสีขาวในที่อันบ่มหนอง โดยมากมีสีเขียว ในที่ควรเขียว คล้ายผ้าห่มสีเขียว.

ศพที่มีน้ำเหลืองไหลออกจากที่ปริแตกทางปากแผลทั้ง 9 บ้าง ชื่อว่าศพมีน้ำเหลืองไหล. ศพมีน้ำเหลืองไหลนั่นแล ชื่อว่า วิบุพพกะ.อีกนัยหนึ่ง ศพมีน้ำเหลืองไหลน่าเกลียด เพราะเป็นของปฏิกูล เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าวิบุพพกะ. ศพที่เป็นวิบุพพกะเกิดแล้ว คือถึงความเป็นซากศพมีน้ำเหลืองไหลอย่างนั้น เพราะเหตุนั้น ชื่อว่าวิบุพพกชาตะ.

ข้อว่า โส อิมเมว กายํ ความว่า ภิกษุนั้นใช้ญาณนั้นแหละ น้อมนำกายของตนนี้ไปเปรียบกับกายอันนั้น (ซากศพ).

เปรียบอย่างไร.

เปรียบว่า กายนี้แล มีอย่างนั้นเป็นธรรมดาต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนั้นไปได้.

กายที่ปราศจากอายุไออุ่นวิญญาณเป็นซากศพ

ท่านอธิบายไว้ว่า กายนี้ยังทนยืนเดินเป็นต้นอยู่ได้ ก็เพราะมีธรรม 3 อย่างนี้ คืออายุ ไออุ่นและวิญญาณ แต่เพราะธรรม 3 อย่างนี้พรากจากกัน แม้กายนี้จึงต้องมีอย่างนั้นเป็นธรรมดา คือมีสภาพเปื่อยเน่าอย่างนั้นเหมือนกันต้องเป็นอย่างนั้น คือจักเป็นประเภทศพขึ้นพองเป็นต้นอย่างนั้นเหมือนกันไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนั้นไปได้ คือไม่ล่วงพ้นความเป็นศพพองขึ้นเป็นต้นอย่างนั้นไปได้.

ข้อว่า หรือภายใน ความว่า พิจารณาเห็นกายในกายของตน ในกายของคนอื่น หรือในกายของตนตามกาล ของคนอื่นตามกาล ด้วยการกำหนดซากศพที่ขึ้นพองเป็นต้นอย่างนี้อยู่.

เทียบกายด้วยซากศพ

บทว่า ขชฺชมานํ อันสัตว์กัดกินอยู่ ได้แก่ศพอันสัตว์มีแร้ง กาเป็นต้น จับที่อวัยวะ เช่นท้องเป็นต้น แล้วดึงเนื้อท้อง เนื้อปาก เบ้าตาเป็นต้น จิกกินอยู่.

บทว่า สมํสโลหิตํ ยังมีเนื้อและเลือด คือศพที่มีเนื้อและเลือดยังเหลืออยู่.

บทว่า นิมฺมํสโลหิตมกฺขิตํ ที่ปราศจากเนื้อแต่เปื้อนเลือด คือเมื่อเนื้อหมดไปแล้ว แต่เลือดยังไม่แห้ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาศพประเภทนั้น จึงตรัสว่า นิมฺมํสโลหิตมกฺขิตํ.

บทว่า อญฺเญน คือ ศพไปทางทิศอื่น.

บทว่า หตฺถฎฺฐิกํ กระดูกมือ ความว่า กระดูกมือมีประเภทถึง 64 ชิ้น กระจัดกระจายแยกกันไป. แม้กระดูกเท้าเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.

บทว่า เตโรวสฺสิกานิ เกินปีหนึ่งขึ้นไป คือล่วงปีไปแล้ว.

บทว่า ปูตีนิ เป็นของผุ ความว่า กระดูกอันตั้งอยู่กลางแจ้ง ย่อมผุเปื่อย เพราะกระทบลม แดดและฝน ส่วนกระดูกที่อยู่ใต้พื้นดิน ย่อมตั้งอยู่ได้นานกว่า.

บทว่า จุณฺณกชาตานิ เป็นผง คือแหลกเป็นผง กระจัดกระจายไป.

พึงประกอบความเข้าในข้อทั้งปวงโดยบทว่า ขชฺชมานํ อันสัตว์กัดกินเป็นต้น โดยนัยที่กล่าวมาแล้วว่า เธอก็น้อมกายอันนี้นี่แล เข้าไปเทียบกับศพเป็นต้น.

ข้อว่า หรือภายในเป็นต้น ความว่า พิจารณาเห็นกายในกายของตน ในกายของคนอื่น หรือในกายของตนตามกาล ของคนอื่นตามกาล ด้วยการกำหนดซากศพอันสัตว์กัดกินเป็นต้น จนถึงเป็นกระดูกอันแหลกเป็นผงอย่างนี้อยู่.

จัดเป็นบรรพ

ป่าช้า 9 ข้อที่อยู่ในนวสีวถิกาบรรพนี้ บัณฑิตพึงจัดประมวลมาดังนี้ คือ

1. ข้อที่ตรัสโดยนัยเป็นต้นว่า ศพที่ตายแล้วได้วันหนึ่งบ้าง แม้ทั้งหมดเป็นบรรพอันหนึ่ง. 2. ข้อที่ว่า ศพที่ฝูงกาจิกกินบ้าง เป็นต้น เป็นบรรพอันหนึ่ง. 3. ข้อที่ว่า ร่างกระดูก ที่ยังมีเนื้อ และเลือดมีเส้นเอ็นรัดรึงอยู่ เป็นบรรพอันหนึ่ง. 4. ข้อที่ว่า ปราศจากเนื้อแต่เปื้อนเลือด มีเส้นเอ็นรัดรึงอยู่ เป็นบรรพอันหนึ่ง. 5. ข้อที่ว่า ปราศจากเนื้อและเลือด มีเส้นเอ็นรัดรึงอยู่ เป็นบรรพอันหนึ่ง. 6. ข้อที่ว่า กระดูกทั้งหลาย ที่ปราศจากเส้นเอ็นรัดรึงแล้วเป็นต้น เป็นบรรพอันหนึ่ง. 7. ข้อที่ว่า กระดูกทั้งหลาย ขาว คล้ายสีสังข์ เป็นบรรพอันหนึ่ง. 8. ข้อที่ว่า กระดูกทั้งหลายที่กองเรี่ยราย เกินหนึ่งปีขึ้นไป เป็นบรรพอันหนึ่ง. 9. ข้อที่ว่า กระดูกทั้งหลายที่ผุ แหลกเป็นผงเป็นบรรพอันหนึ่ง.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงป่าช้าทั้ง 9 แล้ว จะทรงจบกายานุปัสสนา จึงตรัสคำนี้ว่า เอวํ โข ภิกฺขเว อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลายเป็นต้น.

สติกำหนดซากศพเป็นอริยสัจ 4

ในนวสีวถิกาบรรพนั้น สติอันกำหนดป่าช้าทั้ง 9 ข้อ เป็นทุกขสัจ ตัณหาที่มีในก่อนที่ยังสตินั้นให้เกิดขึ้น เป็นสมุทัยสัจ การหยุดทุกขสัจและสมุทัยสัจทั้งสอง เป็นนิโรธสัจ อริยมรรคอันกำหนดทุกข์ ละสมุทัย มีนิโรธเป็นอารมณ์ เป็นมรรคสัจ.

ภิกษุผู้โยคาวจรขวนขวายด้วยอำนาจสัจจะอย่างนี้ ย่อมบรรลุพระนิพพานดับทุกข์ได้ดังนี้. อันนี้เป็นทางปฏิบัตินำออกจากทุกข์จนถึงพระอรหัต ของเหล่าภิกษุผู้กำหนดป่าช้าทั้ง 9 ข้อ อย่างนี้แล.

จบนวสีวถิกาบรรพ.

ก็กายานุปัสสนา 14 บรรพคืออานาปานบรรพ 1 อิริยาบถบรรพ 1 จตุสัมปชัญญบรรพ 1 ปฏิกูลมนสิการบรรพ 1 ธาตุมนสิการบรรพ 1 สีวถิกา 9 บรรพเป็นอันจบลง ด้วยคำพรรณนามีประมาณเพียงเท่านี้.

ใน 14 บรรพนั้น อานาปานบรรพกับปฏิกูลมนสิการบรรพ 2 บรรพ นี้เท่านั้นเป็นอัปปนากัมมัฏฐาน ส่วน 12 บรรพที่เหลือเป็นอุปจารกัมมัฏฐานอย่างเดียว เพราะตรัสไว้โดยการพิจารณาเห็นโทษแห่งกายอันเกี่ยวด้วยป่าช้า ดังนี้แล.

จบกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน 14 วิธีอย่างนี้แล้ว

บัดนี้ เพื่อจะตรัสเวทนานุปัสสนา 9 วิธี จึงตรัสว่า กถญฺจ ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เวทนาเป็นอย่างไรเล่า เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุขเวทนา ความว่า ภิกษุกำลังเสวยเวทนาที่เป็นสุข ทางกายก็ดี ทางใจก็ดี ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนา.จะวินิจฉัยในคำนั้น แม้เด็กทารกที่ยังนอนหงาย เมื่อเสวยสุขในคราวดื่มน้ำนมเป็นต้น ก็รู้ชัดว่าเราเสวยสุขเวทนา ก็จริงอยู่.แต่คำว่า สุขเวทนาเป็นต้นนี้ มิได้ตรัสหมายถึงความรู้ชัดอย่างนั้น. เพราะความรู้ชัดเช่นนั้น ไม่ละความเห็นว่าสัตว์ไม่ถอนความสำคัญว่าเป็นสัตว์ ไม่เป็นกัมมัฏฐานหรือสติปัฏฐานภาวนาเลย.ส่วนความรู้ชัดของภิกษุนี้ ละความเห็นว่าสัตว์ ถอนความสำคัญว่าเป็นสัตว์ได้ ทั้งเป็นกัมมัฏฐาน เป็นสติปัฏฐานภาวนา.ก็คำนี้ตรัสหมายถึงความเสวยสุขเวทนาพร้อมทั้งที่รู้ตัวอยู่ อย่างนี้ว่า ใครเสวย ความเสวยของใคร เสวยเพราะเหตุไร.

สักว่าเวทนาไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา

จะวินิจฉัยในปัญหาเหล่านั้น ถามว่า ใครเสวย ตอบว่า มิใช่สัตว์หรือบุคคลไรๆ เสวย.

ถามว่า ความเสวยของใคร ตอบว่า มิใช่ความเสวยของสัตว์หรือบุคคลไรๆ.

ถามว่า เสวยเพราะเหตุไร ตอบว่า ก็เวทนาของภิกษุนั้นมีวัตถุเป็นอารมณ์อย่างเดียวเหตุนั้น เธอจึงรู้อย่างนี้ว่า สัตว์ทั้งหลายเสวยเวทนา เพราะทำวัตถุเป็นที่ตั้งแห่งเวทนามีสุขเวทนาเป็นต้นนั้นๆ ให้เป็นอารมณ์.

ก็คำว่า เราเสวยเวทนา เป็นเพียงสมมติเรียกกัน เพราะยึดถือความเป็นไปแห่งเวทนานั้น.เธอกำหนดว่า สัตว์ทั้งหลายเสวยเวทนาเพราะทำวัตถุให้เป็นอารมณ์ อย่างนี้พึงทราบว่า เธอย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนา เหมือนพระเถระรูปหนึ่ง ซึ่งสำนักอยู่ที่จิตตลบรรพต.

พระเถระผู้เสวยทุกขเวทนา

ได้ยินว่า พระเถระทุรนทุรายกลิ้งเกลือกอยู่ด้วยเวทนากล้าแข็ง คราวอาพาธไม่ผาสุก.ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งเรียกถามว่า ท่านเจ็บตรงไหนขอรับ.ท่านตอบว่า บอกที่เจ็บไม่ได้ดอกเธอ ฉันทำวัตถุเป็นอารมณ์ เสวยเวทนา.ถามว่า ตั้งแต่เวลารู้ชัดอย่างนั้น ท่านอดกลั้นไว้ไม่ควรหรือขอรับ.ตอบว่า ฉันจะอดกลั้นนะเธอ. ภิกษุหนุ่มกล่าวว่า อดกลั้นได้ก็ดีนะสิ ขอรับ.พระเถระก็อดกลั้น (ทุกขเวทนา). โรคลมก็ผ่าแล่งจนถึงหัวใจ ไส้ของพระเถระก็ออกมากองบนเตียง.พระเถระชี้ให้ภิกษุหนุ่มดู ถามว่า อดกลั้นขนาดนี้ควรไหม. ภิกษุหนุ่มก็นิ่ง.พระเถระก็ประกอบความเพียรสม่ำเสมอ บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย เป็นพระอรหัตสมสีสี ปรินิพพานแล้ว.

อนึ่ง ภิกษุผู้เจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานนั้น เสวยทุกขเวทนา ฯลฯ อทุกขมสุขเวทนาปราศจากอามิสอยู่ก็รู้ชัดว่า เราเสวยทุกขเวทนา ฯลฯ อทุกขมสุขเวทนาปราศจากอามิส เหมือนเมื่อเธอเสวยสุขเวทนาแล.

เวทนาเป็นอรูปกัมมัฏฐาน

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสรูปกัมมัฏฐานด้วยประการฉะนี้แล้วเมื่อจะตรัสอรูปกัมมัฏฐาน แต่เพราะที่ตรัสด้วยอำนาจผัสสะ หรือด้วยอำนาจจิตกัมมัฏฐานไม่ปรากฏชัด ปรากฏเหมือนมืดมัวส่วนความเกิดขึ้นแห่งเวทนาทั้งหลายปรากฏชัด กัมมัฏฐานปรากฏชัดด้วยอำนาจเวทนา ฉะนั้นจึงตรัสอรูปกัมมัฏฐานด้วยอำนาจเวทนา แม้ในพระสูตรนี้ เหมือนอย่างในสักกปัญหสูตร.กถามรรค ในพระสูตรนี้นั้น พึงทราบโดยนัยที่ตรัสไว้ในสักกปัญหสูตรแล้วนั่นแลว่าก็กัมมัฏฐานมี 2 อย่าง คือรูปกัมมัฏฐาน และอรูปกัมมัฏฐาน ดังนี้เป็นต้น.

พึงทราบวินิจฉัยในเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานนั้น ในคำว่า สุขเวทนา ดังนี้เป็นต้น มีปริยาย (ทาง) แห่งความรู้ชัดอีกอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้.

ข้อว่า สุขํ เวทนํ เวทิยามีติ ปชานาติ รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนา ความว่า

เมื่อเสวยสุขเวทนา เพราะขณะเสวยสุขเวทนา ไม่มีทุกขเวทนา ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนาดังนี้.เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่าเวทนาไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีความแปรปรวนเป็นธรรมดาเพราะในขณะที่ไม่มีทุกขเวทนาที่เคยมีมาก่อน และเพราะก่อนแต่นี้ ก็ไม่มีสุขเวทนานี้. เธอรู้ตัวในสุขเวทนานั้นอย่างนี้.

สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ (ในทีฆนขสูตร มูลปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย) ดังนี้ว่า

ดูก่อนอัคคิเวสสนะ สมัยใด เสวยสุขเวทนา สมัยนั้น หาเสวยทุกขเวทนาไม่ หาเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่ ย่อมเสวยสุขเวทนาเท่านั้นสมัยใด เสวยทุกขเวทนา ฯลฯ เสวยอทุกขมสุขเวทนา สมัยนั้น หาเสวยสุขเวทนาไม่ หาเสวยทุกขเวทนาไม่ เสวยแต่อทุกขมสุขเวทนาเท่านั้น

ดูก่อนอัคคิเวสสนะ แม้สุขเวทนาแล ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้นมีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความจางไปเป็นธรรมดามีความดับไปเป็นธรรมดา แม้ทุกขเวทนาเล่า ฯลฯ แม้อทุกขมสุขเวทนาเล่า ไม่เที่ยง ฯลฯ มีความดับไปเป็นธรรมดา

ดูก่อนอัคคิเวสสนะ อริยสาวกสดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหน่ายแม้ในสุขเวทนา แม้ในทุกขเวทนาแม้ในอทุกขมสุขเวทนา เมื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้นเมื่อหลุดพ้นย่อมหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ย่อมรู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้วกิจที่ควรทำก็ทำเสร็จแล้ว กิจอย่างอื่นเพื่อเป็นอย่างนี้ไม่มีอีกดังนี้.

เวทนาที่เป็นสามิสและนิรามิส

จะวินิจฉัยในข้อว่า สามิสํ วา สุขํ หรือสุขเวทนาที่มีอามิส เป็นต้น

โสมนัสสเวทนาอาศัยอามิสคือกามคุณ 5 อาศัยเรือน 6 ชื่อว่าสามิสสุขเวทนา

โสมนัสสเวทนาอาศัยเนกขัมมะ 6 ชื่อว่านิรามิสสุขเวทนา

โทมนัสสเวทนาอาศัยเรือน 6 ชื่อว่าสามิสทุกขเวทนา

โทมนัสสเวทนาอาศัยเนกขัมมะ 6 ชื่อว่านิรามิสทุกขเวทนา

อุเบกขาเวทนาอาศัยเรือน 6 ชื่อว่าสามิสอทุกขมสุขเวทนา

อุเบกขาอันอาศัยเนกขัมมะ 6 ชื่อว่านิรามิสอทุกขมสุขเวทนา.

อนึ่ง การจำแนกเวทนาแม้เหล่านั้นท่านกล่าวไว้ในสักกปัญหสูตรแล้วแล.

เวทนาในเวทนานอก

ข้อว่า อิติ อชฺฌตฺตํ วา หรือภายใน ความว่า พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายของตนในเวทนาทั้งหลายของคนอื่น หรือในเวทนาทั้งหลายของตนตามกาล ของคนอื่นตามกาลด้วยการกำหนดสุขเวทนาเป็นต้น อย่างนี้อยู่.

ส่วนในข้อว่า สมุทยธมฺมานุปสฺสี วา พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิด (ในเวทนาทั้งหลาย) นี้มีวินิจฉัยว่า ภิกษุเมื่อเห็นความเกิด และความเสื่อมแห่งเวทนาทั้งหลายด้วยอาการอย่างละ 5 ว่าเพราะอวิชชาเกิด จึงเกิดเวทนาดังนี้เป็นต้นพึงทราบว่า เธอพิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดในเวทนาทั้งหลายอยู่ พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมในเวทนาทั้งหลายอยู่หรือพิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดในเวทนาทั้งหลาย ตามกาลอยู่พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมในเวทนาทั้งหลาย ตามกาลอยู่.

ข้อต่อจากนี้ไปก็มีนัยดังที่กล่าวมาแล้วในกายานุปัสสนานั่นแล.

สติกำหนดเวทนาเป็นอริยสัจ 4

แต่ในเวทนานุปัสสนานี้ มีข้อต่างกันอย่างเดียว คือพึงประกอบความอย่างนี้ว่าสติที่กำหนดเวทนาเป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจเป็นต้นแล้วพึงทราบว่า เป็นทางปฏิบัตินำออกจากทุกข์ของภิกษุผู้กำหนดเวทนาเป็นอารมณ์.

คำที่เหลือก็มีความเช่นนั้นเหมือนกัน.

จบเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน 9 วิธี อย่างนี้แล้วบัดนี้ เพื่อจะตรัสจิตตานุปัสสนา 16 วิธี จึงตรัสว่า กถญฺจ ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตตานุปัสสนาเป็นอย่างไรเล่า เป็นต้น.

จำแนกอารมณ์ของจิต

บรรดาบทเหล่านี้ บทว่า จิตมีราคะ คือจิตที่เกิดพร้อมด้วยโลภะ 8 อย่าง.

บทว่า จิตปราศจากราคะ คือจิตที่เป็นกุศล และอพยากฤตฝ่ายโลกิยะ.แต่ข้อนี้เป็นการพิจารณา มิใช่เป็นการชุมนุมธรรม เพราะฉะนั้นในคำว่า จิตมีราคะ นี้ จึงไม่ได้โลกุตตรจิต แม้แต่บทเดียว.อกุศลจิต 4 ดวงที่เหลือ จึงไม่เข้าบทต้น ไม่เข้าบทหลัง.

บทว่า จิตมีโทสะ ได้แก่จิต 2 ดวง ที่เกิดพร้อมด้วยโทมนัส.

บทว่า จิตปราศจากโทสะ ได้แก่จิตที่เป็นกุศล และอพยากฤตฝ่ายโลกิยะ.อกุศลจิต 10 ดวงที่เหลือ ไม่เข้าบทต้น ไม่เข้าบทหลัง.

บทว่า จิตมีโมหะ ได้แก่จิต 2 ดวง คือจิตที่เกิดพร้อมด้วยวิจิกิจฉาดวง 1 ที่เกิดพร้อมด้วยอุทธัจจะดวง 1.แต่เพราะโมหะย่อมเกิดได้ในอกุศลจิตทั้งหมด ฉะนั้น แม้อกุศลจิตที่เหลือก็ควรได้ในบทว่า จิตมีโมหะ นี้โดยแท้.

จริงอยู่ อกุศลจิต 12 (โลภมูล 8 โทสมูล 2 โมหมูล 2)ท่านประมวลไว้ในทุกกะ (หมวด 2) นี้เท่านั้น.

บทว่า จิตปราศจากโมหะ ได้แก่จิตที่เป็นกุศล และอพยากฤตฝ่ายโลกิยะ.

บทว่า จิตหดหู่ ได้แก่จิตที่ตกไปในถีนมิทธะ.ก็จิตที่ตกไปในถีนมิทธะนั้น ชื่อว่า จิตหดหู่.

บทว่า ฟุ้งซ่าน ได้แก่จิตที่เกิดพร้อมด้วยอุทธัจจะ.จิตที่เกิดพร้อมด้วยอุทธัจจะนั้น ชื่อว่า จิตฟุ้งซ่าน.

บทว่า จิตเป็นมหัคคตะ ได้แก่จิตที่เป็นรูปาวจร และอรูปาวจร.

บทว่า จิตไม่เป็นมหัคคตะ ได้แก่จิตที่เป็นกามาวจร.

บทว่า สอุตฺตรํ จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ได้แก่จิตที่เป็นกามาวจร.

บทว่า อนุตฺตรํ จิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ได้แก่จิตที่เป็นรูปาวจร และอรูปาวจร.แม้ในจิตเหล่านั้น จิตที่ชื่อว่า สอุตตระ ได้แก่จิตเป็นรูปาวจร จิตชื่อว่า อนุตตระ ได้แก่ จิตที่เป็นอรูปาวจร.

บทว่า สมาหิตํ จิตตั้งมั่นแล้ว ได้แก่อัปปนาสมาธิหรืออุปจารสมาธิ.

บทว่า อสมาหิตํ จิตไม่ตั้งมั่น ได้แก่จิตที่เว้นจากสมาธิทั้งสอง.

บทว่า วิมุตฺตํ จิตหลุดพ้น ได้แก่จิตหลุดพ้นด้วยตทังควิมุตติ และวิกขัมภนวิมุตติ.

บทว่า อวิมุตฺตํ จิตไม่หลุดพ้น ได้แก่จิตที่เว้นจากวิมุตติทั้งสอง.ส่วนสมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ และนิสสรณวิมุตติ ไม่มีโอกาสในบทนี้เลย.

จิตในจิตนอก

คำว่า อิติ อชฺฌตฺตํ วา หรือภายใน ความว่าภิกษุโยคาวจรกำหนดจิตที่เป็นไปในสมัยใดๆ ด้วยการกำหนดจิตมีราคะเป็นต้นอย่างนี้ชื่อว่าพิจารณาเห็นจิตในจิตของตน หรือในจิตของคนอื่น ในจิตของตนตามกาล หรือในจิตของคนอื่นตามกาลอยู่.

ก็ในคำว่า พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดนี้ พึงนำความเกิดและความเสื่อมแห่งวิญญาณออกเทียบเคียงด้วยอาการอย่างละ 5 ว่าเพราะเกิดอวิชชา วิญญาณจึงเกิดดังนี้เป็นต้น.

ข้อต่อไปจากนี้ ก็มีนัยดังกล่าวมาแล้วแล.

สติกำหนดจิตเป็นอริยสัจ 4

แต่ในจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานนี้ มีข้อแตกต่างกันอย่างเดียวคือพึงประกอบความว่า สติที่กำหนดจิตเป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจ ดังนี้เป็นต้นแล้วพึงทราบว่า เป็นทางปฏิบัตินำออกจากทุกข์ ของภิกษุผู้กำหนดจิตเป็นอารมณ์.

คำที่เหลือก็เช่นเดียวกันนั่นแล.

จบจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน 16 วิธี อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะตรัสธัมมานุปัสสนา 5 วิธี จึงตรัสว่า

กถญฺจ ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธัมมานุปัสสนาเป็นอย่างไรเล่า เป็นต้น.

อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสการกำหนดรูปกัมมัฏฐานล้วนด้วยกายานุปัสสนาตรัสการกำหนดอรูปกัมมัฏฐานล้วนๆ ด้วยเวทนานุปัสสนาและจิตตานุปัสสนา.บัดนี้ เพื่อจะตรัสการกำหนดรูปกัมมัฏฐานกับอรูปกัมมัฏฐานผสมกัน จึงตรัสว่า

กถญฺจ ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธัมมานุปัสสนาเป็นอย่างไรเล่า เป็นต้น.

อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสการกำหนดรูปขันธ์ด้วยกายานุปัสสนาตรัสการกำหนดเวทนาขันธ์ด้วยเวทนานุปัสสนา ตรัสการกำหนดวิญญาณขันธ์ด้วยจิตตานุปัสสนา.บัดนี้ เพื่อจะตรัสแม้การกำหนดสัญญาขันธ์ และสังขารขันธ์ จึงตรัสว่า

กถญฺจ ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธัมมานุปัสสนาเป็นอย่างไรเล่า เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สนฺตํ มีอยู่ คืออยู่พร้อมด้วยอำนาจฟุ้งขึ้นเนืองๆ.

บทว่า อสนฺตํ ไม่มีอยู่ คือไม่มีอยู่พร้อม เพราะไม่ฟุ้งขึ้น หรือเพราะละได้แล้ว.

บทว่า ก็โดยประการใด ความว่า กามฉันท์เกิดขึ้นเพราะเหตุใด.

บทว่า ตญฺจ ปชานาติ ก็รู้ชัดประการนั้น คือรู้ชัดเหตุนั้น.

ทุกๆ บท พึงทราบความโดยนัยนี้นี่แล.

เหตุเกิดกามฉันท์

ในนิมิตทั้งสองนั้น กามฉันท์ย่อมเกิดขึ้น เพราะมนสิการโดยไม่แยบคายในสุภนิมิต.สิ่งที่งามก็ดี อารมณ์ที่งามก็ดี ชื่อว่าสุภนิมิต.การใส่ใจโดยไม่มีอุบาย การใส่ใจนอกทาง การใส่ใจในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าสุขในสิ่งที่มิใช่ตัวตนว่าตัวตน หรือในสิ่งที่ไม่งามว่างาม ชื่อว่าอโยนิโสมนสิการ (การใส่ใจโดยไม่แยบคาย).

เมื่อภิกษุทำอโยนิโสมนสิการนั้นให้เป็นไปมากๆ ในสุภนิมิตนั้น กามฉันท์ย่อมเกิดขึ้นเพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ (ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สุภนิมิตมีอยู่ การทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในสุภนิมิตนั้นนี้เป็นอาหาร เพื่อความเกิดขึ้นแห่งกามฉันท์ที่ยังไม่เกิด หรือเพื่อทำให้กามฉันท์ที่เกิดแล้วให้กำเริบยิ่งขึ้นดังนี้.

เหตุละกามฉันท์

ส่วนกามฉันท์นั้นจะละได้ก็ด้วยโยนิโสมนสิการ (การใส่ใจโดยแยบคาย) ในอสุภนิมิต.สิ่งที่ไม่งามก็ดี อารมณ์ที่ไม่งามก็ดี ชื่อว่าอสุภนิมิต.การใส่ใจโดยอุบาย การใส่ใจถูกทาง การใส่ใจในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยงในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าทุกข์ ในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนว่าไม่ใช่ตัวตน หรือในสิ่งที่ไม่งามว่าไม่งาม ชื่อว่าโยนิโสมนสิการ.

เมื่อภิกษุทำโยนิโสมนสิการนั้นให้เป็นไปมากๆ ในอสุภนิมิตนั้น ย่อมละกามฉันท์เสียได้.เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ (ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสุภนิมิตมีอยู่ การทำให้มากๆ ซึ่งโยนิโสมนสิการในอสุภนิมิตนั้นๆ นี้เป็นอาหารเพื่อความไม่เกิดแห่งกามฉันท์ที่ยังไม่เกิด หรือเพื่อละกามฉันท์ที่เกิดแล้ว.

ธรรมสำหรับละกามฉันท์

อีกอย่างหนึ่ง ธรรม 6 ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อละกามฉันท์ คือ

1. การถืออสุภนิมิตเป็นอารมณ์

2. การประกอบเนืองๆ ซึ่งอสุภภาวนา

3. การรักษาทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย

4. ความรู้จักประมาณในโภชนะ

5. ความมีกัลยาณมิตร

6. พูดแต่เรื่องที่เป็นสัปปายะ (เป็นที่สบาย).

จริงอยู่ เมื่อภิกษุกำหนดอสุภนิมิต 10 อย่างอยู่ ก็ละกามฉันท์ได้.เมื่อเจริญอสุภ 10 ก็ดี เมื่อปิดทวารในอินทรีย์ทั้งหลายก็ดี รู้จักประมาณในโภชนะเพราะเมื่อมีโอกาสจะบริโภค 4-5 คำมีอยู่ ก็ดื่มน้ำ ยังอัตตภาพให้เป็นไปได้ ก็ย่อมละกามฉันท์ได้.

เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ (ในขุททกนิกาย เถรคาถา) ว่า

จตฺตาโร ปญฺจ อาโลเป อภุตฺวา ปิเว

    อลํ ผาสุวิหาราย    ปหิตตฺตสฺส ภิกฺขุโน
             ภิกษุพึงเว้นคำข้าวเสีย 4-5 คำ เลิกฉันแล้ว
    ดื่มน้ำเสีย นี้เป็นข้อปฏิบัติอันสมควรสำหรับภิกษุ
    ผู้มีตนอันส่งไปแล้ว.

แม้ภิกษุผู้เสพกัลยาณมิตร ซึ่งเป็นผู้ยินดีในการเจริญอสุภเช่นพระติสสเถระ ผู้เจริญอสุภกัมมัฏฐานก็ย่อมละกามฉันท์ได้.แม้ด้วยการเจรจาปรารภเรื่องเป็นที่สบาย อันอาศัยอสุภ 10 ในอิริยาบถยืนและนั่งเป็นต้น ก็ย่อมละกามฉันท์ได้.เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ธรรม 6 ประการย่อมเป็นไปเพื่อละกามฉันท์ดังนี้.ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า ก็กามฉันท์ที่ละได้แล้วด้วยธรรม 6 ประการนี้ ย่อมไม่เกิดอีกต่อไปด้วยอรหัตมรรค.

เหตุเกิดพยาบาท

ส่วนพยาบาทย่อมเกิด เพราะอโยนิโสมนสิการในปฏิฆนิมิต.

ปฏิฆะ (ความขุ่นใจ) ก็ดี อารมณ์อันช่วยให้เกิดปฏิฆะก็ดี ชื่อว่าปฏิฆนิมิต ในคำว่า ปฏิฆนิมิต เป็นต้นนั้น.

อโยนิโสมนสิการ มีลักษณะเป็นอย่างเดียวกันในธรรมทั้งปวง.

เมื่อภิกษุทำอโยนิโสมนสิการนั้นให้เป็นไปมากๆ ใน (ปฏิฆะ) นิมิตนั้น พยาบาทย่อมเกิด.เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ (ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิฆนิมิตมีอยู่ การทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในปฏิฆนิมิตนั้นนี้เป็นอาหารเพื่อความเกิดแห่งพยาบาทที่ยังไม่เกิด หรือเพื่อทำให้พยาบาทที่เกิดแล้ว กำเริบเสิบสานขึ้น ดังนี้.

เหตุละพยาบาท

แต่พยาบาทนั้นจะละได้ก็ด้วยการใส่ใจโดยแยบคายในเมตตาเจโตวิมุตติ.ในคำว่า เมตตาเจโตวิมุตินั้น เมื่อพูดกันถึงเมตตา ย่อมควรทั้งอัปปนาทั้งอุปจาระ.

บทว่า เมตตาเจโตวิมุตติ ได้แก่อัปปนาโยนิโสมนสิการมีลักษณะดังกล่าวแล้ว.เมื่อภิกษุทำโยนิโสมนสิการให้เป็นไปมากๆ ในเมตตาเจโตวิมุตตินั้น ย่อมละพยาบาทได้.เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ (ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมตตาเจโตวิมุตติมีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในเมตตาเจโตวิมุตตินั้นนี้เป็นอาหารเพื่อความไม่เกิดแห่งพยาบาทที่ยังไม่เกิด หรือเพื่อละพยาบาทที่เกิดแล้ว ดังนี้.

ธรรมสำหรับละพยาบาท

อีกอย่างหนึ่ง ธรรม 6 ประการย่อมเป็นไปเพื่อละพยาบาท คือ

1. การกำหนดนิมิตในเมตตาเป็นอารมณ์

2. การประกอบเนืองๆ ซึ่งเมตตาภาวนา

3. การพิจารณาถึงความที่สัตว์มีกรรมเป็นของๆ ตน

4. การทำให้มากซึ่งการพิจารณา

5. ความมีกัลยาณมิตร

6. การพูดแต่เรื่องที่เป็นที่สบาย.

จริงอยู่ แม้เมื่อภิกษุกำหนดเมตตากัมมัฏฐาน ด้วยการแผ่เมตตาไปทั่วทิศโดยเจาะจง หรือไม่เจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมละพยาบาทได้.เมื่อภิกษุเจริญเมตตาโดยแผ่ไปทั่วทิศโดยเจาะจง ไม่เจาะจงก็ดี

เมื่อพิจารณาถึงความที่ตนและคนอื่นมีกรรมเป็นของๆ ตนอย่างนี้ว่า

ท่านโกรธคนนั้น จะทำอะไรเขาได้

ท่านอาจจักทำศีลเป็นต้นของเขาให้พินาศได้หรือ

ท่านมาแล้วด้วยกรรมของตน จักไปด้วยกรรมของตนนั่นแล

ขึ้นชื่อว่าการโกรธผู้อื่น ก็เป็นเช่นเดียวกับผู้ปรารถนาจะจับถ่านไฟที่คุโชน ซี่เหล็กอันร้อนจัดและอุจจาระเป็นต้น ประหารผู้อื่นฉะนั้น

หรือถึงคนนั้นโกรธท่าน จักทำอะไรได้

เขาจักอาจทำศีลเป็นต้นของท่านให้พินาศได้หรือ

เขามาด้วยกรรมของตน ก็จักไปตามกรรมของเขานั่นแหละ

ความโกรธนั้นจักตกลงบนกระหม่อมของเขานั่นเอง เหมือนประหารผู้ไม่ประหารตอบ และเหมือนนำธุลีซัดไปในที่ทวนลมฉะนั้น ดังนี้ก็ดี

เมื่อพิจารณากัมมัสสกตาทั้งสองหยุดอยู่ในการพิจารณาก็ดี

คบกัลยาณมิตรผู้ยินดีในการเจริญเมตตา เช่นท่านพระอัสสคุตตเถระก็ดี ย่อมละพยาบาทได้.

แม้ด้วยการเจรจาเรื่องที่เป็นที่สบายซึ่งอาศัยเมตตา ในอิริยาบถทั้งหลายมียืนนั่งเป็นต้น ก็ละพยาบาทได้.เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ธรรม 6 ประการย่อมเป็นไปเพื่อละพยาบาทดังนี้.

ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า ก็พยาบาทที่ละได้แล้วด้วยธรรม 6 ประการนี้ ย่อมไม่เกิดต่อไปด้วยอนาคามิมรรค.

เหตุเกิดถีนมิทธะ

ถีนมิทธะย่อมเกิดด้วยอโยนิโสมนสิการในธรรมทั้งหลาย มีอรติ เป็นต้น.ความไม่ยินดีด้วยกับเขา (ริษยา) ชื่อว่าอรติ. ความคร้านกาย ชื่อว่าตันที.ความบิดกาย (บิดขี้เกียจ) ชื่อว่าวิชัมภิตา. ความมึนเพราะอาหาร ความกระวนกระวายเพราะอาหาร ชื่อว่าภัตตสัมมทะ.อาการ คือความย่อหย่อนแห่งจิต ชื่อว่าความย่อหย่อนแห่งจิต.

เมื่อภิกษุทำอโยนิโสมนสิการให้เป็นไปมากๆ ในอรติ เป็นต้นนี้ ถีนมิทธะย่อมเกิด.เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ (ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความไม่ยินดี ความคร้านกาย ความบิดกาย ความเมาอาหาร ความหดหู่แห่งจิต มีอยู่.การทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านี้ นี้เป็นอาหารเพื่อความเกิดแห่งถีนมิทธะที่ยังไม่เกิดหรือเพื่อทำถีนมิทธะที่เกิดแล้วให้กำเริบเสิบสานยิ่งขึ้น ดังนี้.

เหตุละถีนมิทธะ

แต่ถีนมิทธะนั้น จะละได้ด้วยโยนิโสมนสิการในธรรมทั้งหลายมีอารภธาตุเป็นต้น.ความเพียรเริ่มแรก ชื่อว่าอารภธาตุ.ความเพียรที่มีกำลังกว่าอารภธาตุนั้น เพราะออกไปพ้นจากความเกียจคร้านแล้ว ชื่อว่านิกกมธาตุ.ความเพียรที่มีกำลังยิ่งกว่านิกกมธาตุแม้นั้น เพราะล่วงฐานอื่นๆ ชื่อว่าปรักกมธาตุ (ก้าวไปข้างหน้า, บากบั่น).

เมื่อภิกษุทำโยนิโสมนสิการให้เป็นไปมากๆ ในความเพียร 3 ประเภทนี้ ย่อมละถีนมิทธะได้.เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ (ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธาตุคือความเริ่มความเพียร ธาตุคือความออกพ้นไปจากความเกียจคร้านธาตุคือความก้าวไปข้างหน้ามีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธาตุเหล่านั้นนี้เป็นอาหารเพื่อความไม่เกิดแห่งถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด หรือเพื่อละถีนมิทธะที่เกิดแล้ว ดังนี้.

ธรรมสำหรับละถีนมิทธะ

อีกอย่างหนึ่ง ธรรม 6 ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อละถีนมิทธะ คือ

1. การกำหนดนิมิตในโภชนะส่วนเกิน

2. การผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ

3. การใส่ใจถึงอาโลกสัญญา (คือความสำคัญว่าสว่างๆ)

4. การอยู่กลางแจ้ง

5. ความมีกัลยาณมิตร

6. การเจรจาแต่เรื่องที่เป็นที่สบาย

เพราะว่า เมื่อภิกษุบริโภคโภชนะ เหมือนพราหมณ์ที่ชื่ออาหารหัตถกะ ที่ชื่อตัตรวัฏฏกะ ที่ชื่ออลังสาฏกะ ที่ชื่อกากมาสกะ และที่ชื่อภุตตวมิตกะนั่งในที่พักกลางคืนและที่พักกลางวัน กระทำสมณธรรมอยู่ ถีนมิทธะย่อมมาท่วมทับได้เหมือนช้างใหญ่

แต่ถีนมิทธะนั้นจะไม่มีแก่ภิกษุที่เว้นโอกาสบริโภค 4-5 คำแล้ว ดื่มน้ำดื่มยังอัตตภาพให้เป็นไปเป็นปกติเพราะเหตุนั้น เมื่อภิกษุกำหนดนิมิตในโภชนะส่วนเกินอย่างนี้ ย่อมละถีนมิทธะได้

เมื่อภิกษุเข้าสู่ถีนมิทธะในอิริยาบถใด เปลี่ยนอิริยาบถเป็นอย่างอื่น จากอิริยาบถนั้นเสีย ก็ละถีนมิทธะได้.

เมื่อภิกษุใส่ใจแสงจันทร์ แสงประทีป แสงคบเพลิง ในเวลากลางคืน แสงอาทิตย์เวลากลางวันก็ดีอยู่ในที่กลางแจ้งก็ดี เสพกัลยาณมิตรผู้ละถีนมิทธะได้ เช่นท่านพระมหากัสสปเถระก็ดี ก็ละถีนมิทธะได้.

แม้ด้วยการเจรจาแต่เรื่องที่เป็นที่สบาย ที่อาศัยธุดงค์ในอิริยาบถทั้งหลาย มียืน นั่งเป็นต้น ก็ละถีนมิทธะได้.เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ธรรม 6 ประการนี้ย่อมเป็นไปเพื่อละถีนมิทธะ.

ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า ถีนมิทธะที่ละได้ด้วยธรรม 6 ประการ จะไม่เกิดต่อไปด้วยอรหัตมรรคดังนี้.

เหตุเกิดอุทธัจจกุกกุจจะ

อุทธัจจกุกกุจจะย่อมเกิดด้วยอโยนิโสมนสิการในความไม่สงบแห่งใจ.อาการที่ไม่สงบ ชื่อว่าความไม่สงบ.คำนี้โดยอรรถ ก็คืออุทธัจจกุกกุจจะนั่นเอง.

เมื่อภิกษุทำอโยนิโสมนสิการให้เป็นไปมากๆ ในความไม่สงบแห่งใจนั้นอุทธัจจกุกกุจจะย่อมเกิด. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ (ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความไม่สงบแห่งใจมีอยู่การทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในความไม่สงบแห่งใจนั้นนี้เป็นอาหารเพื่อความเกิดแห่งอุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด หรือเพื่อทำอุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดแล้ว ให้กำเริบเสิบสานยิ่งขึ้น ดังนี้.

เหตุละอุทธัจจกุกกุจจะ

แต่อุทธัจจกุกกุจจะนั้นจะละได้ ก็ด้วยโยนิโสมนสิการในความสงบแห่งใจ กล่าวคือสมาธิ.เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ (ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความสงบแห่งใจมีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในความสงบแห่งใจนั้นนี้เป็นอาหารเพื่อความไม่เกิดแห่งอุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด หรือเพื่อละอุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดแล้ว ดังนี้.

ธรรมสำหรับละอุทธัจจกุกกุจจะ

อีกอย่างหนึ่ง ธรรม 6 ประการย่อมเป็นไปเพื่อละอุทธัจจกุกกุจจะ คือ

1. ความสดับมาก

2. ความสอบถาม

3. ความชำนาญในวินัย

4. ความคบผู้เจริญ

5. ความมีกัลยาณมิตร

6. การเจรจาแต่เรื่องที่เป็นที่สบาย.

จริงอยู่ เมื่อภิกษุแม้ร่ำเรียนทั้งบาลี ทั้งอรรถกถานิกายหนึ่ง สอง-สาม-สี่นิกาย หรือห้านิกายย่อมละอุทธัจจกุกกุจจะได้. แม้ด้วยความเป็นพหูสูต (พาหุสัจจะ ความเป็นผู้สดับมาก).

ภิกษุผู้มากด้วยการสอบถามสิ่งที่ควรและไม่ควรก็ดี ผู้ชำนาญเพราะมีความชำนาญอันสั่งสมไว้ในวินัยบัญญัติก็ดีผู้เข้าหาพระเถระผู้แก่ผู้เฒ่าก็ดี คบกัลยาณมิตรผู้ทรงวินัย เช่น ท่านพระอุบาลีเถระก็ดี ย่อมละอุทธัจจกุกกุจจะได้.

แม้ด้วยการเจรจา แต่เรื่องที่เป็นที่สบาย อันอาศัยสิ่งที่ควรและไม่ควร ในอิริยาบถทั้งหลายมียืนนั่งเป็นต้น ก็ละอุทธัจจกุกกุจจะได้.เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ธรรม 6 ประการนี้ย่อมเป็นไปเพื่อละอุทธัจจกุกกุจจะ.

ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า เมื่ออุทธัจจกุกกุจจะละได้แล้วด้วยธรรม 6 ประการนี้ อุทธัจจะจะไม่เกิดต่อไปด้วยอรหัตมรรคกุกกุจจะไม่เกิดต่อไปด้วยอนาคามิมรรค.

เหตุเกิดวิจิกิจฉา

วิจิกิจฉาย่อมเกิดได้ด้วยอโยนิโสมนสิการในธรรมทั้งหลาย อันเป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉา.ความเคลือบแคลง เพราะเป็นเหตุแห่งความสงสัยบ่อยๆ ชื่อว่าธรรมเป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉา.

เมื่อภิกษุทำอโยนิโสมนสิการให้เป็นไปมากๆ ในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉานั้น วิจิกิจฉาย่อมเกิด.เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ (ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉามีอยู่การทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉานั้นนี้เป็นอาหารเพื่อความเกิดแห่งวิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด หรือเพื่อทำวิจิกิจฉาที่เกิดแล้วให้กำเริบเสิบสานยิ่งขึ้น ดังนี้.

เหตุละวิจิกิจฉา

แต่วิจิกิจฉานั้นจะละได้ก็ด้วยโยนิโสมนสิการในธรรมมีกุศลเป็นต้น.เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ (ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เป็นกุศล อกุศล ธรรมที่มีโทษ ไม่มีโทษ ธรรมที่ควรเสพ ไม่ควรเสพธรรมที่ทรามประณีต ธรรมที่เทียบด้วยของดำของขาว มีอยู่การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้นนี้เป็นอาหารเพื่อความไม่เกิดแห่งวิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด หรือเพื่อละวิจิกิจฉาที่เกิดแล้ว ดังนี้.

ธรรมสำหรับละวิจิกิจฉา

อีกอย่างหนึ่ง ธรรม 6 ประการย่อมเป็นไปเพื่อละวิจิกิจฉา คือ

1. ความสดับมาก

2. ความสอบถาม

3. ความชำนาญในวินัย

4. ความมากด้วยความน้อมใจเชื่อ

5. ความมีกัลยาณมิตร

6. การเจรจาแต่เรื่องที่เป็นที่สบาย.

จริงอยู่ แม้เมื่อภิกษุร่ำเรียนทั้งบาลี ทั้งอรรถกถานิกายหนึ่ง สอง-สาม-สี่ หรือห้านิกาย ย่อมละวิจิกิจฉาได้ ด้วยความเป็นพหูสูต.

เมื่อภิกษุมากด้วยการปรารภพระรัตนตรัย สอบถามก็ดี มีความชำนาญอันสั่งสมไว้ในวินัยก็ดีมากไปด้วยความน้อมใจเชื่อ กล่าวคือศรัทธาที่ยังกำเริบได้ในพระรัตนตรัยก็ดีคบกัลยาณมิตร เช่นท่านพระวักกลิ ผู้น้อมใจไปในศรัทธาก็ดี ย่อมละวิจิกิจฉาได้.

แม้ด้วยการเจรจาแต่เรื่องที่เป็นที่สบาย อันอาศัยคุณของพระรัตนตรัย ในอิริยาบถทั้งหลายมียืนนั่งเป็นต้น ก็ละวิจิกิจฉาได้.เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ธรรม 6 ประการย่อมเป็นไปเพื่อละวิจิกิจฉา.

ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า วิจิกิจฉาที่ละได้ด้วยธรรมเหล่านี้ ย่อมไม่เกิดต่อไปด้วยโสดาปัตติมรรค ดังนี้.

คำว่า อิติ อชฺฌตฺตํ วา หรือภายใน ความว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายของตนในธรรมทั้งหลายของคนอื่น หรือในธรรมทั้งหลายของตนตามกาล ของคนอื่นตามกาล ด้วยการกำหนดนีวรณ์ 5 อย่างนี้อยู่.

ก็ความเกิดและความเสื่อม ในคำว่า พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดและความเสื่อมนี้ ที่กล่าวแล้วในนีวรณ์ 5 ด้วยอำนาจอโยนิโสมนสิการและโยนิโสมนสิการ ในสุภนิมิตและอสุภนิมิตเป็นต้น บัณฑิตพึงนำมาเทียบเคียง.

ข้อต่อไปนี้ ก็มีนัยดังกล่าวมาแล้วนั้นแล.

สติกำหนดนีวรณ์เป็นอริยสัจ 4

แต่ในนีวรณบรรพนี้มีต่างกันอย่างเดียว คือพึงประกอบความว่า สติอันกำหนดนีวรณ์เป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจพึงทราบว่าเป็นทางปฏิบัตินำออกจากทุกข์ของภิกษุผู้กำหนดนีวรณ์เป็นอารมณ์.คำที่เหลือก็เช่นนั้นนั่นแล.

จบนีวรณบรรพ

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกธัมมานุปัสสนา โดยนีวรณ์ 5 อย่างนี้บัดนี้ เพื่อจะทรงจำแนกโดยขันธ์ 5 จึงตรัสว่า ปุน จปรํ ยังมีอีกข้อหนึ่งเป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น คำว่า ในอุปาทานขันธ์ 5 คือกองอุปาทาน ชื่อว่าอุปาทานขันธ์.อธิบายว่า กลุ่มธรรม คือกองธรรม อันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทาน.

ความสังเขปในที่นี้มีเท่านี้ ส่วนความพิสดาร ท่านกล่าวไว้แล้วในขันธกถา ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค.

บทว่า อิติ รูปํ ดังนี้ รูป ความว่า นี้รูป รูปมีเท่านี้.ภิกษุย่อมรู้ชัดรูปโดยสภาพว่า รูปอื่นนอกจากนี้ไม่มี ดังนี้. แม้ในเวทนาเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.

ความสังเขปในที่นี้มีเพียงเท่านี้.ส่วนรูปเป็นต้น ท่านกล่าวไว้แล้วในขันธกถา ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคโดยพิสดาร.

บทว่า อิติ รูปสฺส สมุทโย นี้ความเกิดแห่งรูป ความว่า ความเกิดแห่งรูปด้วยอาการ 5 โดยความเกิดแห่งอวิชชาเป็นต้นย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.

คำว่า อิติ รูปสฺส อตฺถงฺคโม ความดับแห่งรูป ความว่า ความดับแห่งรูปด้วยอาการ 5 โดยดับอวิชชาเป็นต้นย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.แม้ในเวทนาเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.

ความสังเขปในที่นี้มีเพียงเท่านี้. ส่วนความพิสดาร ท่านกล่าวไว้แล้วในอุทยัพพยญาณกถา ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค.

คำว่า อิติ อชฺฌตฺตํวา หรือภายใน ความว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายของตนในธรรมทั้งหลายของคนอื่น หรือในธรรมทั้งหลายของตนตามกาล ของคนอื่นตามกาล ด้วยการกำหนดขันธ์ 5 อย่างนี้อยู่.

ก็ความเกิดและความเสื่อมในคำว่า พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดและความเสื่อมบัณฑิตพึงนำมาเทียบเคียงโดยลักษณะ 50 ที่กล่าวไว้ในขันธ์ 5 ว่า เพราะอวิชชาเกิด รูปจึงเกิดดังนี้เป็นต้น.

คำอื่นนอกจากนี้ ก็มีนัยดังกล่าวมาแล้ว.

สติกำหนดขันธ์ 5 เป็นอริยสัจ 4

แต่ในที่นี้ มีข้อต่างกันอย่างเดียว คือพึงประกอบความอย่างนี้ว่า สติกำหนดขันธ์เป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจ ดังนี้แล้วพึงทราบว่า เป็นทางปฏิบัตินำออกจากทุกข์ของภิกษุผู้กำหนดขันธ์เป็นอารมณ์.

คำที่เหลือก็เช่นนั้นเหมือนกัน.

จบขันธบรรพ

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกธัมมานุปัสสนาด้วยอำนาจขันธ์ 5อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงจำแนกโดยอายตนะ จึงตรัสว่า ปุน จปรํ ยังมีอีกข้อหนึ่ง ดังนี้เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฉสุ อชฺฌตฺติกพาหิเรสุ อายตเนสุ ในอายตนะภายใน และภายนอก 6ความว่า ในอายตนะภายใน 6 เหล่านี้ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ. ในอายตนะภายนอก 6 เหล่านี้ คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์.

บทว่า จกฺขุญฺจ ปชานาติ รู้ชัดจักษุ ความว่า ย่อมรู้ชัดจักษุประสาท โดยลักษณะพร้อมด้วยกิจตามความเป็นจริง.

บทว่า รูเป จ ปชานาติ รู้ชัดรูป ความว่า ย่อมรู้ชัดรูปอันเกิดแต่ 4 สมุฏฐาน (กรรม ฤดู จิต อาหาร) ในภายนอกโดยลักษณะพร้อมด้วยกิจตามความเป็นจริง.

คำว่า ยญฺจ ตทุภยํ ปฏิจฺจ อุปฺปชฺชติ สํโยชนํ สังโยชน์ย่อมอาศัยอายตนะทั้งสองเกิดขึ้นความว่า สังโยชน์ 10 อย่าง คือกามราคะ ปฏิฆะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรมาส ภวราคะ อิสสา มัจฉริยะและอวิชชาสังโยชน์เกิดขึ้น เพราะอาศัยอายตนะทั้งสอง คือจักษุกับรูป. และย่อมรู้ชัดสังโยชน์ 10 นั้น โดยลักษณะพร้อมด้วยกิจตามเป็นจริง.

เหตุเกิดสังโยชน์

ถามว่า ก็สังโยชน์นั้นเกิดได้อย่างไร.

ตอบว่า เกิดได้อย่างนี้ จะกล่าวในจักษุทวารก่อนเมื่อบุคคลยินดีเพลิดเพลินอิฏฐารมณ์ อันมาปรากฏทางจักษุทวารโดยความยินดีในกาม สังโยชน์ คือกามราคะ ก็เกิด.เมื่อบุคคลขัดเคืองในอนิฏฐารมณ์ สังโยชน์ คือปฏิฆะ ก็เกิด.เมื่อสำคัญว่า ยกเว้นเราเสีย ใครอื่นที่สามารถเสวยอารมณ์นั้นไม่มี ดังนี้ สังโยชน์ คือมานะ ก็เกิด.เมื่อยึดถือรูปารมณ์นั้นว่า เที่ยง ยั่งยืน สังโยชน์ คือทิฏฐิ ก็เกิด.เมื่อสงสัยรูปารมณ์นั้นว่า สัตว์หรือหนอ ของสัตว์หรือหนอ สังโยชน์ คือวิจิกิจฉา ก็เกิด.เมื่อปรารถนาภพว่า อารมณ์นี้ เราได้โดยง่ายในสมบัติภพแน่ สังโยชน์ คือภวราคะ ก็เกิด.เมื่อถือมั่นศีลและพรตว่า เราถือมั่นศีลและพรต อาจได้อารมณ์เห็นปานนี้ต่อไปอีก สังโยชน์ คือสีลัพพตปรามาส ก็เกิด.เมื่อเกียดกันอยู่ว่า คนเหล่าอื่นไม่พึงได้รูปารมณ์เห็นปานนี้กันเลย สังโยชน์ คืออิสสา ก็เกิด.เมื่อหวงแหนรูปารมณ์ที่ตนได้แล้วต่อผู้อื่น สังโยชน์ คือมัจฉริยะ ก็เกิด.เมื่อไม่รู้แจ้ง ด้วยอำนาจความไม่รู้สิ่งซึ่งเกิดพร้อมกับจักษุและรูปทั้งมวล สังโยชน์ คืออวิชชา ก็เกิด.

ความรู้เหตุละสังโยชน์

คำว่า ยถา จ อนุปฺปนฺสส ที่ยังไม่เกิดด้วยเหตุใด ความว่าสังโยชน์แม้ 10 อย่างนั้นที่ยังไม่เกิด โดยความไม่ฟุ้งขึ้น ย่อมเกิดเพราะเหตุใด ย่อมรู้ชัดเหตุนั้นด้วย.

คำว่า ยถา จ อุปฺปนฺนสฺส ที่เกิดแล้วเพราะเหตุใด ความว่า สังโยชน์แม้ 10 อย่างนั้นที่เกิดแล้ว เพราะอรรถว่ายังละไม่ได้หรือเพราะฟุ้งขึ้น ย่อมละได้ เพราะเหตุใด ย่อมรู้ชัดเหตุนั้นด้วย.

คำว่า ยถา จ ปหีนสฺส ที่ละได้แล้ว เพราะเหตุใด ความว่าสังโยชน์ 10 อย่างนั้นแม้ละได้แล้วโดยตทังคปหาน และวิกขัมภนปหาน ย่อมไม่เกิดต่อไป เพราะเหตุใด ย่อมรู้ชัดเหตุนั้นด้วย.

ถามว่า สังโยชน์ 10 นั้นไม่เกิดต่อไป เพราะเหตุใด.

ตอบว่า ก่อนอื่น สังโยชน์ 5 คือทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส อิสสาและมัจฉริยะ ไม่เกิดต่อไปด้วยโสดาปัตติมรรค.สังโยชน์ 2 คือกามราคะ ปฏิฆะ อย่างหยาบ ไม่เกิดต่อไปด้วยสกทาคามิมรรค. อย่างละเอียด ไม่เกิดต่อไปด้วยอนาคามิมรรค.สังโยชน์ 3 คือมานะ ภวราคะและอวิชชา ไม่เกิดต่อไปด้วยอรหัตตมรรค.

แม้ในคำว่า โสตญฺ จ ปชานาติ สทฺเท จ ย่อมรู้ชัดโสตะนั้นด้วย เสียงด้วยเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.

อนึ่ง อายตนกถา ในที่นี้พึงทราบโดยพิสดาร ตามนัยที่ท่านกล่าวไว้แล้วในอายตนนิทเทส คัมภีร์วิสุทธิมรรค.

คำว่า อิติ อชฺฌตฺตํ วา หรือภายใน ความว่าพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายของตน ด้วยการกำหนดอายตนะภายในในธรรมทั้งหลายของคนอื่น ด้วยการกำหนดอายตนะภายนอก หรือในธรรมทั้งหลายของตนตามกาล ของคนอื่นตามกาล อย่างนี้อยู่.

ก็ความเกิดและความเสื่อมในอายตนบรรพนี้ พึงนำมาเทียบรูปายตนะลงในรูปขันธ์มนายตนะในอรูปายตนะทั้งหลายลงในวิญญาณขันธ์ ธัมมายตนะลงในขันธ์ที่เหลือ ไม่พึงถือว่า โลกุตตรธรรม.

ข้อความต่อจากนี้ มีนัยดังที่กล่าวมาแล้วนั่นแล.

สติกำหนดอายตนะเป็นอริยสัจ 4

ในบรรพนี้ มีข้อต่างกันอย่างเดียว คือพึงประกอบความอย่างนี้ว่า สติกำหนดอายตนะเป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจ ดังนี้เป็นต้นแล้วพึงทราบว่า เป็นทางปฏิบัตินำทุกข์ออกไปของภิกษุผู้กำหนดอายตนะเป็นอารมณ์.

คำที่เหลือก็เช่นกันแล.

จบอายตนบรรพ

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกธัมมานุปัสสนาโดยอายตนะภายในภายนอก อย่างละ 6 อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงจำแนกโดยโพชฌงค์ จึงตรัสว่า ปุน จปรํ ยังมีอีกข้อหนึ่ง ดังนี้เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ในโพชฌงค์ทั้งหลาย คือในองค์ของสัตว์ผู้ตรัสรู้.

บทว่า มีอยู่ คือมีพร้อมอยู่ โดยการได้มา.

บทว่า สติสัมโพชฌงค์ ได้แก่ สัมโพชฌงค์ กล่าวคือสติ.

พึงทราบวินิจฉัย ในคำว่า สัมโพชฌงค์ นี้ดังนี้

พระโยคาวจรตรัสรู้ จำเดิมแต่เริ่มวิปัสสนา หรือพระโยคาวจรนั้นตื่นลุกขึ้นจากกิเสสนิทรา หรือแทงตลอดสัจจะทั้งหลาย ด้วยธรรมสามัคคี 7 มีสติเป็นต้นอันใด ธรรมสามัคคีอันนั้น ชื่อว่าสัมโพธิ. องค์ของผู้ตื่นนั้น หรือธรรมสามัคคีเครื่องปลุกให้ตื่นนั้น เหตุนั้น จึงชื่อว่าสัมโพชฌงค์. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สัมโพชฌงค์ กล่าวคือสติ. แม้ในสัมโพชฌงค์ที่เหลือ ก็พึงทราบความแห่งคำตามนัยนี้แล.

บทว่า ไม่มีอยู่ คือ ไม่มีเพราะไม่ได้มา.

วินิจฉัยในคำว่า ยถา จ อนุปฺปนฺนสฺส ที่ยังไม่เกิด เพราะเหตุใดเป็นต้น ดังต่อไปนี้

ก่อนอื่น สติสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดตามนัยอันมาในบาลี (สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) อย่างนี้ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสติสัมโพชฌงค์มีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในสติสัมโพชฌงค์นั้น นี้เป็นอาหารเพื่อความเกิดแห่งสติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด หรือเป็นทางไพบูลย์จำเริญบริบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้นไปแห่งสติสัมโพชฌงค์ที่เกิดแล้ว.

ในธรรมเหล่านั้น สตินั้นแหละชื่อว่าธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสติสัมโพชฌงค์. โยนิโสมนสิการมีลักษณะดังที่กล่าวมาแล้วนั่นแล. เมื่อภิกษุทำโยนิโสมนสิการนั้นให้เป็นไปมากๆ ในอารมณ์นี้แล้ว สติสัมโพชฌงค์ก็เกิด.

ธรรมเป็นเหตุเกิดสติสัมโพชฌงค์

อีกอย่างหนึ่ง ธรรม 4 ประการ เป็นทางเกิดสติสัมโพชฌงค์ คือ

1. สติสัมปชัญญะ

2. การเว้นบุคคลผู้มีสติหลงลืม

3. การคบหาบุคคลผู้มีสติมั่นคง

4. ความน้อมจิตไปในสติสัมโพชฌงค์นั้น.

ก็สติสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดด้วยสติสัมปชัญญะในฐานทั้ง 7 มีก้าวไปข้างหน้าเป็นต้น ด้วยการงดเว้นบุคคลผู้มีสติหลงลืม เช่นเดียวกับกาตัวเก็บอาหาร ด้วยการคบหาบุคคลผู้มีสติมั่นคง เช่นเดียวกับพระติสสทัตตเถระและพระอภัยเถระเป็นต้น และด้วยความเป็นผู้มีจิตโน้มน้อมไปเพื่อตั้งสติในอิริยาบถทั้งหลายมียืนนั่งเป็นต้น.

ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า ก็สติสัมโพชฌงค์นั้นอันเกิดแล้วด้วยเหตุ 4 ประการอย่างนี้ ย่อมเจริญบริบูรณ์ด้วยอรหัตตมรรค.

เหตุเกิดธัมมวิจยสัมโพชฌงค์

ก็ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดตามนัยอันมาในบาลี อย่างนี้ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เป็นกุศลและอกุศล ฯลฯ ธรรมที่เปรียบด้วยธรรมฝ่ายดำและฝ่ายขาว มีอยู่การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหารเพื่อความเกิดแห่งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด หรือเป็นทางไพบูลย์เจริญบริบูรณ์เต็มที่แห่งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ที่เกิดแล้ว ดังนี้.

ธรรมเป็นเหตุเกิดธัมมวิจยสัมโพชฌงค์

อีกอย่างหนึ่ง ธรรม 7 ประการย่อมเป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นแห่งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ คือ

1. การสอบถาม

2. การทำวัตถุให้สละสลวย

3. การปรับปรุงอินทรีย์ให้สม่ำเสมอกัน

4. เว้นบุคคลมีปัญญาทราม

5. คบหาบุคคลผู้มีปัญญา

6. พิจารณาสอดส่องด้วยปัญญาอันลึกซึ้ง

7. ความน้อมจิตไปในธัมมวิจยสัมโพชฌงค์นั้น.

บรรดาธรรม 7 ประการนั้น ความเป็นผู้มากไปด้วยการสอบถามอันอาศัยอรรถแห่งขันธ์ ธาตุ อายตนะ อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ องค์มรรค องค์ฌาน สมถะและวิปัสสนา ชื่อว่าการสอบถาม.

การทำวัตถุภายใน และภายนอกให้สละสลวย ชื่อว่าการทำวัตถุให้สละสลวย.

ก็เวลาใด ภิกษุมีผม เล็บและขนยาวเกินไป หรือร่างกายสกปรกเปรอะเปื้อนด้วยเหงื่อและไคล เวลานั้น วัตถุภายใน (คือร่างกาย) ไม่สละสลวย ไม่สะอาด.

แต่ในเวลาใด จีวรเก่าคร่ำคร่า สกปรก เหม็นสาบ หรือเสนาสนะรกรุงรัง ในเวลานั้น วัตถุภายนอกไม่สละสลวย ไม่สะอาด.

เพราะฉะนั้น จึงควรทำวัตถุภายในให้สละสลวย ด้วยกิจมีการปลงผมเป็นต้น ด้วยการทำร่างกายให้เบาสบาย ด้วยกิจมีการถ่ายชำระมลทิน ให้ทั่วทั้งเบื้องบนเบื้องล่างเป็นต้น และด้วยการขัดสี อาบน้ำบรรเทากลิ่นเหม็น. พึงทำวัตถุภายนอกให้สละสลวยด้วยกิจมีการเย็บ ย้อม ซักจีวรและทำการรมบาตร์เป็นต้น.

เพราะเมื่อวัตถุภายในและภายนอกนั้นไม่สละสลวย เมื่อจิตและเจตสิกเกิดขึ้น แม้ปัญญาก็ไม่ผ่องแผ้ว เหมือนแสงสว่างของดวงประทีปที่เกิดขึ้น เพราะอาศัยตัวตะเกียงไส้และน้ำมันที่ไม่สะอาดหมดจดฉะนั้น

แต่เมื่อวัตถุภายในและภายนอกสละสลวย เมื่อจิตและเจตสิกเกิดขึ้น แม้ปัญญาก็ผ่องแผ้ว เหมือนแสงสว่างของดวงประทีปที่เกิดขึ้น เพราะอาศัยตัวตะเกียง ไส้และน้ำมันที่สะอาดหมดจดฉะนั้น. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า การทำวัตถุให้สละสลวย ย่อมเป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นแห่งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ดังนี้.

การทำปรับปรุงอินทรีย์มีศรัทธาเป็นต้นให้สม่ำเสมอกัน ชื่อว่าการทำปรับปรุงอินทรีย์ให้สม่ำเสมอ.

ด้วยว่า ถ้าอินทรีย์คือศรัทธาของเธอมีกำลังกล้า อินทรีย์นอกนี้อ่อน แต่นั้น อินทรีย์คือวิริยะก็ไม่อาจทำกิจ คือการประคองจิตได้. อินทรีย์คือสติก็ไม่อาจทำกิจ คือการปรากฏ.อินทรีย์คือสมาธิก็ไม่อาจทำกิจ คือความไม่ฟุ้งซ่าน. อินทรีย์คือปัญญาก็ไม่อาจทำกิจ คือการเห็นได้. เพราะฉะนั้น เมื่อมนสิการถึงอินทรีย์คือศรัทธานั้นด้วยการพิจารณาสภาวธรรมหรือโดยประการใดอินทรีย์คือศรัทธามีกำลังกล้า พึงลดลงด้วยการไม่มนสิการโดยประการนั้น. ในข้อนี้ มีเรื่องท่านพระวักกลิเถระ เป็นอุทาหรณ์.

ถ้าอินทรีย์คือวิริยะมีกำลังกล้า เมื่อเป็นเช่นนั้น อินทรีย์คือศรัทธาก็ไม่อาจทำกิจ คือการน้อมใจเชื่อได้อินทรีย์นอกนี้ก็ไม่อาจทำกิจ คือหน้าที่ต่างๆ ของตนได้ เพราะฉะนั้น จึงควรลดอินทรีย์คือวิริยะนั้นลง ด้วยการเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์เป็นต้น.แม้ในข้อนั้น พึงแสดงเรื่องท่านพระโสณเถระเป็นอุทาหรณ์.

แม้ในอินทรีย์ที่เหลือก็เหมือนกัน เมื่ออินทรีย์อย่างหนึ่งมีกำลังกล้า ก็พึงทราบว่า อินทรีย์นอกนี้ ก็ไม่สามารถในกิจ คือหน้าที่ของตนได้. แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องอินทรีย์นี้ ท่านสรรเสริญศรัทธากับปัญญา และสมาธิกับวิริยะ ต้องเสมอกัน.

เพราะผู้มีศรัทธากล้า แต่มีปัญญาอ่อน มีความเลื่อมใสแรง ย่อมเลื่อมใสไปนอกเรื่อง. มีปัญญากล้า แต่มีศรัทธาอ่อน ย่อมฝักไฝ่ไปข้างเกเร เหมือนโรคเกิดเพราะผิดยา แก้ไขไม่ได้ฉะนั้น.ผู้มีปัญญากล้า ก็โลดแล่นเขวไปว่า กุศลมีได้ด้วยเพียงจิตตุปบาทใจคิดขณะหนึ่งเท่านั้น ดังนี้แล้ว ก็ไม่ทำบุญมีทานเป็นต้น ย่อมเกิดในนรก. เพราะอินทรีย์คือศรัทธากับปัญญาทั้งสองเสมอกัน จึงเลื่อมใสในวัตถุ คือพระรัตนตรัยอย่างเดียว.

แต่สมาธิกล้า วิริยะอ่อน โกสัชชะ ความเกียจคร้าน ย่อมครอบงำได้ เพราะสมาธิเป็นฝ่ายโกสัชชะ. วิริยะกล้า สมาธิอ่อน อุทธัจจะย่อมครอบงำได้ เพราะวิริยะเป็นฝ่ายอุทธัจจะ.แต่สมาธิอันวิริยะเข้าประกบไว้ ย่อมไม่ตกไปในโกสัชชะ วิริยะอันสมาธิเข้าประกบไว้ก็ไม่ตกไปในอุทธัจจะ. เพราะฉะนั้น จึงควรทำอินทรีย์สองคู่นั้นให้เสมอเท่าๆ กัน. ด้วยว่า อัปปนาจะมีได้ ก็เพราะอินทรีย์สองคู่เสมอกัน.

อีกอย่างหนึ่ง ศรัทธาแม้มีกำลังกล้าก็ควรแก่ผู้เจริญสมาธิ. เพราะผู้เจริญสมาธิ เชื่อมั่นหยั่งลงมั่นอย่างนี้ จักบรรลุอัปปนาได้ส่วนในสมาธิกับปัญญา เอกัคคตา ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง มีกำลังกล้า ย่อมควรแก่ผู้เจริญสมาธิ. ด้วยว่าผู้เจริญสมาธินั้น ย่อมบรรลุอัปปนาได้ ด้วยเอกัคคตาอย่างนี้.

ปัญญามีกำลังกล้า ย่อมควรแก่ผู้เจริญวิปัสสนา. ด้วยว่าผู้เจริญวิปัสสนานั้นย่อมถึงความแทงตลอดไตรลักษณ์ด้วยปัญญาอย่างนี้. แต่อัปปนาจะมีได้ ก็เพราะศรัทธากับปัญญาทั้งสองเสมอกันโดยแท้.

ส่วนสติมีกำลังแล้ว ย่อมควรในที่ทั้งปวง เพราะว่า สติย่อมรักษาจิตมิให้ตกไปในอุทธัจจะ ด้วยอำนาจศรัทธา วิริยะ ปัญญา ซึ่งเป็นฝ่ายอุทธัจจะ มิให้ตกไปในโกสัชชะ เพราะสมาธิเป็นฝ่ายโกสัชชะ.เพราะฉะนั้น สตินั้นจึงจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง เหมือนการปรุงรสด้วยเกลือ จำปรารถนาในการปรุงอาหารทุกอย่าง และเหมือนอำมาตย์ผู้ชำนาญในราชกิจทุกอย่าง จำปรารถนาในราชกิจทุกอย่างฉะนั้น.เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สติจำปรารถนาในที่ทั้งปวง เพราะเหตุไร เพราะจิตมีสติเป็นที่อาศัยและสติมีการอารักขา เป็นที่ปรากฏ เว้นสติเสียแล้วจะประคอง และข่มจิตไม่ได้เลย.

การเว้นบุคคลผู้มีปัญญาทราม ไม่มีปัญญาหยั่งลงในประเภทแห่งธรรมมีขันธ์เป็นต้น ให้ห่างไกล ชื่อว่าการงดเว้นบุคคลทรามปัญญา.การคบหาบุคคลผู้ประกอบด้วยปัญญารอบรู้ความเกิดและความเสื่อมแห่งสภาวธรรม อันกำหนดด้วยลักษณะ 50 ถ้วน ชื่อว่าคบหาบุคคลผู้มีปัญญา.การพิจารณาประเภทแห่งปัญญาอันลึกซึ้ง ที่เป็นไปในสภาวธรรมทั้งหลายมีขันธ์เป็นต้นอันลุ่มลึก ชื่อว่าการพิจารณาสอดส่องด้วยปัญญาอันลึกซึ้ง.ความเป็นผู้มีจิตอันโน้มน้อมไปเพื่อตั้งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ในอิริยาบถทั้งหลายมียืนนั่งเป็นต้น ชื่อว่าความน้อมจิตไปในธัมมวิจยสัมโพชฌงค์นั้น.

ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า ก็ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์นั้นที่เกิดด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมเจริญบริบูรณ์ด้วยอรหัตตมรรค.

วิริยสัมโพชฌงค์

วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดตามนัยอันมาแล้วในบาลี (สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) อย่างนี้ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อารภธาตุ (ธาตุคือความเริ่มความเพียร) นิกกมธาตุ ปรักกมธาตุ (ธาตุคือความเพียรก้าวไปข้างหน้า)มีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธาตุทั้ง 3 นั้นนี้เป็นอาหารเพื่อความเกิดแห่งวิริยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด หรือเป็นไปเพื่อความไพบูลย์เจริญบริบูรณ์เต็มที่แห่งวิริยสัมโพชฌงค์ที่เกิดแล้ว ดังนี้.

ธรรมเป็นเหตุเกิดวิริยสัมโพชฌงค์

อีกอย่างหนึ่ง ธรรม 11 ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อความเกิดแห่งวิริยสัมโพชฌงค์ คือ

1. การพิจารณาเห็นภัยในอบาย

2. การเห็นอานิสงส์

3. การพิจารณาวิถีทางดำเนิน

4. ความเคารพยำเกรงในบิณฑบาต

5. การพิจารณาความเป็นใหญ่แห่งการรับทรัพย์มรดก

6. การพิจารณาความมีพระศาสดาเป็นใหญ่

7. การพิจารณาความมีชาติเป็นใหญ่

8. การพิจารณาความมีสพรหมจารีเป็นใหญ่

9. การงดเว้นบุคคลเกียจคร้าน

10. การคบหาบุคคลผู้ปรารภความเพียร

11. ความน้อมจิตไปในวิริยสัมโพชฌงค์นั้น.

1. การพิจารณาเห็นภัยในอบาย

บรรดาธรรม 11 ประการนั้น เมื่อภิกษุผู้เจริญวิริยสัมโพชฌงค์ แม้พิจารณาเห็นภัยในอบายอย่างนี้ว่า

ใครๆ ไม่อาจยังวิริยสัมโพชฌงค์ให้เกิดได้ ในเวลาที่เสวยทุกข์ใหญ่จำเดิมแต่ถูกลงโทษด้วยเครื่องจองจำ 5 ประการในนรกก็ดี ในเวลาที่ถูกเขาจับด้วยเครื่องจับมี ข่าย แหและอวนเป็นต้นบ้างในเวลาขับต้อนทิ่มแทงด้วยเครื่องประหารมีปฏักเป็นต้น ให้ลากเกวียนบ้าง ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานก็ดี ในเวลาที่ทุรนทุรายด้วยความหิวกระหายตั้งหลายพันปีบ้าง พุทธันดรหนึ่งบ้าง ในเปรตวิสัยก็ดีในเวลาที่ต้องเสวยทุกข์อันเกิดแต่ลมและแดดเป็นต้น ด้วยเรือนร่างที่สูงประมาณ 60 ศอก 80 ศอก เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ในจำพวกกาลกัญชิกอสูรก็ดี

ดูก่อนภิกษุ เวลานี้เท่านั้น เป็นเวลาทำความเพียรของเธอดังนี้

วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดขึ้นได้.

2. การเห็นอานิสงส์

เมื่อเห็นอานิสงส์อย่างนี้ว่า คนเกียจคร้านไม่อาจได้โลกุตตรธรรม 9 คนที่ปรารภความเพียรเท่านั้นจึงสามารถ นี้เป็นอานิสงส์ของความเพียร ดังนี้

วิริยสัมโพชฌงค์ก็ย่อมเกิดได้.

3. การพิจารณาวิถีทางดำเนิน

เมื่อพิจารณาวิถีทางดำเนินอย่างนี้ว่า ควรดำเนินทางที่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระมหาสาวกทุกพระองค์ดำเนินไปแล้ว ทางนั้น คนเกียจคร้านไม่อาจเดินไปได้ดังนี้

วิริยสัมโพชฌงค์ก็ย่อมเกิดได้.

4. การเคารพยำเกรงต่อบิณฑบาต

เมื่อพิจารณาความเคารพยำเกรงต่อบิณฑบาตอย่างนี้ว่า

มนุษย์เหล่าใดบำรุงเธอด้วยปัจจัยมีบิณฑบาตเป็นต้น มนุษย์เหล่านั้นนี้ ก็ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ทาส และคนงานของเธอเลย ทั้งมนุษย์เหล่านั้นก็มิใช่ถวายปัจจัยมีจีวรเป็นต้นอันประณีตแก่เธอ ด้วยคิดว่าจักอาศัยเธอเลี้ยงชีวิต โดยที่แท้ เขาหวังให้อุปการะที่ตนทำแล้วมีผลมาก จึงถวาย

แม้พระศาสดาก็มิได้ทรงพิจารณาเห็นอย่างนี้ว่า ภิกษุนี้บริโภคปัจจัยเหล่านี้แล้ว จักมีร่างกายแข็งแรงมากอยู่เป็นสุข ดังนี้ แล้วทรงอนุญาตปัจจัยแก่เธอโดยที่แท้ พระองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า ภิกษุบริโภคปัจจัยเหล่านี้ บำเพ็ญสมณธรรม จักพ้นจากทุกข์ในวัฏฏะได้ดังนี้ จึงทรงอนุญาตปัจจัยไว้ เดี๋ยวนี้ เธอเกียจคร้านอยู่ ไม่เคารพยำเกรงบิณฑบาตนั้น

ขึ้นชื่อว่าการเคารพยำเกรงต่อบิณฑบาต ย่อมมีแก่ผู้ปรารภความเพียรเท่านั้น ดังนี้ วิริยสัมโพชฌงค์ก็เกิดได้

เหมือนวิริยสัมโพชฌงค์เกิดแก่ท่านพระมหามิตตเถระฉะนั้น.

เรื่องพระมหามิตตเถระ

เล่ากันว่า พระเถระอาศัยอยู่ในถ้ำชื่อ กสกะ. และมหาอุบาสิกาผู้หนึ่งในบ้านเป็นที่โคจรของท่าน บำรุงพระเถระเหมือนบุตร.

วันหนึ่ง นางจะไปป่า จึงสั่งลูกสาวว่า ลูก ข้าวสารเก่าอยู่โน้น น้ำนม เนยใส น้ำอ้อย อยู่โน้น เวลาที่พระเป็นเจ้ามิตตะ พี่ชายของเจ้ามาแล้ว จงปรุงอาหารถวายพร้อมด้วยน้ำนม เนยใสและน้ำอ้อย ด้วยนะลูก.

ลูกสาวถามว่า ก็แม่จะรับประทานไหมจ๊ะ. มหาอุบาสิกาตอบว่า ก็เมื่อวานนี้ แม่รับประทานอาหารสำหรับค้างคืน (ปาริวาสกภัต) ที่ปรุงกับน้ำส้มแล้วนี้จ๊ะ.

ลูกสาวถามว่า แม่จักรับประทานกลางวันไหมจ๊ะ. มหาอุบาสิกาสั่งว่า เจ้าจงใส่ผักดองแล้วเอาปลายข้าวสาร ต้มข้าวต้มมีรสเปรี้ยวเก็บไว้ให้เถอะลูก.

พระเถระครองจีวรแล้วกำลังนำบาตรออก (จากถลก) ได้ยินเสียงนั้นแล้วก็สอนตนเองว่า ได้ยินว่า มหาอุบาสิการับประทานแต่อาหารสำหรับค้างคืนกับน้ำส้ม แม้กลางวันก็จักรับประทานข้าวต้มเปรี้ยวใส่ผักดองนางบอกอาหารมีข้าวสารเก่าเป็นต้น เพื่อประโยชน์แก่เธอ ก็มหาอุบาสิกานั้นมิได้หวังที่นาที่สวน อาหารและผ้า เพราะอาศัยเธอเลย แต่ปรารถนาสมบัติ 3 ประการ (มนุษย์สมบัติ สวรรคสมบัติ นิพพานสมบัติ) จึงถวาย เธอจักสามารถให้สมบัติเหล่านั้นแก่มหาอุบาสิกานั้นได้หรือไม่เล่า ดังนี้

ท่านคิดว่า บิณฑบาตนี้แล เธอยังมีราคะโทสะโมหะอยู่ ไม่อาจรับได้ดังนี้แล้ว ก็เก็บบาตรเข้าถลก ปลดดุมจีวร กลับไปถ้ำกสกะเลย เก็บบาตรไว้ใต้เตียง พาดจีวรไว้ที่ราวจีวร นั่งลงอธิษฐานความเพียรว่า เราไม่บรรลุพระอรหัต จักไม่ออกไปจากถ้ำดังนี้.ภิกษุผู้ไม่ประมาทอยู่มาช้านาน เจริญวิปัสสนา ก็บรรลุพระอรหัตก่อนเวลาอาหารเช้า เป็นพระมหาขีณาสพ (สิ้นอาสวะแล้ว) นั่งยิ้มอยู่ เหมือนดอกปทุมที่กำลังแย้มฉะนั้น.

เทวดาผู้สิงอยู่ที่ต้นไม้ใกล้ประตูถ้ำเปล่งอุทานว่า

 นโม เต ปุริสาชญฺญ    นโม เต ปุริสุตฺตม
 
 ยสฺส เต อาสวา ขีณา    ทกฺขิเณยฺโยสิ มาริส
 
 ท่านบุรุษอาชาไนย ข้าพเจ้าขอนอบน้อมท่าน 
 
 ท่านยอดบุรุษ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมท่าน 
 
 ข้าพเจ้าขอนอบน้อมท่านผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว 
 
 ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านเป็นผู้ควรทักษิณาทาน ดังนี้
    
แล้วกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า พวกหญิงแก่ถวายอาหารแก่พระอรหันต์ทั้งหลาย เช่นท่านผู้เข้าไปบิณฑบาต จักพ้นจากทุกข์ได้ ดังนี้.

พระเถระลุกขึ้นเปิดประตูดูเวลา ทราบว่ายังเช้าอยู่ จึงถือบาตรและจีวรเข้าสู่หมู่บ้าน ฝ่ายเด็กหญิงจัดเตรียมอาหารเสร็จแล้ว นั่งคอยดูอยู่ตรงประตู ด้วยนึกว่า ประเดี๋ยวพี่ชายเราคงจักมา ประเดี๋ยวพี่ชายเราคงจักมา.

เมื่อพระเถระมาถึงประตูเรือนแล้ว เด็กหญิงนั้นก็รับบาตรบรรจุเต็มด้วยอาหารเจือน้ำนม ที่ปรุงด้วยเนยใสและน้ำอ้อยแล้ว วางไว้บนมือ (ของพระเถระ). พระเถระทำอนุโมทนาว่า จงมีสุขเถิด แล้วก็หลีกไป.เด็กหญิงนั้นยืนจ้องดูท่านอยู่แล้ว. ความจริง ในคราวนั้น ผิวพรรณของพระเถระบริสุทธิ์ยิ่งนัก อินทรีย์ผ่องใส หน้าของท่านเปล่งปลั่งยิ่งนัก ประดุจผลตาลสุกหลุดออกจากขั้วฉะนั้น.

มหาอุบาสิกากลับมาจากป่าถามว่า พี่ชายของเจ้ามาแล้วหรือลูก. เด็กหญิงนั้นก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้มารดาฟัง.

มหาอุบาสิกาก็รู้ได้ว่า วันนี้ บรรพชิตกิจแห่งบุตรของเราถึงที่สุดแล้ว จึงกล่าวว่า ลูก พี่ชายของเจ้ายินดียิ่งนักในพระพุทธศาสนา ไม่กระสัน (อยากสึก) แล้วละดังนี้.

5. การพิจารณาความมีทรัพย์มรดกเป็นใหญ่

เมื่อพิจารณาความมีทรัพย์มรดกเป็นใหญ่อย่างนี้ว่า ก็ทรัพย์มรดกของพระศาสดามีมากแล คืออริยทรัพย์ 7 ประการ ทรัพย์มรดกนั้น ผู้เกียจคร้านไม่อาจรับได้

เหมือนอย่างว่า มารดาบิดาย่อมตัดบุตรผู้ประพฤติผิด ทำให้เป็นคนภายนอกว่า คนนี้ไม่ใช่ลูกของเรา เมื่อมารดาบิดาล่วงลับไป เขาก็ไม่ได้รับทรัพย์มรดกฉันใด แม้บุคคลผู้เกียจคร้านก็ฉันนั้น ย่อมไม่ได้มรดก คืออริยทรัพย์นี้ ผู้ปรารภความเพียรเท่านั้น ย่อมได้รับดังนี้

วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้.

6. การพิจารณาความมีพระศาสดาเป็นใหญ่

เมื่อพิจารณาความมีพระศาสดาเป็นใหญ่อย่างนี้ว่า

พระศาสดาของเธอเป็นใหญ่ เพราะในเวลาที่พระศาสดาของเธอทรงถือปฏิสนธิ ในพระครรภ์ของพระมารดาก็ดี เวลาเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ก็ดีเวลาตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณก็ดี เวลาประกาศพระธรรมจักร แสดงยมกปาฏิหาริย์ เสด็จลงจากเทวโลก และทรงปลงอายุสังขารก็ดี เวลาเสด็จดับขันธปรินิพพานก็ดีหมื่นโลกธาตุก็หวั่นไหวแล้ว เธอบวชในพระศาสนาของศาสดาเห็นปานฉะนี้แล้ว เป็นคนเกียจคร้าน ควรแล้วหรือ ดังนี้

วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้.

7. การพิจารณาความมีชาติเป็นใหญ่

เมื่อพิจารณาความมีชาติเป็นใหญ่ อย่างนี้ว่า

แม้โดยชาติ บัดนี้ เธอไม่ใช่คนมีชาติต่ำแล้วละ เธอชื่อว่าเกิดแล้วในวงศ์ของพระเจ้าอุกกากราช ที่สืบทอดกันมาโดยมหาสมมตประเพณี ไม่เจือปนกับชนชาติอื่น เป็นพระนัดดาของพระเจ้าสุทโธทนมหาราชและพระนางเจ้ามหามายาเทวี เป็นพระอนุชาของท่านพระราหุลพุทธชิโนรส ขึ้นชื่อว่าเธอ เป็นพุทธชินบุตรเห็นปานฉะนี้แล้ว อยู่อย่างคนเกียจคร้าน ไม่สมควรดังนี้

วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้.

8. การพิจารณาความมีสพรหมจารีเป็นใหญ่

เมื่อพิจารณาความมีสพรหมจารีเป็นใหญ่อย่างนี้ว่า

ท่านพระสารีบุตร ท่านพระโมคคัลลานะ และพระสาวกผู้ใหญ่ 80 รูป แทงตลอด (ตรัสรู้) โลกุตตรธรรมด้วยความเพียรกันทั้งนั้น เธอจะดำเนินตามทางของสพรหมจารีเหล่านั้น หรือไม่ดำเนินตามเล่า ดังนี้

วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้.

9. การงดเว้นบุคคลผู้เกียจคร้าน

10. การคบหาบุคคลผู้ปรารภความเพียร

11. ความน้อมจิตไปในวิริยสัมโพชฌงค์นั้น

เมื่อเว้นบุคคลผู้เกียจคร้าน ผู้สละความเพียรทางกายและทางใจ ซึ่งเป็นเหมือนงูเหลือมกินเต็มท้อง แล้วก็หยุดอยู่กับที่ก็ดี คบหาบุคคลผู้ปรารภความเพียร ผู้อุทิศตนมุ่งปฏิบัติธรรมก็ดีมีจิตโน้มน้อมโอนไป เพื่อให้ความเพียรเกิดขึ้น ในอิริยาบถทั้งหลายมียืนนั่งเป็นต้นก็ดี วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้.

ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า วิริยสัมโพชฌงค์นั้นที่เกิดแล้วด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมเจริญบริบูรณ์ด้วยอรหัตตมรรค.

ปีติสัมโพชฌงค์

ปีติสัมโพชฌงค์ย่อมเกิด โดยนัยอันมาแล้วในบาลี (สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) อย่างนี้ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งปีติสัมโพชฌงค์ มีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งปีติสัมโพชฌงค์นี้เป็นอาหารเพื่อความเกิดแห่งปีติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด หรือเป็นทางเพื่อความไพบูลย์ เจริญบริบูรณ์เต็มที่แห่งปีติสัมโพชฌงค์ที่เกิดแล้ว ดังนี้.

ปีตินั้นเอง ชื่อว่าธรรมเป็นที่ตั้งแห่งปีติสัมโพชฌงค์ ในบาลีนั้น. มนสิการอันยังปีตินั้นให้เกิด ชื่อว่าโยนิโสมนสิการ.

ธรรมเป็นเหตุเกิดปีติสัมโพชฌงค์

อีกอย่างหนึ่ง ธรรม 11 ประการ ย่อมเป็นทางเกิด ปีติสัมโพชฌงค์ คือ

1. พุทธานุสสติ

2. ธัมมานุสสติ

3. สังฆานุสสติ

4. สีลานุสสติ

5. จาคานุสสติ

6. เทวตานุสสติ

7. อุปสมานุสสติ

8. เว้นบุคคลผู้เศร้าหมอง

9. คบหาบุคคลผู้หมดจด

10. การพิจารณาความในพระสูตร เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส

11. ความน้อมจิตไปในปีติสัมโพชฌงค์นั้น.

จริงอยู่ ผู้เจริญปีติสัมโพชฌงค์ เมื่อระลึกถึงพระพุทธคุณ ปีติสัมโพชฌงค์แผ่ซ่านทั่วสรีระจนกระทั่งอุปจารสมาธิ ย่อมเกิดขึ้น เมื่อระลึกถึงคุณพระธรรมและพระสงฆ์ก็ดี

พิจารณาปาริสุทธิศีล 4 ที่ตนรักษาไม่ขาดวิ่นเป็นเวลานานก็ดี แม้คฤหัสถ์พิจารณาศีล 10 ศีล 5 ก็ดี พิจารณาจาคะการบริจาคว่าในเวลาประสบทุพภิกขภัยเป็นต้น เราถวายโภชนะอันประณีตแก่สพรหมจารีทั้งหลาย แล้วถวายโภชนะชื่ออย่างนี้ ดังนี้ก็ดี แม้คฤหัสถ์พิจารณาถึงทานที่ถวายแก่ท่านผู้มีศีลในเวลาเห็นปานนั้นก็ดี

พิจารณาถึงคุณเช่นกับที่เทวดาประกอบแล้วถึงความเป็นเทวดาว่า มีอยู่ในตนก็ดี พิจารณาเห็นว่ากิเลสที่ข่มได้แล้วแม้ด้วยสมาบัติ ตลอด 60 ปีบ้าง 70 ปีบ้าง ไม่ฟุ้งกำเริบดังนี้ก็ดี

เว้นบุคคลเศร้าหมองผู้มีความหม่นหมองอันสร้างสมไว้ เพราะไม่ทำโดยเคารพ ในเวลาเห็นพระเจดีย์ เห็นโพธิพฤกษ์และเห็นพระเถระผู้เป็นเช่นกับละอองธุลีบนหลังลา เพราะไม่มีความเลื่อมใสรักใคร่ในพระรัตนตรัย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นก็ดี

ซ่องเสพบุคคลผู้หมดจด ผู้มากด้วยความเลื่อมใส มีจิตอ่อนโยนในพระรัตนตรัย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นก็ดี

พิจารณาความในพระสูตรอันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส ซึ่งแสดงคุณของพระรัตนตรัยก็ดี มีจิตโน้มน้อมโอนไป เพื่อให้เกิดปีติ ในอิริยาบถทั้งหลายมียืนนั่งเป็นต้นก็ดี

ปิติสัมโพชฌงค์ ย่อมเกิดได้.

ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า ปีติสัมโพชฌงค์นั้นซึ่งเกิดแล้วด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมเจริญบริบูรณ์ด้วยอรหัตตมรรค.

ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์

ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ย่อมเกิดโดยนัยที่มาแล้วในบาลี (สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) อย่างนี้ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายปัสสัทธิ ความสงบกาย จิตตปัสสัทธิ ความสงบจิต มีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในความสงบกายและความสงบจิตนั้น นี้เป็นอาหาร (ย่อมเป็นไป) เพื่อความเกิดแห่งปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด หรือเป็นทางเพื่อความไพบูลย์ เจริญบริบูรณ์เต็มที่ แห่งปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ที่เกิดแล้ว ดังนี้.

ธรรมเป็นเหตุเกิดปัสสัทธิสัมโพชฌงค์

อีกอย่างหนึ่ง ธรรม 7 ประการ ย่อมเป็นทางเกิดปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ คือ

1. เสพโภชนะอันประณีต

2. เสพฤดูเป็นที่สบาย

3. เสพอิริยาบถเป็นที่สบาย

4. ประกอบความเป็นกลาง

5. เว้นบุคคลผู้ไม่สงบกาย

6. เสพบุคคลผู้สงบกาย

7. น้อมจิตไปในปัสสัทธิสัมโพชฌงค์นั้น.

จริงอยู่ ผู้เจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ เมื่อบริโภคโภชนะเป็นที่สบายอันประณีตหมดจดก็ดีเสพฤดูเป็นที่สบาย ไม่ว่าจะเป็นฤดูหนาว ฤดูร้อน เสพอิริยาบถเป็นที่สบาย ไม่ว่าจะเป็นอิริยาบถยืนเป็นต้นก็ดี ย่อมเกิดความสงบได้. แต่คำนั้น ท่านมิได้กล่าวหมายถึงบุคคลผู้เป็นมหาบุรุษ ซึ่งทนฤดูและอิริยาบถ เป็นที่สบาย.เมื่อผู้ที่มีฤดูและอิริยาบถที่ถูกกันและไม่ถูกกัน เว้นฤดูและอิริยาบถที่ไม่ถูกกันเสียแล้ว เสพฤดูและอิริยาบถที่ถูกกัน ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้.

การพิจารณาถึงความที่ตนและคนอื่นมีกรรมเป็นของๆ ตน เรียกว่าประกอบความเป็นกลาง ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้ด้วยประกอบความเป็นกลางอันนี้.เมื่อเว้นบุคคลผู้มีกายไม่สงบ เช่นเที่ยวเบียดเบียนสัตว์อื่นด้วยเครื่องประหาร มีก้อนดินและท่อนไม้เป็นต้นก็ดี เสพบุคคลผู้มีกายสงบ สำรวมมือเท้าก็ดี มีจิตน้อมโน้มโอนไปเพื่อให้เกิดปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ในอิริยาบถมียืนนั่งเป็นต้นก็ดี ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้.

ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า ก็ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์นั้น อันเกิดแล้วด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมเจริญบริบูรณ์ด้วยอรหัตตมรรค.

สมาธิสัมโพชฌงค์

สมาธิสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้ โดยนัยมาแล้วในบาลี (สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) อย่างนี้ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมถนิมิต (บาลีว่า สมาธินิมิต) อัพยัคคนิมิตมีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในนิมิตทั้งสองนั้นนี้เป็นอาหาร (ย่อมเป็นไป) เพื่อความเกิดแห่งสมาธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดหรือเป็นทางเพื่อความไพบูลย์ เจริญบริบูรณ์เต็มที่แห่งสมาธิสัมโพชฌงค์ที่เกิดแล้ว ดังนี้.

ในนิมิตเหล่านั้น สมถะนั่นแล ชื่อว่าสมถนิมิตและอัพยัคคนิมิต เพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน.

ธรรมเป็นเหตุเกิดสมาธิสัมโพชฌงค์

อีกอย่างหนึ่ง ธรรม 11 ประการย่อมเป็นทางเกิดสมาธิสัมโพชฌงค์ คือ

1. ทำวัตถุให้สละสลวย

2. การปรับปรุงอินทรีย์ให้สม่ำเสมอ

3. ฉลาดในนิมิต

4. ประคองจิตในสมัยที่ควรประคอง

5. ข่มจิตในสมัยที่ควรข่ม

6. ทำจิตให้ร่าเริงในสมัยที่ควรให้ร่าเริง

7. เพ่งเฉยในสมัยที่ควรเพ่งเฉย

8. เว้นบุคคลผู้มีจิตไม่เป็นสมาธิ

9. คบหาบุคคลผู้มีจิตเป็นสมาธิ

10. พิจารณาและวิโมกข์

11. น้อมจิตไปในสมาธิสัมโพชฌงค์นั้น.

อธิบายธรรม 11 ประการ

ในธรรม 11 ประการนั้น เฉพาะการทำวัตถุให้สละสลวย และการปรับปรุงอินทรีย์ให้สม่ำเสมอ พึงทราบตามนัยที่กล่าวมาแล้วนั่นแล.

ความฉลาดในการกำหนดกสิณนิมิตเป็นอารมณ์ ชื่อว่าฉลาดในนิมิต. การประคองจิตไว้ ด้วยการตั้งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์และปีติสัมโพชฌงค์ในสมัยที่จิตหดหู่ เพราะมีความเพียรย่อหย่อนเกินไปเป็นต้น ชื่อว่าประคองจิตในสมัยที่ควรประคอง.

การข่มจิตไว้ ด้วยการตั้งปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์และอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ในสมัยที่จิตฟุ้งซ่าน เพราะปรารภความเพียรมากเกินไปเป็นต้น ชื่อว่าข่มจิตในสมัยที่ควรข่ม.

คำว่า ทำจิตให้ร่าเริงในสมัยที่ควรร่าเริง อธิบายว่า สมัยใด จิตไม่แช่มชื่นเพราะมีปัญญาและความเพียรอ่อนไป หรือเพราะไม่บรรลุสุขที่เกิดแต่ความสงบ สมัยนั้น ก็ทำจิตให้สลดด้วยพิจารณาสังเวควัตถุเรื่องอันเป็นที่ตั้งแห่งความสลด 8 ประการ.

เรื่องอันเป็นที่ตั้งแห่งความสลด 8 ประการ คือ

1. ชาติ 2. ชรา 3. พยาธิ 4. มรณะ

5. ทุกข์ในอบาย

6. ทุกข์ในอดีตมีวัฏฏะเป็นมูล

7. ทุกข์ในอนาคตมีวัฏฏะเป็นมูล

8. ทุกข์ในปัจจุบันมีการแสวงหาอาหารเป็นมูล.

อนึ่ง การทำความเลื่อมใสให้เกิด ด้วยมาระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย อันนี้ก็เรียกว่าการทำจิตให้ร่าเริงในสมัยที่ควรให้ร่าเริง.

ชื่อว่า เพ่งเฉยในสมัยที่ควรเพ่งเฉย อธิบายว่า สมัยใด จิตอาศัยการปฏิบัติชอบ ไม่หดหู่ ไม่ฟุ้งซ่าน แช่มชื่น เป็นไปสม่ำเสมอในอารมณ์ ดำเนินในสมถวิถีสมัยนั้นไม่ต้องขวยขวายในการประคอง ข่มและทำจิตให้ร่าเริง เหมือนสารถีไม่ต้องขวนขวาย ในเมื่อม้าวิ่งเรียบฉะนั้น อันนี้เรียกว่าเพ่งเฉยในสมัยที่ควรเพ่งเฉย.

การเว้นบุคคลผู้มีจิตฟุ้งซ่าน ไม่บรรลุอุปจาระหรืออัปปนา ให้ห่างไกล ชื่อว่าเว้นบุคคลผู้มีจิตไม่เป็นสมาธิ.

การเสพ คบหา เข้าไปนั่งใกล้บุคคลผู้มีจิตเป็นสมาธิด้วยอุปจารภาวนา หรืออัปปนาภาวนา ชื่อว่าคบหาบุคคลผู้มีจิตเป็นสมาธิ.

ความเป็นผู้มีจิตน้อมโน้มโอนไปเพื่อให้เกิดสมาธิ ในอิริยาบถทั้งหลายมียืนนั่งเป็นต้น ชื่อว่าน้อมจิตไปในสมาธิสัมโพชฌงค์.

ด้วยว่า เมื่อปฏิบัติอยู่อย่างนี้ สมาธิสัมโพชฌงค์นั้นย่อมเกิดได้.

เมื่อภิกษุรู้ชัดว่า ก็สมาธิสัมโพชฌงค์นั้น อันเกิดแล้วด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมเจริญบริบูรณ์ด้วยอรหัตตมรรค.

อุเบกขาสัมโพชฌงค์

อุเบกขาสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้ตามนัยอันมาแล้วในบาลี (สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) อย่างนี้ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์มีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์นั้นนี้เป็นอาหาร (ย่อมเป็นไป) เพื่อความเกิดแห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด หรือเป็นทางเพื่อความเจริญไพบูลย์ บริบูรณ์เต็มที่ แห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่เกิดแล้ว ดังนี้.

ก็ในธรรมเหล่านั้น อุเบกขานั่นแล ชื่อว่าธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์.

ธรรมเป็นเหตุเกิดอุเบกขาสัมโพชฌงค์

อีกอย่างหนึ่ง ธรรม 5 ประการย่อมเป็นไปเพื่อความเกิดแห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์ คือ

1. วางตนเป็นกลางในสัตว์

2. วางตนเป็นกลางในสังขาร

3. เว้นบุคคลผู้ยึดถือสัตว์และสังขาร

4. คบหาบุคคลผู้วางตนเป็นกลางในสัตว์และสังขาร

5. น้อมจิตไปในอุเบกขาสัมโพชฌงค์นั้น.

อธิบายธรรม 5 ประการ

ในธรรม 5 ประการนั้น ผู้เจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ย่อมตั้งการวางตนเป็นกลางในสัตว์ ด้วยอาการ 2 อย่าง คือ

ด้วยการพิจารณาถึงความที่ตนและผู้อื่นมีกรรมเป็นของๆ ตนอย่างนี้ว่า ท่านมาด้วยกรรมของตน ก็จักไปด้วยกรรมของตน แม้เขาก็มาด้วยกรรมของตน (เขา) จักไปด้วยกรรมของตน (เขา) เหมือนกัน ท่านจะยึดถืออะไรกัน ดังนี้

และด้วยการพิจารณาถึงความไม่มีสัตว์อย่างนี้ว่า เมื่อว่าโดยปรมัตถ์ ที่ว่าสัตว์ๆ มันไม่มี ท่านจะยึดอะไรกันเล่า ดังนี้.

ตั้งการวางตนเป็นกลางในสังขาร ด้วยอาการ 2 อย่าง คือ

ด้วยการพิจารณาโดยความเป็นของไม่มีเจ้าของ อย่างนี้ว่า จีวรนี้จักเข้าถึงความเปลี่ยนสีและความเก่าคร่ำคร่า เป็นผ้าเช็ดเท้า ต้องเขี่ยทิ้งด้วยปลายไม้เท้า ก็ถ้าว่าจีวรนั้นพึงมีเจ้าของไซร้ เขาก็ไม่พึงให้มันเสียหายอย่างนี้ ดังนี้

และด้วยการพิจารณาโดยความเป็นของชั่วคราวอย่างนี้ว่า จีวรนี้อยู่ไม่ได้นาน เป็นของชั่วคราว ดังนี้.

แม้ในบริขารมีบาตรเป็นต้น ก็พึงประกอบความเหมือนอย่างในจีวร.

ในข้อว่า เว้นบุคคลผู้ยึดถือในสัตว์และสังขาร มีวินิจฉัยดังนี้

บุคคลใดเป็นคฤหัสถ์ ก็ยึดถือปิยชนมีบุตรธิดาเป็นต้นของตน หรือเป็นบรรพชิตก็ยึดถือบรรพชิตมีอันเตวาสิก และผู้ร่วมอุปัชฌาย์กันเป็นต้นของตน มัวทำกิจกรรมมีปลงผม เย็บจีวร ซักย้อมจีวร ระบมบาตรเป็นต้นของชนเหล่านั้น ด้วยมือของตนทีเดียว

เมื่อไม่เห็นเพียงครู่เดียว ก็บ่นถึงว่า สามเณรรูปโน้นไปไหน ภิกษุหนุ่มรูปโน้นไปไหน เหลียวซ้ายแลขวา เหมือนมฤคตื่นตกใจฉะนั้น แม้ผู้อื่นอ้อนวอนขอว่า โปรดส่งสามเณรชื่อโน้นไปช่วยปลงผมเป็นต้น สักครู่เถิดดังนี้ ก็ไม่ยอมให้ด้วยพูดว่า พวกเราจะไม่ให้ทำกิจกรรมของตนบ้างหรือ พวกท่านพาเธอไปจะลำบากดังนี้

บุคคลนี้ ชื่อว่ายึดถือสัตว์.

ฝ่ายบุคคลใด ยึดถือบริขารมีจีวร บาตร ถลกบาตร ไม้เท้าเป็นต้น แม้ผู้อื่นจะเอามือจับก็ไม่ให้จับ ถึงขอยืมก็ตอบขัดข้องว่า เราต้องการใช้ทรัพย์ ก็ยังไม่ใช้ จักให้พวกท่านได้อย่างไรดังนี้

บุคคลนี้ ชื่อว่ายึดถือสังขาร.

ฝ่ายบุคคลใดวางตนเป็นกลาง เที่ยงตรงในวัตถุทั้งสองนั้น บุคคลนี้ ชื่อว่าวางตนเป็นกลางในสัตว์และสังขาร.

เมื่อเว้นไกลบุคคลผู้ยึดถือสัตว์และสังขารเห็นปานฉะนี้ก็ดี คบหาบุคคลผู้วางตนเป็นกลางในสัตว์และสังขารก็ดี มีจิตน้อมโน้มโอนไปเพื่อให้เกิดอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ในอิริยาบถทั้งหลายมียืนนั่งเป็นต้นก็ดี อุเบกขาสัมโพชฌงค์นี้ย่อมเกิดได้ด้วยประการฉะนี้.

ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า ก็อุเบกขาสัมโพชฌงค์นั้นอันเกิดแล้วด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมเจริญบริบูรณ์ด้วยอรหัตตมรรค.

คำว่า อิติ อชฺฌตฺตํ วา หรือภายในเป็นต้น ความว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย เพราะกำหนดสัมโพชฌงค์ 7 ของตน หรือของคนอื่น หรือกำหนดสัมโพชฌงค์ 7 ของตนตามกาล หรือของคนอื่นตามกาลอยู่.

ก็ความเกิดและความเสื่อม (แห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์) พึงทราบด้วยอำนาจความเกิดและความดับแห่งสัมโพชฌงค์ทั้งหลายในโพชฌงคบรรพนี้.

ข้อความต่อจากนี้ ก็มีนัยดังกล่าวมาแล้ว.

สติกำหนดโพชฌงค์เป็นอริยสัจ 4

แต่ในโพชฌงค์บรรพนี้มีข้อแตกต่างกันอย่างเดียว คือพึงประกอบความอย่างนี้ว่า สติกำหนดโพชฌงค์เป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจเป็นต้น แล้วพึงทราบว่า เป็นทางปฏิบัตินำออกจากทุกข์ ของภิกษุผู้กำหนดโพชฌงค์เป็นอารมณ์.

คำที่เหลือก็เช่นนั้นเหมือนกัน.

จบโพชฌงคบรรพ

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกธัมมานุปัสสนาโดยโพชฌงค์ 7 ประการอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงจำแนกสัจจะ 4 ประการ จึงตรัสว่า ปุน จปรํ ยังมีอีกข้อหนึ่ง ดังนี้เป็นต้น.

อริยสัจ 4

ในคำเหล่านั้น คำว่า รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์เป็นต้น ความว่า

รู้ชัดตามสภาพที่เป็นจริง ซึ่งธรรมที่เป็นไปในภูมิ 3 เว้นตัณหาว่า นี้ทุกข์.

รู้ชัดตามสภาพที่เป็นจริง ซึ่งตัณหาที่มีอยู่ก่อน อันทำทุกข์นั้นนั่นแล ให้เกิดให้ปรากฏขึ้น นี้ทุกขสมุทัย.

รู้ชัดตามสภาพที่เป็นจริง ซึ่งความดับคือ หยุดทุกข์และทุกขสมุทัยทั้งสองว่า นี้ทุกขนิโรธ.

รู้ชัดตามสภาพที่เป็นจริง ซึ่งอริยมรรคอันเป็นเหตุกำหนดรู้ทุกข์ เป็นเหตุละสมุทัย เป็นเหตุทำให้แจ้งนิโรธว่า นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.

กถาว่าด้วยสัจจะที่เหลือเว้นกถาว่าด้วยบทภาชนะ แจกบทแห่งทุกข์ มีชาติเป็นต้น ท่านกล่าวไว้พิสดารในคัมภีร์วิสุทธิมรรคแล้วเทียว.

อธิบายบทภาชนะ

ชาติ

ส่วนในบทภาชนะ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้

คำว่า กตมา จ ภิกฺขเว ชาติ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชาติเป็นอย่างไร ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ชาติอันใดที่เรากล่าวอย่างนี้ว่า แม้ชาติก็เป็นทุกข์ ชาติอันนั้นเป็นอย่างไร. พึงทราบอรรถในปุจฉาทั้งปวงอย่างนี้.

คำว่า ของสัตว์เหล่านั้นๆ อันใดนี้ เป็นคำกำหนดรวมสัตว์ไว้ทั้งหมดโดยไม่มีกำหนดว่า ของเหล่าสัตว์ชื่อนี้. แม้คำว่าในหมู่สัตว์นั้นๆ นี้ เป็นคำกำหนดรวมหมู่สัตว์ไว้ทั้งหมด.

ความเกิดชื่อว่าชาติ. คำว่า ชาติ นี้เป็นชื่อของขันธ์ที่เกิดจำเพาะทีแรก พร้อมด้วยความเปลี่ยนแปลง. คำว่า สัญชาติ นี้เป็นไวพจน์ (แทน) ของชาตินั่นเอง แต่ประกอบด้วยอุปสรรค.ความเกิดนั่นแล ชื่อว่า โอกฺกนฺติ ก้าวลง ด้วยอรรถว่าก้าวลงโดยอาการที่เข้าไปโดยลำดับ ชื่อว่า อภินิพฺพตฺติ เกิดจำเพาะ ด้วยอรรถว่าเกิดเฉพาะ กล่าวคือ เกิดทั้ง 4 อย่างนี้ ชื่อว่ากล่าวโดยสมมัติ.

ส่วนบาลี ขนฺธานํ ปาตุภาโว ความปรากฏแห่งขันธ์ทั้งหลายนี้ กล่าวโดยปรมัตถ์.ความปรากฏแห่งขันธ์ทั้งหลายนั่นแล ที่แยกเป็นขันธ์หนึ่ง ขันธ์สี่และขันธ์ห้า ในบรรดาหมู่สัตว์ที่มีขันธ์หนึ่งเป็นต้นนั่นเอง ไม่ใช่ความปรากฏแห่งบุคคล. แต่เมื่อความปรากฏแห่งขันธ์นั้นมีอยู่. ก็สมมติเรียกกันว่า บุคคลปรากฏดังนี้.

คำว่า อายตนานํ ปฏิลาโภ ความได้อายตนะทั้งหลาย ความว่า อายตนะทั้งหลายปรากฏอยู่นั่นแล เป็นอันชื่อว่าได้มา นั้นชื่อว่าความได้มาที่กล่าวได้ว่าความปรากฏแห่งอายตนะเหล่านั้น.

ชรา

ศัพท์ว่า ชรา เป็นศัพท์แสดงถึงสภาพความเป็นเอง. ศัพท์ว่า ชีรณตา แสดงถึงภาวะ คืออาการ. ศัพท์ว่า ขณฺฑิจฺจํ เป็นต้น คือแสดงถึงภาวะเปลี่ยนแปลง.

จริงอยู่ เวลาเป็นหนุ่มสาว ฟันก็เรียบขาว. ครั้นหง่อมเข้า ฟันเหล่านั้นก็เปลี่ยนสีไปโดยลำดับ หลุดตกไปในที่นั้นๆ.อนึ่ง ฟันหัก หมายถึงฟันที่หลุดร่วง และที่ยังอยู่ ชื่อว่า ขณฺฑิตา. ภาวะแห่งฟันที่หักเรียกว่า ขณฺฑิจฺจํ ความที่ฟันหัก.ผมและขนคร่ำคร่าไปโดยลำดับ ชื่อว่าผมหงอก. ผมหงอกเกิดพร้อมแล้วแก่บุคคลนั้น เหตุนั้น บุคคลนั้นชื่อว่ามีผมหงอก. ภาวะแห่งบุคคลผู้มีผมหงอก ชื่อว่า ปาลิจฺจํ ความที่ผมหงอก.เกลียวที่หนังของบุคคลนั้น มีอยู่ เพราะมีเนื้อและเลือดแห้งไปด้วยถูกลม คือชราประหาร เหตุนั้น บุคคลนั้นชื่อว่ามีหนังเป็นเกลียว (เหี่ยว).ภาวะแห่งบุคคลผู้มีหนังเป็นเกลียวนั้น ชื่อว่า วลิตฺตจตา ความที่หนังเหี่ยว.

ด้วยถ้อยคำมีประมาณเพียงเท่านี้ เป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงชราที่เปิดเผย อันปรากฏชัด โดยแสดงความเปลี่ยนแปลงในฟัน ผม ขน หนัง.

ทางไปของลมหรือไฟ จะปรากฏได้ ก็เพราะลมพัดถูกหญ้า หรือต้นไม้เป็นต้นหักระเนระนาดหรือไฟไหม้ แต่ทางไปของลมและไฟนั้นก็หาปรากฏไม่ฉันใด

ทางไปแห่งชราก็ฉันนั้นเหมือนกัน จะปรากฏได้ก็โดยภาวะมีฟันหักเป็นต้นแห่งอาการ 32 มีฟันเป็นต้นแม้บุคคลลืมตาดู ก็จับไม่ได้ ความคร่ำคร่าแห่งอาการมีฟันหักเป็นต้น หาใช่ตัวชราไม่ เพราะชราจะพึงรู้ทางจักษุมิได้.แต่เพราะเมื่อถึงชรา อายุเสื่อมไป ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสโดยผลใกล้เคียงว่า ความเสื่อมไปแห่งอายุ เรียกว่า ชรา.

อนึ่ง เพราะเวลาเป็นหนุ่มสาว อินทรีย์ทั้งหลายมีจักษุเป็นต้นแจ่มใสดี สามารถรับอารมณ์ของคน แม้ที่ละเอียดได้ให้สะดวกทีเดียวเมื่อถึงชรา ก็แก่งอม ขุ่นมัว ไม่ผ่องใส ไม่สามารถรับอารมณ์ของตน แม้ที่หยาบได้ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสโดยผลใกล้เคียงว่า ความแก่งอมแห่งอินทรีย์ทั้งหลายเรียกว่า ชรา ดังนี้บ้าง.

มรณะ

ในมรณนิทเทส มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

ศัพท์ว่า ยํ หมายถึง มรณะ เป็นศัพท์แสดง นุปํสกลิงค์ (ไม่ใช่เพศชาย เพศหญิง ทางไวยากรณ์).ในคำว่า ยํ นั้น พึงประกอบความดังนี้ว่า มรณะ ท่านเรียกว่า จุติ เรียกว่า จวนตา.ในศัพท์เหล่านั้น ศัพท์ว่า จุติ แสดงถึงสภาพที่เป็นเอง. ศัพท์ว่า จวนตา แสดงถึงภาวะ คืออาการ.

เมื่อบุคคลถึงมรณะแล้ว ขันธ์ทั้งหลายย่อมแตก และหายไป แลไม่เห็น เพราะฉะนั้น มรณะนั้นจึงเรียกว่า ความแตก ความหายไป ความมอดม้วย.

บทว่า มัจจุมรณะ คือ มัจจุมรณะ มิใช่ ขณิกมรณะ (ตายชั่วขณะ). การทำกาละ คือ ตาย ชื่อว่า กาลกิริยา. แม้ทั้งหมดนี้กล่าวโดยสมมติทั้งนั้น.

ส่วนบาลีว่า ขนฺธานํ เภโท นี้ เป็นการกล่าวโดยปรมัตถ์. ความแตกแห่งขันธ์ทั้งหลายที่แยกเป็นขันธ์หนึ่ง ขันธ์สี่และขันธ์ห้า ในบรรดาหมู่สัตว์ที่มีขันธ์หนึ่งเป็นต้นนั่นเอง มิใช่ความแตกแห่งบุคคล.แต่เมื่อความประชุมพร้อมแห่งขันธ์มีอยู่ ก็สมมติเรียกว่า บุคคลตาย. การทอดทิ้งอัตตภาพ ชื่อว่าการทอดทิ้งซากศพ.

จริงอยู่ เมื่อบุคคลถึงความตาย อัตตภาพก็ตกเป็นเหมือนท่อนไม้ ไร้ประโยชน์ฉะนั้น เพราะฉะนั้น มรณะนั้น ท่านจึงเรียกว่า การทอดทิ้งซากศพ.ส่วนความขาดแห่งชีวิตินทรีย์ เมื่อว่าโดยปรมัตถ์ โดยอาการทั้งปวง ก็คือมรณะ. มรณะนั้นนั่นแหละ เรียกว่าสมมติมรณะ. ชาวโลกถือเอาความขาดแห่งชีวิตินทรีย์เท่านั้น จึงพูดว่า ติสสะตาย ผุสสะตาย ดังนี้.

โสกะ

บทว่า พฺยสเนน ด้วยความวิบัติ ความว่า ด้วยความวิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง บรรดาความวิบัติทั้งหลาย มีความวิบัติจากญาติเป็นต้น.

บทว่า ทุกฺขธมฺเมน อันทุกขธรรม ความว่า อันเหตุแห่งทุกข์ มีการฆ่าและจองจำเป็นต้น.

บทว่า ผุฎฺฐสฺส ถูกต้องแล้ว ได้แก่ท่วมทับ ครอบงำแล้ว.

คำว่า โสกะ ได้แก่ ความโศกอันมีความแห้งใจเป็นลักษณะ ย่อมเกิดแก่บุคคลในเมื่อถูกความวิบัติ มีความวิบัติจากญาติเป็นต้น หรือเหตุแห่งทุกข์ มีการฆ่า การจองจำเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง ครอบงำแล้ว.ความเป็นผู้เศร้าโศก ได้แก่ ความเศร้าโศก. ก็ความเศร้าโศกนั้นเกิดขึ้นทำภายในให้แห้ง ให้แห้งผาก เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่าความเศร้าใจ ความแห้งใจภายใน ดังนี้.

ปริเทวะ

คนทั้งหลายยึดถืออย่างนี้ว่า ลูกหญิงของเรา ลูกชายของเรา ดังนี้ ย่อมคร่ำครวญรำพันด้วยความยึดถือนั้น เหตุนั้น ความยึดถือนั้นจึงชื่อว่าเป็นเหตุคร่ำครวญ. คนทั้งหลายรำพันยกยอคุณนั้นๆ ด้วยเหตุนั้น เพราะฉะนั้น เหตุนั้นจึงชื่อว่าเป็นเหตุรำพัน.ศัพท์ทั้งสอง (อาเทวนา ปริเทวนา) นอกจากอาเทวะ ปริเทวะ นั้น เป็นศัพท์แสดงภาวะแห่งความคร่ำครวญรำพันนั้นนั่นแหละ.

ทุกขโทมนัส

ความทุกข์อันมีกายประสาท เป็นที่ตั้ง (ที่เกิด) เพราะอรรถว่าทนได้ยาก ชื่อว่าทุกข์ทางกาย. คำว่า ไม่ชื่นใจ คือไม่หวานใจ.คำว่า ทุกข์ที่เกิดแต่กายสัมผัส คือทุกข์ที่เกิดจากสัมผัสทางกาย. คำว่า เวทนาที่ไม่น่าชื่นใจ คือเวทนาที่ไม่น่าชอบใจ.โทมนัสสัมปยุตกับจิต ชื่อว่าเจตสิก ได้แก่โทมนัสทางใจ.

คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวมาแล้วในทุกข์นั่นแล.

อุปายาส

บทว่า อายาโส ได้แก่ ความลำบากทางใจอันถึงอาการ คือความท้อแท้ห่อเหี่ยว. ความคับใจโดยภาวะมีกำลังแรง ชื่อว่าความคับแค้นใจ.ศัพท์ทั้งสอง (อายาสิตฺตกํ อุปายาสิตฺตํ) นอกจาก อายาสะ และอุปายาสะ นั้นเป็นธรรมเนื่องอยู่ในตน ส่องภาวะ ชี้ภาวะ.

การไม่สมความปรารถนาเป็นทุกข์

บทว่า ชาติธมฺมานํ มีความเกิดเป็นธรรมดา คือมีความเกิดเป็นสภาวะ.

สองบทว่า อิจฺฉา อุปฺปชฺชติ ความปรารถนาย่อมเกิด คือตัณหาย่อมเกิด.

คำว่า อโห วต ได้แก่ ความปรารถนา.

บทว่า น โข ปเนตํ อิจฺฉาย ข้อนั้น ไม่พึงได้ด้วยความปรารถนาแล ความว่า ข้อนั้น คือความไม่ต้องมาเกิด เว้นมรรคภาวนาเสีย บุคคลไม่พึงบรรลุได้ด้วยปรารถนา.

คำว่า อิทํปิ แม้นี้ คือแม้อันนี้.ปิอักษร ในคำว่า อิทมฺปิ หมายถึงบทที่เหลือข้างหน้า.

บทว่า ยมฺปิจฺฉํ ปรารถนาสิ่งใด ความว่า บุคคลปรารถนาสิ่งที่ไม่พึงได้ ย่อมไม่ได้ เพราะธรรมใด ความปรารถนาในสิ่งที่ไม่พึงได้นั้น ก็เป็นทุกข์.

ทุกๆ บทก็นัยนี้เหมือนกัน.

ในขันธนิทเทสมีวินิจฉัยดังนี้.

รูปนั้นด้วย อุปาทานขันธ์ด้วย เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่ารูปูปาทานขันธ์. ทุกๆ ขันธ์ก็พึงทราบอย่างนี้.

สมุทัยอริยสัจ

คำว่า ยายํ ตณฺหา ตัดเป็น ยา อยํ ตณฺหา แปลว่า ตัณหานี้ใด.

คำว่า โปโนพฺภวิกา มีวิเคราะห์ว่า การทำภพใหม่ ชื่อว่าภพใหม่ ภพใหม่นั้นเป็นปกติแห่งตัณหานั้น เหตุนั้น ตัณหานั้นจึงชื่อว่า โปโนพฺภวิกา มีความเกิดอีกเป็นปกติ.

คำว่า นนฺทิราคสหคตา ได้แก่ ตัณหาที่เกิดร่วมด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน. ท่านอธิบายว่า โดยอรรถ ตัณหานั้นก็เป็นอันเดียวกันกับนันทิราคะนั่นเอง.

ในคำเหล่านั้น คำว่า ตตฺรตตฺราภินนฺทินี เพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ ความว่า อัตตภาพเกิดจำเพาะในที่ใดๆ ตัณหาก็เพลิดเพลินในที่นั้นๆ.

อีกนัยหนึ่ง ตัณหามักเพลิดเพลินในอารมณ์ทั้งหลายมีรูปเป็นต้น ชื่อว่าในที่นั้นๆ. อธิบายว่า เพลิดเพลินในรูป เพลิดเพลินในเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์.

ศัพท์ว่า เสยฺยถีทํ เป็นศัพท์นิบาต. ศัพท์ว่า เสยฺยถีทํ นั้นมีความว่า ถ้ามีคำถามว่า ตัณหานั้นเป็นไฉน.

ความอยากในกาม ชื่อว่า กามตัณหา. คำว่า กามตัณหา นั้นเป็นชื่อของความกำหนัดเกี่ยวด้วยกามคุณ 5.

ความอยากในภพ ชื่อว่า ภวตัณหา. คำว่า ภวตัณหา นี้เป็นชื่อของความกำหนัดในรูปภพและอรูปภพอันเกิดพร้อมด้วยสัสสตทิฏฐิ ที่เกิดโดยความปรารถนาภพ และความยินดีในฌาน.

ความอยากในวิภพ ชื่อว่า วิภวตัณหา. คำว่า วิภวตัณหา นี้เป็นชื่อของความกำหนัดที่เกิดพร้อมด้วยอุจเฉททิฏฐิ.

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะทรงแสดงวัตถุที่ตั้ง ที่เกิดแห่งตัณหานั้นโดยพิสดาร จึงตรัสว่า สา โข ปเนสา ก็ตัณหานี้นั้นแล ดังนี้เป็นต้น.

บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า อุปฺปชฺชติ แปลว่า เกิด. คำว่า นิวีสติ ได้แก่ ตั้งอยู่โดยความเป็นไปบ่อยๆ.

คำว่า ยํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ ความว่า เป็นสภาวะที่รักและสภาวะที่ชอบใจในโลก. ในคำว่า จกฺขุ ํ โลเก เป็นต้น มีอธิบายดังนี้

จริงอยู่ สัตว์ทั้งหลายถือมั่นในจักษุเป็นต้นในโลกโดยความเป็นของๆ เรา ตั้งมั่นอยู่ในสมบัติ ย่อมสำคัญจักษุ (ตา) ของตน อันมีประสาททั้ง 5 แจ่มใสเหมือนหน้าต่างแก้วมณี อันเผยขึ้นแล้วในวิมานทอง ด้วยทำนองถือเอานิมิตในกระจกเป็นต้น ย่อมสำคัญโสต (หู) เหมือนหลอดเงิน และเหมือนด้ายร้อยสังวาลย์ย่อมสำคัญฆานะ (จมูก) ที่ได้โวหารเรียกว่า ตุงฺคนาสา (จมูกโด่ง) เหมือนขั้วหรดาลที่เขาปั้นตั้งไว้ย่อมสำคัญชิวหา (ลิ้น) อันอ่อนสะอาดคอยรับรสอร่อย เหมือนพื้นผ้ากัมพลแดง ย่อมสำคัญกาย เสมือนต้นสาละหนุ่ม และเสมือนเสาระเนียดทองย่อมสำคัญมนะ (ใจ) อันโอฬาร (ของตน) ไม่เหมือนกับใจของคนอื่นๆ ย่อมสำคัญรูป ประหนึ่งว่ามีผิวพรรณดังดอกกัณณิการ์ทองเป็นต้นย่อมสำคัญเสียง ประหนึ่งเสียงนกการะเวกและดุเหว่า ที่น่าคลั่งไคล้ และเสียงกังวานของปี่แก้วที่เป่าแผ่วๆย่อมสำคัญอารมณ์มีคันธารมณ์ (หอม) เป็นต้น อันมีสมุฏฐาน 4 ที่ตนได้แล้วว่า อารมณ์เห็นปานนี้ของคนอื่นใครเล่า จะมี.

เมื่อสัตว์เหล่านั้นสำคัญอยู่อย่างนี้ จักษุเป็นต้นเหล่านั้น ก็ย่อมเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจ. เมื่อเป็นเช่นนั้น ตัณหาของสัตว์เหล่านั้นที่ยังไม่เกิด ก็ย่อมเกิดในจักษุเป็นต้นนั้น และตัณหาที่เกิดแล้ว ก็ย่อมตั้งอยู่โดยความเป็นไปบ่อยๆ.

เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า จักษุเป็นที่รักเป็นที่ชื่นใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ก็เกิดที่จักษุนั้น ดังนี้เป็นต้น.

คำว่า ตตฺถ อุปฺปชฺชมานา อุปฺปชฺชติ ความว่า ตัณหานั้นเมื่อเกิดในกาลใด ก็ย่อมเกิดที่จักษุนี้ในกาลนั้น. ทุกๆ บทก็นัยนี้.

ทุกขนิโรธอริยสัจ

บททั้งปวงมีบทว่า อเสสวิราคนิโรโธ ความดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือเป็นต้น ทั้งหมดเป็นไวพจน์ของพระนิพพานนั่นเอง.จริงอยู่ ตัณหามาถึงพระนิพพานย่อมคลาย ดับไม่เหลือ เพราะฉะนั้น พระนิพพานนั้น จึงตรัสเรียกว่า ความดับด้วยคลายไม่เหลือแห่งตัณหานั้นนั่นแล.

อนึ่ง ตัณหามาถึงพระนิพพาน ย่อมละ สละคืน ปล่อย ไม่ติด เพราะฉะนั้น พระนิพพาน จึงตรัสเรียกว่า เป็นที่ละ สละ ปล่อย ไม่ติด.

แท้จริง พระนิพพานก็มีอย่างเดียวเท่านั้น. แต่ชื่อของพระนิพพานนั้นมีมาก โดยเป็นปฏิปักษ์ต่อชื่อของสังขตธรรมทั้งหมด. คืออย่างไร

คือธรรมเป็นที่คายไม่เหลือ เป็นที่ดับไม่เหลือ เป็นที่ละ เป็นที่สละ เป็นที่พ้น เป็นที่ไม่ติด เป็นที่สิ้นราคะ เป็นที่สิ้นโทสะ เป็นที่สิ้นโมหะ เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่ไม่เกิด เป็นที่หยุด ไม่มีนิมิต ไม่มีที่ตั้งไม่มีที่อาศัย ไม่มีปฏิสนธิ ไม่เป็นไป ไม่ไป ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่โศก ไม่คร่ำครวญ ไม่คับแค้น ไม่เศร้าหมอง ดังนี้เป็นต้น.

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะทรงแสดงความไม่มีแห่งตัณหาทั้งปวงที่มรรคตัดได้แล้ว ถึงความหยุด (ไม่เป็นไป) เพราะมาถึงพระนิพพาน ในวัตถุที่พระองค์ทรงแสดงว่า ตัณหาเกิดนั่นแหละ จึงตรัสว่า สา โข ปเนสา ก็ตัณหานี้นั้นดังนี้ เป็นต้น.

พึงทราบวินิจฉัยในคำนั้น ดังต่อไปนี้

เหมือนอย่างว่า บุรุษพบเถาน้ำเต้าขมที่เกิดในนาแล้ว จับตั้งแต่ยอด ค้นหาโคนพบแล้ว ตัดออกเสีย เถานั้นก็เหี่ยวแห้งโดยลำดับ ถึงความไม่ปรากฏ

ที่นั้น เขาก็เรียกกันว่า เถาน้ำเต้าขมในนานั้น ดับแล้ว ละแล้วตัณหาในจักษุเป็นต้น เปรียบเหมือนเถาน้ำเต้าขมในนา ตัณหานั้นตัดรากได้ด้วยอรหัตมรรค ถึงความหยุด (งอก) เพราะมาถึงพระนิพพาน

อนึ่ง ตัณหาอันถึงความหยุดอย่างนั้นแล้ว ย่อมไม่ปรากฏในวัตถุเหล่านั้น เหมือนเถาน้ำเต้าขมไม่ปรากฏในนาฉะนั้น.

อนึ่ง เปรียบเหมือนพวกมนุษย์นำโจรมาจากดง พึงฆ่าเสียที่ประตูด้านทิศใต้ แห่งพระนคร แต่นั้น คนทั้งหลายจะพึงพูดกันว่าพวกโจรในดงตายแล้ว หรือถูกฆ่าตายแล้วดังนี้ ฉันใดก็ฉันนั้นเหมือนกัน ตัณหาในจักษุเป็นต้น เปรียบเหมือนโจรในดง ตัณหานั้น ชื่อว่าดับไปในพระนิพพานนั่นเอง เพราะมาถึงพระนิพพานแล้วจึงดับไป เหมือนโจรถูกฆ่าที่ประตูทิศใต้ฉะนั้น

อนึ่ง ตัณหาอันดับแล้วอย่างนั้น ย่อมไม่ปรากฏในวัตถุเหล่านั้น เหมือนโจรไม่ปรากฏในดงฉะนั้น.เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงความดับแห่งตัณหานั้นในจักษุเป็นต้นนั้นจึงตรัสว่า จักษุเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละก็ละได้ที่จักษุนั้น เมื่อจะดับก็ดับที่จักษุนั้น ดังนี้เป็นต้น

ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ

คำว่า อยเมว เป็นคำกำหนดแน่ชัดเพื่อปฏิเสธมรรคอื่น.

คำว่า อริโย ความว่า มรรคชื่อว่าอริยะ เพราะไกลจากกิเลสทั้งหลาย อันมรรคนั้นๆ พึงฆ่าและเพราะทำความเป็นพระอริยะ. ทรงแสดงกัมมัฏฐานว่าด้วยสัจจะ 4 ด้วยคำว่า รู้ในทุกข์ เป็นต้น.

ในสัจจะ 4 นั้น 2 สัจจะต้น (ทุกข สมุทัย) เป็นวัฏฏสัจจะ, 2 สัจจะหลัง (นิโรธ มรรค) เป็นวิวัฏฏสัจจะ.

ในวัฏฏสัจจะและวิวัฏฏสัจจะเหล่านั้น ความตั้งมั่นแห่งกัมมัฏฐานของภิกษุ ย่อมมีในวัฏฏสัจจะ ไม่มีในวิวัฏฏสัจจะ.

ก็พระโยคาวจรกำหนดสัจจะ 2 เบื้องต้นในสำนักอาจารย์ โดยย่ออย่างนี้ว่า ปัญจขันธ์เป็นทุกข์ ตัณหาเป็นสมุทัย และพิสดารโดยนัยเป็นต้นว่า ปัญจขันธ์เป็นไฉน คือรูปขันธ์ดังนี้แล้ว ทบทวน (ท่องบ่น) ชื่อว่าทำกรรมในสัจจะ 2 เหล่านั้น.

ส่วนในสัจจะ 2 นอกนี้ พระโยคาวจรย่อมทำกรรมด้วยการฟังอย่างเดียว อย่างนี้ว่า นิโรธสัจน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ, มรรคสัจน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ.พระโยคาวจรนั้น เมื่อทำอยู่อย่างนี้ ย่อมแทงตลอดสัจจะทั้ง 4 ด้วยปฏิเวธญาณอันเดียว ย่อมตรัสรู้ด้วยอภิสมยญาณอันเดียว คือแทงตลอดทุกขสัจจะด้วยปฏิเวธ คือปริญญากิจแทงตลอดสมุทัยด้วยปหานกิจ แทงตลอดนิโรธสัจจะด้วยสัจฉิกิริยากิจ แทงตลอดมรรคสัจจะด้วยภาวนากิจ. ย่อมตรัสรู้ทุกขสัจจะด้วยอภิสมยญาณ คือปริญญากิจตรัสรู้สมุทัยสัจจะด้วยปหานกิจ ตรัสรู้นิโรธสัจจะด้วยสัจฉิกิริยากิจ ตรัสรู้มรรคสัจจะด้วยภาวนากิจ.

ในเบื้องต้น พระโยคาวจรนั้นมีปฏิเวธญาณในสัจจะ 2 เบื้องต้นด้วยการกำหนด การสอบถาม การฟัง การทรงจำและการพิจารณา.

ส่วนในสัจจะ 2 เบื้องปลาย พระโยคาวจรมีปฏิเวธญาณ ด้วยอำนาจการฟังอย่างเดียวในภายหลังจึงมีปฏิเวธญาณในสัจจะ 3 โดยกิจ มีปฏิเวธญาณในนิโรธสัจโดยอารมณ์. ส่วนปัจจเวกขณญาณมีแก่พระโยคาวจรผู้บรรลุสัจจะแล้ว.และพระโยคาวจรนี้เป็นผู้เริ่มบำเพ็ญเพียร เพราะฉะนั้น จึงไม่ตรัสปัจจเวกขณญาณนั้นไว้ในที่นี้.

อนึ่ง เมื่อภิกษุนี้กำหนดรู้ในเบื้องต้น ความคำนึง รวบรวมใจ ใส่ใจ และพิจารณาว่าเรากำหนดรู้ทุกข์ เราละสมุทัย เราทำให้แจ้งนิโรธ เราเจริญมรรคดังนี้ ยังไม่มี จะมีได้ตั้งแต่การกำหนดไป.ส่วนในเวลาภายหลัง ทุกข์ก็เป็นอันชื่อว่ากำหนดรู้แล้ว สมุทัยก็เป็นอันละเสียแล้ว นิโรธก็เป็นอันทำให้แจ้งแล้ว มรรคก็เป็นอันทำให้เกิดแล้ว.

ในสัจจะเหล่านั้น สัจจะ 2 เบื้องต้น ชื่อว่าลึกซึ้ง เพราะเห็นได้ยาก, สัจจะ 2 เบื้องหลัง ชื่อว่าเห็นได้ยาก เพราะลึกซึ้ง.

ความจริง ทุกขสัจปรากฏตั้งแต่เกิดมา ถึงกับกล่าวกันว่าทุกข์หนอ ในเวลาที่ถูกตอและหนามตำเป็นต้น.แม้สมุทัยสัจก็ปรากฏตั้งแต่เกิดมา ด้วยอำนาจอยากเคี้ยวอยากกินเป็นต้น.แต่แม้ทั้งสองสัจจะนั้นก็ชื่อว่าลึกซึ้ง โดยลักษณะและการแทงตลอด. สัจจะ 2 นั้นชื่อว่าลึกซึ้ง เพราะเห็นได้ยากด้วยประการฉะนี้.

ส่วนความพยายามเพื่อเห็นสัจจะ 2 นอกนี้ ก็เป็นเหมือนเหยียดมือจับภวัคคพรหม เหยียดเท้าไปต้องอเวจีนรก และเป็นเหมือนเอาปลายขนทรายกับปลายขนทรายที่แยกออก 7 ส่วนให้จดติดกัน. สัจจะ 2 เบื้องปลายเหล่านั้น ชื่อว่าเห็นได้ยาก เพราะลึกซึ้งด้วยประการฉะนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า นี้ ความรู้ในทุกข์ดังนี้เป็นต้น ทรงหมายถึงความเกิดญาณอันเป็นส่วนเบื้องต้น ในสัจจะ 4 ที่ชื่อว่าลึกซึ้ง เพราะเห็นได้ยากและที่ชื่อว่าเห็นได้ยาก เพราะลึกซึ้ง ด้วยอำนาจการกำหนดเป็นต้น ด้วยประการฉะนี้. ส่วนในขณะแทงตลอด ญาณ (ปฏิเวธญาณ) นั้น ก็มีหนึ่งเท่านั้น.

สัมมาสังกัปปะ

ความดำริมีความดำริออกจากกามเป็นต้น ต่างกันในเบื้องต้น เพราะสัญญาในอันงดเว้นจากกามพยาบาทและวิหิงสาต่างกัน. แต่ในขณะแห่งมรรค ความดำริฝ่ายกุศลอันเดียวเท่านั้น เกิดขึ้นให้องค์มรรคบริบูรณ์โดยให้สำเร็จความไม่เกิดแห่งความดำริฝ่ายอกุศลที่เกิดแล้ว ในฐาน 3 เหล่านี้ เพราะตัดทางแห่งความดำริฝ่ายอกุศลนั้นได้ขาด นี้ชื่อว่าสัมมาสังกัปปะ.

สัมมาวาจา

แม้กุศลธรรมมีเจตนางดเว้นจากมุสาวาทเป็นต้น ก็ต่างกันในเบื้องต้น เพราะสัญญาในการงดเว้นจากมุสาวาทเป็นต้นต่างกัน.แต่ในขณะแห่งมรรค เจตนางดเว้นฝ่ายกุศลอันเดียวเท่านั้น เกิดขึ้นให้องค์มรรคบริบูรณ์ โดยให้สำเร็จความไม่เกิดแห่งเจตนาเครื่องทุศีลฝ่ายอกุศลที่เกิดแล้ว ในฐานะ 4 เหล่านี้เพราะตัดทางแห่งเจตนาเครื่องทุศีลฝ่ายอกุศลนั้นได้ขาด นี้ชื่อว่าสัมมาวาจา.

สัมมากัมมันตะ

แม้กุศลธรรม มีเจตนางดเว้นจากปาณาติบาตเป็นต้น ก็ต่างกันในเบื้องต้น เพราะสัญญาในการงดเว้นจากปาณาติบาตเป็นต้นต่างกัน.แต่ในขณะแห่งมรรค เจตนางดเว้นฝ่ายกุศลอันเดียวเท่านั้น เกิดขึ้นให้องค์แห่งมรรคบริบูรณ์ โดยให้สำเร็จความไม่เกิดแห่งเจตนาเครื่องทุศีลฝ่ายอกุศลที่เกิดแล้ว ในฐานะ 3 เหล่านี้ เพราะตัดทางได้ขาด นี้ชื่อว่าสัมมากัมมันตะ.

สัมมาอาชีวะ

คำว่า มิจฉาอาชีวะ ได้แก่กายทุจริตและวจีทุจริต ที่เป็นไปเพื่อต้องการของเคี้ยวของกินเป็นต้น. คำว่า ละ คือเว้น.คำว่า ด้วยสัมมาอาชีวะ คือด้วยอาชีพที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ. คำว่า สำเร็จชีวิต คือดำเนินการเลี้ยงชีพ.

ที่ชื่อว่าสัมมาอาชีวะ ต่างกันในเบื้องต้น เพราะสัญญาในการงดเว้นจากทุจริตมีมุสาวาทเป็นต้น ต่างกัน. แต่ในขณะแห่งมรรคเจตนางดเว้นฝ่ายกุศลอันเดียวเท่านั้น เกิดขึ้นให้องค์แห่งมรรคบริบูรณ์โดยให้สำเร็จความไม่เกิดแห่งเจตนาเครื่องทุศีล อันเป็นมิจฉาอาชีวะที่เกิดแล้วในฐานะเจ็ด (กายทุจริต 3 วจีทุจริต 4) เหล่านี้แหละ เพราะตัดทางได้ขาด นี้ชื่อว่าสัมมาอาชีวะ.

สัมมาวายามะ

คำว่า ที่ยังไม่เกิด คือที่ยังไม่เกิดแก่ตนในภพหนึ่ง หรือในอารมณ์ เห็นปานนั้น.แต่พระโยคาวจรเห็นบาปอกุศลธรรม ที่กำลังเกิดแก่คนอื่น ย่อมยังฉันทะให้เกิด ปรารภความเพียร ประคองตั้งจิตไว้ เพื่อไม่ให้เกิดบาปอกุศลที่ยังไม่เกิด ด้วยคิดอย่างนี้ว่า โอหนอ บาปอกุศลธรรม เห็นปานนั้น ไม่พึงเกิดแก่เราดังนี้.

คำว่า ฉนฺทํ ชเนติ ย่อมยังฉันทะให้เกิด คือให้เกิดความพอใจในความเพียรที่ให้สำเร็จข้อปฏิบัติอันไม่ให้เกิดบาปอกุศลเหล่านั้น.

คำว่า วายมติ พยายาม คือ ทำความพยายาม.

คำว่า วิริยํ อารภติ ปรารภความเพียร คือ ดำเนินความเพียร.

คำว่า จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ ประคองจิต คือ ทำการประคองจิตด้วยความเพียร.

คำว่า ปทหติ ตั้งไว้ คือดำเนินการตั้งความเพียรว่า จะเหลือแต่หนัง เอ็น กระดูก ก็ตามทีเถิด ดังนี้.

คำว่า อุปฺปนฺนานํ ที่เกิดแล้ว คือที่เคยเกิดแล้วแก่ตน โดยการกำเริบขึ้น ย่อมให้เกิดฉันทะ เพื่อละบาปอกุศลเหล่านั้นว่า บัดนี้ เราจักไม่ให้บาปอกุศลเช่นนั้นเกิดขึ้นละ.

คำว่า อนุปฺปนฺนานํ กุสลานํ กุศลที่ยังไม่เกิด คือกุศลธรรมมีปฐมฌานเป็นต้น ที่ตนยังไม่ได้.

คำว่า อุปฺปนฺนานํ ที่เกิดแล้ว คือกุศลธรรมเหล่านั้นนั่นแหละที่ตนได้แล้ว.

คำว่า ฐิติยา เพื่อตั้งมั่น คือเพื่อตั้งอยู่โดยการเกิดต่อเนื่องกันบ่อยๆ.

คำว่า อสมฺโมสาย เพื่อไม่ขาดสาย คือเพื่อไม่ให้สูญเสีย.

คำว่า ภิยฺโยภาวาย เพื่อมียิ่งๆ คือเพื่อเจริญยิ่งขึ้นไป.

คำว่า เวปุลฺลาย คือ เพื่อความไพบูลย์.

คำว่า ภาวนาย ปาริปูริยา คือ เพื่อความมีบริบูรณ์.

แม้สัมมาวายามะนี้ก็ต่างกันในเบื้องต้น เพราะจิตที่คิดไม่ให้เกิดอกุศลที่ยังไม่เกิดเป็นต้นต่างกัน.แต่ในขณะแห่งมรรค วิริยะฝ่ายกุศลอันเดียวเท่านั้น เกิดขึ้นให้องค์แห่งมรรคบริบูรณ์ โดยให้สำเร็จกิจ ในฐานะ 4 เหล่านี้เหมือนกัน นี้ชื่อว่าสัมมาวายามะ.

สัมมาสติ

แม้สัมมาสติ ก็ต่างกันในเบื้องต้น เพราะจิตที่กำหนดอารมณ์มีกายเป็นต้นต่างกัน แต่ในขณะแห่งมรรค สติอย่างเดียวเท่านั้นเกิดขึ้นให้องค์แห่งมรรคบริบูรณ์ โดยให้สำเร็จกิจในฐานะ 4 นี้ชื่อว่าสัมมาสติ.

สัมมาสมาธิ

ฌานทั้งหลายต่างกัน ทั้งในเบื้องต้น ทั้งในขณะแห่งมรรค. ในเบื้องต้นต่างกันโดยสมาบัติ. ในขณะแห่งมรรค ต่างกันโดยมรรค.

จริงอยู่ มรรคที่ 1 แห่งมรรคขณะหนึ่ง มีปฐมฌานเป็นบาท แม้มรรคที่ 2 เป็นต้นมีปฐมฌานเป็นบาทบ้าง มีฌานอย่างใดอย่างหนึ่งในทุติยฌานเป็นต้นเป็นบาทบ้าง.มรรคที่ 1 แห่งมรรคขณะแม้อันหนึ่งมีฌานอย่างใดอย่างหนึ่งแห่งทุติยฌานเป็นต้นเป็นบาท แม้มรรคที่ 2 เป็นต้น ก็มีฌานอย่างใดอย่างหนึ่งแห่งทุติยฌานเป็นต้นเป็นบาทบ้าง มีปฐมฌานเป็นบาทบ้าง.

มรรคทั้ง 4 ว่าโดยฌานเหมือนกันก็มี ต่างกันก็มี เหมือนกันบางแห่งก็มี ด้วยประการฉะนี้. นี้เป็นความแผกกันแห่งมรรคนั้น โดยกำหนดโดยฌานที่เป็นบาท.

พึงทราบอธิบายโดยกำหนดด้วยฌานเป็นบาทก่อน มรรคที่เกิดแก่พระโยคาวจรผู้ได้ปฐมฌาน ออกจากปฐมฌาน เจริญวิปัสสนาอยู่ ชื่อว่ามีปฐมฌานเป็นบาท.ก็องค์แห่งมรรค และโพชฌงค์ ย่อมบริบูรณ์ในปฐมฌานนี้โดยแท้. มรรคที่เกิดแก่พระโยคาวจรผู้ได้ทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว เจริญวิปัสสนาอยู่ชื่อว่ามีทุติยฌานเป็นบาท.ส่วนองค์มรรคในทุติยฌานนี้ มี 7 ประการ. มรรคที่เกิดแก่พระโยคาวจรผู้ออกจากตติยฌานแล้วเจริญวิปัสสนาอยู่ ชื่อว่ามีตติยฌานเป็นบาท. ส่วนองค์มรรคในตติยฌานนี้มี 7 แต่โพชฌงค์มี 6 ประการ.สำหรับพระโยคาวจรผู้ออกจากจตุตถฌาน จนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็นัยนี้เหมือนกัน. ฌานหมวด 4 และหมวด 5 ย่อมเกิดในอรูป และฌานนั้น ท่านกล่าวว่าเป็นโลกุตตระ ไม่ใช่โลกิยะ.

ถามว่า ในฌานมีปฐมฌานเป็นต้นนี้เป็นอย่างไร.

ตอบว่า ในฌานมีปฐมฌานเป็นต้นแม้นี้ พระโยคาวจรนั้นออกจากฌานใดแล้ว ได้โสดาปัตติมรรคเจริญอรูปสมาบัติแล้วเกิดในอรูปภพ มรรคทั้ง 3 มีฌานนั้นเป็นบาทเกิดขึ้นแก่พระโยคาวจรนั้นในอรูปภพนั้น. ท่านกำหนดมรรคที่มีฌานเป็นบาทอย่างเดียว ด้วยประการฉะนี้.

แต่พระเถระบางเหล่ากล่าวว่า กำหนดขันธ์เป็นอารมณ์แห่งวิปัสสนา. บางเหล่าก็ว่ากำหนดอัธยาศัยบุคคล. บางเหล่าก็ว่ากำหนดวิปัสสนาอันเป็นวุฏฐานคามินี.

วินิจฉัยวาทะของพระเถระเหล่านั้น พึงทราบตามนัยที่ท่านกล่าวไว้ ในอธิการว่าด้วยวุฏฐานคามินีวิปัสสนา คัมภีร์วิสุทธิมรรค.

คำว่า อยํ วุจฺจติ ภิกฺขเว สมฺมาสมาธิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าสัมมาสมาธิ ความว่า ธรรมนี้ เบื้องต้นเป็นโลกิยะ เบื้องหลังเรียกว่าโลกุตตระ สัมมาสมาธิ.

คำว่า อิติ อชฺฌตฺตํ วา หรือภายในเป็นต้น ความว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย เพราะกำหนดสัจจะ 4 ของตน ของคนอื่น หรือเพราะกำหนดสัจจะ 4 ของตนตามกาล ของคนอื่นตามกาลอย่างนี้อยู่.

ส่วนความเกิดและความเสื่อมในสัจจบรรพนี้ พึงทราบโดยความเกิดและความหมดไปแห่งสัจจะ 4 ตามเป็นจริง.

คำอื่นนอกจากนี้ มีนัยดังกล่าวมาแล้ว.

สติกำหนดสัจจะ 4 เป็นอริยสัจ

แต่ในสัจจบรรพนี้ ต่างกันอย่างเดียว คือ พึงประกอบความอย่างนี้ว่า สติกำหนดสัจจะ 4 เป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจเป็นต้น แล้วพึงทราบว่า เป็นทางปฏิบัตินำออกจากทุกข์ของภิกษุผู้กำหนดสัจจะเป็นอารมณ์.

คำที่เหลือก็เหมือนกันแล.

จบสัจจบรรพ

สรุปความ

ด้วยลำดับคำมีประมาณเพียงเท่านี้ กัมมัฏฐาน 21 คือ อานาปานบรรพ 1 จตุอิริยาบถบรรพ 1 จตุสัมปชัญญบรรพ 1 ทวัตดึงสาการ 1จตุธาตุววัฏฐานะ 1 สีวถิกา 9 เวทนานุปัสสนา 1 จิตตานุปัสสนา 1 นีวรณปริคคหะ 1 ขันธปริคคหะ 1 อายตนปริคคหะ 1 โพชฌงคปริคคหะ 1 สัจจปริคคหะ 1.

บรรดากัมมัฏฐาน 21 นั้น กัมมัฏฐาน 11 คือ อานาปาน 1 ทวัตดึงสาการ 1 สีวถิกา 9 เป็นอัปปนากัมมัฏฐาน.แต่พระมหาสิวเถระผู้รจนาคัมภีร์ทีฆนิกาย กล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสีวถิกา 9 โดยอาทีนวานุปัสสนา.เพราะฉะนั้น ตามมติของท่าน อานาปานะและทวัตสาดึงการ 2 เท่านั้นเป็นอัปปนากัมมัฏฐาน. ที่เหลือเป็นอุปจารกัมมัฏฐาน.

ถามว่า ความตั้งมั่นเกิดในกัมมัฏฐานนั้นทั้งหมดหรือไม่เกิด

ตอบว่า ไม่ใช่ไม่เกิด ความตั้งมั่นไม่เกิดในอิริยาบถ สัมปชัญญะ นีวรณ์และโพชฌงค์ เกิดในกัมมัฏฐานที่เหลือ.ส่วนพระมหาสิวเถระกล่าวว่า ความตั้งมั่นย่อมเกิดในกัมมัฏฐานแม้เหล่านั้น (ทั้งหมด) เพราะพระโยคาวจรนี้ย่อมกำหนดอย่างนี้ว่า อิริยาบถ 4 มีแก่เราหรือไม่หนอสัมปชัญญะ 4 มีแก่เราหรือไม่หนอ นีวรณ์ 5 มีแก่เราหรือไม่หนอ โพชฌงค์ 7 มีแก่เราหรือไม่หนอดังนี้ เพราะฉะนั้น ความตั้งมั่นย่อมเกิดในกัมมัฏฐานทั้งหมด.

อ.อานิสงส์การเจริญสติปัฏฐาน

คำว่า โย หิ โกจิ ภิกฺขเว ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง ไม่ว่า ภิกษุหรือภิกษุณี อุบาสกหรืออุบาสิกา.

คำว่า เอวํ ภาเวยฺย ความว่า พึงเจริญตามลำดับภาวนาที่กล่าวมาแล้วตั้งแต่ต้น.

คำว่า ปาฏิกงฺขํ ความว่า พึงหวังได้ พึงปรารถนาได้ เป็นแน่แท้.

คำว่า อญฺญา หมายถึง พระอรหัต.

คำว่า สติ วา อุปาทิเสเส ความว่า เมื่ออุปาทิเสสวิบากขันธ์ที่กิเลสมีตัณหาเป็นต้นเข้าไปยึดไว้เหลืออยู่ ยังไม่สิ้นไป.

คำว่า อนาคามิตา แปลว่า ความเป็นพระอนาคามี.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงความที่คำสั่งสอนเป็นธรรมนำผู้ปฏิบัติออกจากทุกข์โดย 7 ปี อย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงเวลา (ปฏิบัติ) ที่น้อยไปกว่านั้นอีก จึงตรัสว่า

ติฎฺฐนฺตุ ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย 7 ปี จงยกไว้ดังนี้เป็นต้น.

ก็คำนั้นแม้ทั้งหมดตรัสโดยเวไนยบุคคลปานกลาง. แต่ที่ตรัสว่าบุคคลรับคำสั่งสอนเวลาเช้า บรรลุคุณวิเศษเวลาเย็น รับคำสั่งสอนเวลาเย็น บรรลุคุณวิเศษเวลาเช้า ดังนี้ ทรงหมายถึงบุคคลผู้มีปัญญาเฉียบแหลม.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า คำสั่งสอนของเรานำผู้ปฏิบัติออกจากทุกข์อย่างนี้แล้วเมื่อจะทรงยังเทศนาที่ทรงแสดงด้วยธรรมอันเป็นยอด คือพระอรหัตให้จบลงในฐานะ 21 ประการ จึงตรัสว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางดำเนินอันเอก เพื่อความหมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงโสกะและปริเทวะ เพื่อดับทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรมเพื่อทำให้แจ้งพระนิพพาน นี้คือ สติปัฏฐาน 4 ด้วยประการฉะนี้ คำอันใดอันเรากล่าวแล้วอย่างนี้ คำนั้นเราอาศัยทางอันเอกนี้กล่าวแล้ว.

คำที่เหลืออรรถตื้นทั้งนั้นแล.

ในเวลาจบเทศนา ภิกษุสามหมื่นรูปดำรงอยู่ในพระอรหัตแล.

จบอรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตรที่ 9