วิสุทธิมรรค_07_ฉอนุสสตินิทเทส

ความแตกต่าง

นี่เป็นการแสดงความแตกต่างระหว่างเพจสองรุ่น

Link to this comparison view

Both sides previous revision Previous revision
Next revision
Previous revision
วิสุทธิมรรค_07_ฉอนุสสตินิทเทส [2020/07/08 12:21]
dhamma [อนุสสติ 10 ประการ]
วิสุทธิมรรค_07_ฉอนุสสตินิทเทส [2021/01/02 20:14] (ฉบับปัจจุบัน)
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
-{{wst>วสธมฉปส head| }} +{{template:วสธมฉปส head| }} 
-{{wst>​วสธมฉปส ​sidebar}}+{{template:บับรับำนวน head|}}
 =อนุสสติ ​ 10  ประการ= =อนุสสติ ​ 10  ประการ=
  
บรรทัด 7: บรรทัด 7:
 '''​ฉอนุสสตินิทเทส ​ ปริจเฉทที่ 7'''​ '''​ฉอนุสสตินิทเทส ​ ปริจเฉทที่ 7'''​
  
-[[วิสุทธิมรรค_03_กัมมัฏฐานคหณนิทเทส?​h=อนุสสติกัมมัฏฐาน 10,​อสุภกัมมัฏฐาน#​hl|ต่อจาก]]อสุภกัมมัฏฐานนิทเทส ข้าพเจ้าจะนิทเทสอนุสสติกัมมัฏฐาน 10 แต่ละอย่างดังนี้:​+[[วิสุทธิมรรค_03_กัมมัฏฐานคหณนิทเทส?​h=อนุสสติกัมมัฏฐาน 10,​อสุภกัมมัฏฐาน#​hl|ต่อจาก]][[วิสุทธิมรรค_06_อสุภกัมมัฏฐานนิทเทส|อสุภกัมมัฏฐานนิทเทส]] ข้าพเจ้าจะ[[นิทเทส]][[อนุสสติ]][[กัมมัฏฐาน]] 10 แต่ละอย่างดังนี้:​
  
-สตินั่นเอง ​ ชว่า ​ อนุสสติ ​ ​เพราะเกิดขึ้นบ่อย ๆ  อีกอย่างหนึ่ง ​ สติอันสมควรแก่กุลบุตรผู้บวชด้วยศรัทธา ​ เพราะเป็นไปในฐานอันควรที่จะเป็นไป ​ ​แม้เพราะเหตุนั้น ​ จึงชื่อว่า ​ อนุสสติ+* อนุสสติ ​ือ ​[[สติ]]ที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ นั่นเอง,​  
 +อีกอย่างหนึ่ง ​อนุสสติ คือ ​สติอันสมควรแก่[[กุลบุตร]]ผู้[[บวช]]ด้วย[[ศรัทธา]]  ​เพราะเป็นสติที่เป็นไปใน[[ฐาน]] (10 อย่างมีพุทธคุณเป็นต้น) ​อันควรที่จะเป็นไป.
  
-1.  ​ควมระลึกเนือง ๆ  ​เกิดขึ้นารภพระพุทธเจ้า ​ ​ชื่อว่า ​ พุทธานุสสติ ​   ​คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีพระพุทธคุณเป็นอารมณ์+1.  ​[[พุทธานุสสติ]] คือ ​สติเกิดขึ้นระลึกถึงพระพุทธเจ้า่อยๆ. ​   ​คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีพระพุทธคุณ(คุณธรรมที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า)เป็น[[อารมณ์]].
  
-2.  ​ควาระลึกเนือง ๆ เกิดขึ้นารภพระธรรม ​ ​ชื่อว่า ​ ธัมมานุสสติ  ​คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีพระธรรมคุณเป็นอารมณ์ ​ มีความเป็นธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้วเป็นต้น+2.  ​[[ธัมาุสสติ]] ​ คือ ​สติเกิดขึ้นระลึกถึงพระธรรม่อยๆ. ​  คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีพระธรรมคุณเป็นอารมณ์ ​ มีความเป็นธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว ​(สวากฺขาโต) ​เป็นต้น.
  
-3.  ​ควมระลึกเนือง ๆ  ​เกิดขึ้นารภพระสงฆ์ ​ ​ชื่อว่า ​ สังฆานุสสติ  ​คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีพระสังฆคุณเป็นอารมณ์ ​ มีความเป็นผู้ปฏิบัติดีเป็นต้น+3.  ​[[สังฆานุสสติ]] คือ ​สติเกิดขึ้นระลึกถึงพระสงฆ์่อยๆ. ​    คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีพระสังฆคุณเป็นอารมณ์ ​ มีความเป็นผู้ปฏิบัติดี ​(สุปฏิปนฺโน) ​เป็นต้น.
  
-4.  ​ควมระลึกเนือง ๆ  ​เกิดขึ้นารภศีล ​ ​ชื่อว่า ​ สีลานุสสติ ​ ​คำนี้เป็นชื่อของสติ ​ อันมีคุณแห่งศีลเป็นอารมณ์ ​ มีความเป็นของไม่ขาดเป็นต้น+4.  ​[[สีลานุสสติ]] คือ ​สติเกิดขึ้นระลึกถึง[[ศีล]]บ่อยๆ. ​ ​คำนี้เป็นชื่อของสติ ​ อันมีคุณแห่งศีลเป็นอารมณ์ ​ มีความเป็นของไม่ขาดเป็นต้น.
  
-    ​มระลึกเนือง ๆ  ​เกิดขึ้นารภการบริจาค ​ ​ชื่อว่า ​ จาคานุสสติ  ​คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีคุณแห่งการบริจาคเป็นอารมณ์ ​ มีความเป็นผู้เสียสละอย่างเด็ดขาดเป็นต้น+  [[จาคานุสสติ]] ​ คือ ​สติเกิดขึ้นระลึกถึงการบริจาค่อยๆ. ​  คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีคุณแห่งการบริจาคเป็นอารมณ์ ​ มีความเป็นผู้เสียสละอย่างเด็ดขาดเป็นต้น.
  
-6.   ความระลึกเนือง ๆ  ​เกิดขึ้นารภเทวดาทั้งหลาย ​ ​ชื่อว่า ​ เทวตานุสสติ ​  คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีคุณคือศรัทธาเป็นต้นของตนโดยตั้งเทวดาทั้งหลายไว้ในฐานเป็นพยาน ​ เป็นอารมณ์+6.  ​[[เทานุสสติ]] คือ ​สติเกิดขึ้นระลึกถึงเทวดาทั้งหลาย่อยๆ. ​ ​คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีคุณคือ[[ศรัทธา]]เป็นต้นของตน โดยตั้งเทวดาทั้งหลายไว้ในฐานเป็นพยาน ​ เป็นอารมณ์.
  
-7.  ​ความระลึกเนือง ๆ  ​เกิดขึ้นารภมรณะ ​ ​ชื่อว่ามรณานุสสติ  ​คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีความขาดแห่งินทรีย์คือชีวิตเป็นอารมณ์+7.  ​[[มรณาุสสติ]] คือ ​สติเกิดขึ้นระลึกถึงมรณะ่อยๆ. ​  คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีความขาดแห่งชีวิตินทรีย์เป็นอารมณ์.
  
 <​sub><​fs smaller>''​(หน้าที่ 330)''</​fs></​sub>​ <​sub><​fs smaller>''​(หน้าที่ 330)''</​fs></​sub>​
  
-8.  สติอันนึกถึงรูปกายอันต่างด้วยผมเป็นต้น ​ หรือสติอันนึกไปในกาย ​ ชื่อว่า ​ กายคตาิ  นั้นด้วย  ​นึกถซึ่งรูปกายหรือึกไปใกายด้วย ​ ชื่อว่า ​ กายคตสติ ​ แทนที่จะกล่าวว่า ​ กายคตสติ ​ กล่าวเสียว่า ​ กายคตาสติ ​ เพราะไม่ทำรัสสะ ​ คำนี้เป็นชื่อของสติ ​ อันมีนิมิต ​ คือชิ้นส่วนของกายมีผมเป็นต้นเป็นอารมณ์+8.  สภาพรู้รูปกายต่างๆ มีผมเป็นต้น ​ หรือสภาพรู้ในกาย ​ ชื่อว่า ​ กายคตา ​((เย คตฺถา เต พุทฺธฺยตฺถา ปวตฺติปาปุณตฺถา. ([[ธาตฺวตฺฺคห]]. ๑๙) )). กายคตาั้ด้วย สติด้วย ชื่อว่า ​ กายคตสติ ​ แทนที่ท่านจะกล่าวว่า ​ กายคตสติ  ​กลับกล่าวเสียว่า  ​[[กายคตาสติ]]  ​เพราะไม่ทำ[[รัสสะ]].  ​คำนี้เป็นชื่อของสติ ​ อันมีนิมิตคือชิ้นส่วนของกายมีผมเป็นต้นเป็นอารมณ์.
  
-9.  ความระลึกเกิดขึ้นปรารภลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ​ ​ชื่อว่า ​ อานาปานสติ ​   ​คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีนิมิตคือลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเป็นอารมณ์+9.  ​[[อานาปานสติ]] คือ ​ความระลึกเกิดขึ้นปรารภลมหายใจเข้าและลมหายใจออก   ​คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีนิมิตคือลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเป็นอารมณ์.
  
-10.  ความระลึกเนือง ๆ  เกิดขึ้นปรารภความสงบ ​ ​ชื่อว่า  อุปสมานุสสติ ​ ​คำนี้เป็นชื่อของสติอันมีนิพพานอันเป็นที่สงบทุกข์ทั้งปวงเป็นอารมณ์+10.  ​[[อุปสมานุสสติ]] คือ ​ความระลึกเนือง ๆ  เกิดขึ้นปรารภความสงบ(จกทกข์ทั้งวง). ​ ​คำนี้เป็นชื่อของสติอันมี[[นิพพาน]]อันเป็นที่สงบทุกข์ทั้งปวงเป็นอารมณ์.
  
 <​sub><​fs smaller>''​(หน้าที่ 331)''</​fs></​sub>​ <​sub><​fs smaller>''​(หน้าที่ 331)''</​fs></​sub>​
บรรทัด 75: บรรทัด 76:
 '''​1. ​ ข้อว่าเป็นผู้ไกล'''​ '''​1. ​ ข้อว่าเป็นผู้ไกล'''​
  
-จริงอยู่ ​ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ​ ชื่อว่าเป็นผู้ไกล ​ คือทรงดำรงอยู่ในที่ไกลแสนไกลจากสรรพกิเลสทั้งหลาย ​ เพราะเป็นผู้ทรงกำจัดเสียแล้วซึ่งกิเลสทั้งหลายพร้อมทั้งวาสนาด้วยพระอริยมรรค ​ เพราะเหตุนั้นจึงทรงได้พระนามว่า ​ อรหํ ​ เพราะเหตุเป็นผู้ไกล+จริงอยู่ ​ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ​ ชื่อว่าเป็นผู้ไกล ​ คือทรงดำรงอยู่ในที่ไกลแสนไกลจากสรรพ[[กิเลส]]ทั้งหลาย ​ เพราะเป็นผู้ทรงกำจัดเสียแล้วซึ่งกิเลสทั้งหลายพร้อมทั้ง[[วาสนา]]ด้วยพระ[[อริยมรรค]]  ​เพราะเหตุนั้นจึงทรงได้พระนามว่า ​ อรหํ ​ เพราะเหตุเป็นผู้ไกล
  
-พระผู้มีพระภาคพระองค์ใด ​ ไม่ทรงประกอบด้วยกิเลสอันใด ​ และไม่ทรงประกอบด้วยโทษสิ่งใด ​ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ​ ผู้เป็นพระนาถะของโลก ​ เป็นผู้ไกลจากกิเลสและโทษเหล่านั้น ​ เพราะเหตุนั้นจึงทรงปรากฏพระนามว่า ​ อรหํ+พระผู้มีพระภาคพระองค์ใด ​ ไม่ทรงประกอบด้วยกิเลสอันใด ​ และไม่ทรงประกอบด้วยโทษสิ่งใด ​ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ​ ผู้เป็นพระ[[นาถะ]]ของ[[โลก]]  ​เป็นผู้ไกลจากกิเลสและโทษเหล่านั้น ​ เพราะเหตุนั้นจึงทรงปรากฏพระนามว่า ​ อรหํ
  
 '''​2. ​ ข้อว่าเป็นผู้กำจัดอริทั้งหลาย'''​ '''​2. ​ ข้อว่าเป็นผู้กำจัดอริทั้งหลาย'''​
  
-อนึ่ง ​ อริ ​ คือกิเลสทั้งหลายเหล่านั้น ​ อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรงกำจัดแล้วด้วยพระอริยมรรค ​ เพราะเหตุนั้น ​ พระองค์จึงทรงพระนามว่า ​ อรหํ ​ แม้เพราะเหตุเป็นผู้กำจัดซึ่งอริทั้งหลาย+อนึ่ง  ​[[อริ]]  ​คือกิเลสทั้งหลายเหล่านั้น ​ อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรงกำจัดแล้วด้วยพระอริยมรรค ​ เพราะเหตุนั้น ​ พระองค์จึงทรงพระนามว่า ​ อรหํ ​ แม้เพราะเหตุเป็นผู้กำจัดซึ่งอริทั้งหลาย ​แม้เหตุที่อริทั้งหลาย ​ อันได้แก่กิเลสมีราคะเป็นต้น ​ แม้ทุก ๆ  อย่างอันพระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระนาถะของโลก ​ ทรงกำจัดแล้วด้วย[[ศาสตรา]]คือพระปัญญา ​ ฉะนั้น ​ พระองค์จึงทรงปรากฏพระนามว่า ​ อรหํ ​ ฉะนี้
  
 <​sub><​fs smaller>''​(หน้าที่ 333)''</​fs></​sub>​ <​sub><​fs smaller>''​(หน้าที่ 333)''</​fs></​sub>​
- 
-แม้เหตุที่อริทั้งหลาย ​ อันได้แก่กิเลสมีราคะเป็นต้น ​ แม้ทุก ๆ  อย่างอันพระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระนาถะของโลก ​ ทรงกำจัดแล้วด้วยศาสตราคือพระปัญญา ​ ฉะนั้น ​ พระองค์จึงทรงปรากฏพระนามว่า ​ อรหํ ​ ฉะนี้ 
  
 '''​3. ​ ข้อว่าเป็นผู้หักซึ่งกำทั้งหลาย'''​ '''​3. ​ ข้อว่าเป็นผู้หักซึ่งกำทั้งหลาย'''​
  
-อนึ่ง ​ สังสารจักรนี้ใด ​ มี ​ ดุม ​ สำเร็จด้วยอวิชชาและภวตัณหา ​ มี ​ กำ ​ สำเร็จด้วยอภิสังขารมีปุญญาภิสังขารเป็นต้น ​ มี ​ กง ​ สำเร็จด้วยชราและมรณะ ​ เอา ​ เพลา ​ อันสำเร็จด้วยอาสวะและสมุทัยสอดเข้าแล้ว ​ ประกอบเข้าใน ​ ตัวรถ ​ คือภพทั้งสาม ​ แล่นไปตลอดกาลไม่มีเบื้องต้นและที่สุด+อนึ่ง  ​[[สังสารจักร]]นี้ใด ​ มี  ​[[ดุม]]  ​สำเร็จด้วย[[อวิชชา]]และ[[ภวตัณหา]]  ​มี  ​ซี่[[กำ]]  ​สำเร็จด้วย[[อภิสังขาร]]มีปุญญาภิสังขารเป็นต้น ​ มี ​ กง ​ สำเร็จด้วย[[ชรามรณะ]]  ​เอา  ​[[เพลา]]  ​อันสำเร็จด้วย[[อาสวสมุทัย]]สอดเข้าแล้ว ​ ประกอบเข้าใน ​ ตัวรถ ​ คือภพทั้งสาม ​ แล่นไปตลอดกาลไม่มีเบื้องต้นและที่สุด
  
-กำทั้งหลายในสังสารจักรนั้นทุก ๆ ซี่ ​ อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรงประทับยืนอยู่บนพื้นปฐพีคือศีล ​ ด้วยพระบทั้ง 2  คือวิริยะ ​ ณ  ควงพระศรีมหาโพธิ์ ​ ​ทรงจับขวัญคือพระพุทธญาณอันทำกรรมให้สิ้นสูญ ​ ทรงหักแล้ว ​ เพราะเหตุนั้น ​ พระองค์จึงทรงพระนามว่า ​ อรหํ ​ แม้เพราะเหตุที่ทรงหักซึ่งกำทั้งหลาย+กำทั้งหลายในสังสารจักรนั้นทุก ๆ ซี่ ​ อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นยืนอยู่บนพื้นปฐพีคือ[[ศีล]]  ​ด้วยเท้าทั้ง 2  คือ[[วิริยะ]]  ​ณ ​ ควงพระ[[ศรีมหาโพธิ์]] ใช้มือถือขวานคือพระ[[พุทธญาณ]]อันทำ[[กรรม]]ให้สิ้นสูญ ​ ทรงหักราญแล้ว ​ เพราะเหตุนั้น ​ พระองค์จึงทรงพระนามว่า ​ อรหํ ​ แม้เพราะเหตุที่ทรงหักซึ่งกำทั้งหลาย
  
-อีกประการหนึ่ง ​ สังสารวัฏอันมีเบื้องต้นและที่สุดรู้ไม่ได้ ​ เรียกว่า ​ สังสารจักร ​ แหละสังสารจักรนั้น ​ มีอวิชชาเป็นดุม ​ เพราะเป็นมูลเหตุ ​ ชราและมรณะเป็นกง ​ เพราะเป็นปลายเหตุ ​ ปฏิจจสมุปบาทธรรมที่เหลือ ​ 10  ประการเป็นกำ ​ เพราะมีอวิชชาเป็นมูลเหตุ และเพราะมีชราและมรณะเป็นปลายเหตุ+อีกประการหนึ่ง  ​[[สังสารวัฏ]]อันมีเบื้องต้นและที่สุดรู้ไม่ได้ ​ เรียกว่า ​ สังสารจักร ​ แหละสังสารจักรนั้น ​ มีอวิชชาเป็นดุม ​ เพราะเป็นมูลเหตุ ​ ชราและมรณะเป็นกง ​ เพราะเป็นปลายเหตุ  ​[[ปฏิจจสมุปบาท]]ธรรมที่เหลือ ​ 10  ประการเป็นกำ ​ เพราะมีอวิชชาเป็นมูลเหตุ และเพราะมีชราและมรณะเป็นปลายเหตุ
  
 '''​ในบรรดาปฏิจจสมุปบาทธรรมเหล่านั้น ความไม่รู้ในทุกข์ '''​ '''​ในบรรดาปฏิจจสมุปบาทธรรมเหล่านั้น ความไม่รู้ในทุกข์ '''​
-'''​(ทุกขอริยสัจจ์) เป็นต้น ชื่อว่า อวิชชา '''​+'''​(ทุกข[[อริยสัจ]]) เป็นต้น ชื่อว่า อวิชชา '''​
  
-'''​อวิชชาในกามภพเป็นปัจจัยแก่สังขารทั้งหลายในกามภพ'''​+'''​อวิชชาใน[[กามภพ]]เป็น[[ปัจจัย]]แก่สังขารทั้งหลายในกามภพ'''​
  
 '''​อวิชชาในรูปภพเป็นปัจจัยแก่สังขารทั้งหลายในรูปภพ'''​ '''​อวิชชาในรูปภพเป็นปัจจัยแก่สังขารทั้งหลายในรูปภพ'''​
บรรทัด 196: บรรทัด 195:
 สิ่งที่ควรเจริญเราได้เจริญแล้ว ​ ดูก่อนพราหมณ์ ​ เพราะเหตุนั้น ​ เราจึงเป็นผู้ตรัสรู้ สิ่งที่ควรเจริญเราได้เจริญแล้ว ​ ดูก่อนพราหมณ์ ​ เพราะเหตุนั้น ​ เราจึงเป็นผู้ตรัสรู้
  
-อีกประการหนึ่ง ​ จักษุ ​ เป็นทุกขสัจ ​ ตัณหาเก่าอันเป็นสมุฏฐานโดยความเป็นมูลเหตุแห่งจักษุนั้น ​ เป็นสมุทยสัจ ​ ความไม่ดำเนินไปแห่งจักษุและตัณหาทั้งสอง ​ เป็นนิโรธสัจ ​ ปฏิปทาที่เป็นเหตุรู้นิโรธ ​ เป็นมัคคสัจ ​ พระผู้มีพระภาคตรัสรู้สรรพธรรมทั้งหลายโดยชอบด้วยพระองค์เองด้วย ​ แม้โดยการยกขึ้นทีละบท ๆ  อย่างนี้ด้วยประการฉะนี้ ​ แม้ในโสตะ, ​ ฆานะ,​ ชิวหา, ​ กายและมโนทั้งหลาย ​ ก็มีนัยเช่นเดียวกันนี้ +# (ปิยรูปสาตรูป 60) อีกประการหนึ่ง จักษุ ​ เป็นทุกขสัจ ​ ตัณหาเก่าอันเป็นสมุฏฐานโดยความเป็นมูลเหตุแห่งจักษุนั้น ​ เป็นสมุทยสัจ ​ ความไม่ดำเนินไปแห่งจักษุและตัณหาทั้งสอง ​ เป็นนิโรธสัจ ​ ปฏิปทาที่เป็นเหตุรู้นิโรธ ​ เป็นมัคคสัจ ​ พระผู้มีพระภาคตรัสรู้สรรพธรรมทั้งหลายโดยชอบด้วยพระองค์เองด้วย ​ แม้โดยการยกขึ้นทีละบท ๆ  อย่างนี้ด้วยประการฉะนี้ ​ แม้ในโสตะ, ​ ฆานะ,​ ชิวหา, ​ กายและมโนทั้งหลาย ​ ก็มีนัยเช่นเดียวกันนี้ อายตนะ 6  มีรูปเป็นต้น ​ กองแห่งวิญญาณ 6  มีจักษุวิญญาณเป็นต้น ​ ผัสสะ 6  มีจักษุสัมผัสเป็นต้น ​ เวทนา 6  มีจักษุสัมผัสสชาเวทนาเป็นต้น ​ สัญญา 6  มีรูปสัญญาเป็นต้น ​ เจตนา 6  มีรูปสัญเจตนาเป็นต้น ​ กองแห่งตัณหา 6  มีรูปตัณหาเป็นต้น ​ วิตก 6 มีรูปวิตกเป็นต้น ​ วิจาร 6  มีรูปวิจารเป็นต้น  ​ 
- +ขันธ์ 5  มีรูปขันธ์เป็นต้น  ​ 
-อายตนะ 6  มีรูปเป็นต้น ​ กองแห่งวิญญาณ 6  มีจักษุวิญญาณเป็นต้น ​ ผัสสะ 6  มีจักษุสัมผัสเป็นต้น ​ เวทนา 6  มีจักษุสัมผัสสชาเวทนาเป็นต้น ​ สัญญา 6  มีจักษุสัญญาเป็นต้น ​ เจตนา 6  มีรูปสัญเจตนาเป็นต้น ​ กองแห่งตัณหา 6  มีรูปตัณหาเป็นต้น ​ วิตก 6 มีรูปวิตกเป็นต้น ​ วิจาร 6  มีรูปวิจารเป็นต้น ​ ขันธ์ 5  มีรูปขันธ์เป็นต้น ​ กสิณ 10  อนุสสติ 10  สัญญา 10  ด้วยอำนาจแห่งอุทธุมาตกสัญญาเป็นต้น ​ อาการ 32  มีผมเป็นต้น ​ อายตนะ 12  ธาตุ 18  ภพ 9  มีกามภพเป็นต้น ​ ฌาน 4  มีปฐมฌานเป็นต้น ​ อัปปมัญญา 4 มีเมตตาภาวนาเป็นต้น ​ อรูปสมาบัติ 4  และองค์แห่งปฏิจจสมุปบาทโดยปฏิโลมมีชาติและชราเป็นต้น ​ โดยอนุโลมมีอวิชชาเป็นต้น ​ นักศึกษาพึงประกอบเข้าโดนนัยนี้นั่นแล+กสิณ 10  ​ 
 +อนุสสติ 10  ​ 
 +สัญญา 10  ด้วยอำนาจแห่งอุทธุมาตกสัญญาเป็นต้น  ​ 
 +อาการ 32  มีผมเป็นต้น  ​ 
 +อายตนะ 12  ​ 
 +ธาตุ 18  ​ 
 +ภพ 9  มีกามภพเป็นต้น  ​ 
 +ฌาน 4  มีปฐมฌานเป็นต้น  ​ 
 +อัปปมัญญา 4 มีเมตตาภาวนาเป็นต้น  ​ 
 +อรูปสมาบัติ 4  ​ 
 +และองค์แห่งปฏิจจสมุปบาท ​(12) โดยปฏิโลมมีชาติและชราเป็นต้น ​ โดยอนุโลมมีอวิชชาเป็นต้น ​ นักศึกษาพึงประกอบเข้าโดนนัยนี้นั่นแล
  
 การประกอบความบทหนึ่งในธรรมเหล่านั้น ​ (มีตัวอย่าง) ​ ดังต่อไปนี้ ​ คือ ​ ชรา ​ และมรณะ ​ เป็นทุกขสัจ ​ ชาติ ​ เป็นสมุทยสัจ ​ ความสลัดออกซึ่งทุกขสัจและสมุทยสัจแมัทั้ง 2  เป็นนิโรธสัจ ​ ปฏิปทาเป็นเหตุรู้แจ้งซึ่งนิโรธสัจ ​ เป็นมัคคสัจ ​ พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ ​ คือทรงรู้โดยอนุโลม ​ ทรงรู้โดยปฏิโลม ​ ซึ่งสรรพธรรมทั้งหลายโดยการยกขึ้นทีละบท ๆ  อย่างนี้ ​ ด้วยประการฉะนี้ ​ ด้วยเหตุนั้น ​ ข้าพเจ้าจึงกล่าวไว้ว่า ​ ก็แหละ ​ พระผู้มีพระภาคทรงได้ ​ พระนามว่า ​ สัมมาสัมพุทโธ ​ เพราะเหตุที่เป็นผู้ตรัสรู้สรรพธรรมทั้งหลายโดยชอบด้วยพระองค์เองด้วย ​ ฉะนี้  ​ การประกอบความบทหนึ่งในธรรมเหล่านั้น ​ (มีตัวอย่าง) ​ ดังต่อไปนี้ ​ คือ ​ ชรา ​ และมรณะ ​ เป็นทุกขสัจ ​ ชาติ ​ เป็นสมุทยสัจ ​ ความสลัดออกซึ่งทุกขสัจและสมุทยสัจแมัทั้ง 2  เป็นนิโรธสัจ ​ ปฏิปทาเป็นเหตุรู้แจ้งซึ่งนิโรธสัจ ​ เป็นมัคคสัจ ​ พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ ​ คือทรงรู้โดยอนุโลม ​ ทรงรู้โดยปฏิโลม ​ ซึ่งสรรพธรรมทั้งหลายโดยการยกขึ้นทีละบท ๆ  อย่างนี้ ​ ด้วยประการฉะนี้ ​ ด้วยเหตุนั้น ​ ข้าพเจ้าจึงกล่าวไว้ว่า ​ ก็แหละ ​ พระผู้มีพระภาคทรงได้ ​ พระนามว่า ​ สัมมาสัมพุทโธ ​ เพราะเหตุที่เป็นผู้ตรัสรู้สรรพธรรมทั้งหลายโดยชอบด้วยพระองค์เองด้วย ​ ฉะนี้  ​