มหาทุกขักขันธสูตร_ฉบับปรับสำนวน

3. มหาทุกขักขันธสูตร

ว่าด้วยกองทุกข์ใหญ่

เหตุเกิดสูตร

เรื่องอัญญเดียรถีย์

[194] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ภิกษุมากรูปด้วยกัน ในตอนเช้า นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี ภิกษุเหล่านั้นต่างมีความคิดร่วมกันว่า ยังเช้าอยู่นักอย่าเพิ่งเข้าไปบิณฑบาตในพระนครสาวัตถีเลย ทางที่ดี พวกเราควรเข้าไปยังอารามของพวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์เถิด ดังนี้แล้ว ต่างก็มุ่งตรงไปยังอารามของพวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ ครั้นแล้วได้สนทนาปราศรัยกับพวกปริพาชก อัญญเดียรถีย์เหล่านั้น ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พวกปริพาชก อัญญเดียรถีย์เหล่านั้น ได้กล่าวกะพวกภิกษุผู้นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งดังนี้ว่า ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย พระสมณโคดมบัญญัติการทำปริญญาในกามได้ แม้พวกข้าพเจ้าก็บัญญัติการทำปริญญาในกามได้ พระสมณโคดมบัญญัติการทำปริญญาในรูปได้ แม้พวกข้าพเจ้าก็บัญญัติการทำปริญญาในรูปได้ พระสมณโคดมบัญญัติการทำปริญญาในเวทนาได้ แม้พวกข้าพเจ้าก็บัญญัติการทำปริญญาในเวทนาได้ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ในเรื่องนี้ อะไรเล่า เป็นข้อแปลกกัน อะไรเป็นผลที่มุ่งหมาย หรือกระทำให้ต่างกันระหว่างพระสมณโคดมกับพวกข้าพเจ้า เช่นการแสดงธรรมกับการแสดงธรรม หรืออนุสาสนีกับอนุสาสนี พวกภิกษุเหล่านั้นไม่ยินดี ไม่คัดค้านคำที่พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์เหล่านั้นกล่าวแล้ว ครั้นแล้วลุกจากที่นั่งหลีกไป ด้วยคิดว่า เราจักทราบข้อความแห่งภาษิตนี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาค.

[195] ครั้งนั้นแล ภิกษุเหล่านั้นเที่ยวบิณฑบาตไปในพระนครสาวัตถีกลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัตแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วจึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ดังข้าพระองค์ขอประทานพระวโรกาส เช้าวันนี้ พวกข้าพระองค์นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี พวกข้าพระองค์ต่างมีความคิดร่วมกันว่า ยังเช้าอยู่นัก อย่าเพิ่งเข้าไปบิณฑบาตในพระนครสาวัตถีเลย ทางที่ดี พวกเราควรเข้าไปยังอารามของพวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์เถิดพวกข้าพระองค์ต่างก็มุ่งตรงไปยังอารามของพวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ ครั้นแล้วได้สนทนาปราศรัยกับพวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์เหล่านั้น ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์นั้นเหล่า ได้กล่าวกะพวกข้าพระองค์ ผู้นั่ง ณที่ควรส่วนข้างหนึ่งดังนี้ว่า ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย พระสมณโคดมบัญญัติการทำปริญญาในกามได้แม้พวกข้าพเจ้าก็บัญญัติการทำปริญญาในกามได้ พระสมณโคดมบัญญัติการทำปริญญาในรูปได้แม้พวกข้าพเจ้าก็บัญญัติการทำปริญญาในรูปได้ พระสมณโคดมบัญญัติการทำปริญญาในเวทนาได้ แม้พวกข้าพเจ้าก็บัญญัติการทำปริญญาในเวทนาได้ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ในเรื่องนี้ อะไรเล่าเป็นข้อแปลกกัน อะไรเป็นผลที่มุ่งหมาย หรือกระทำให้ต่างกัน ระหว่างพระสมณโคดมกับพวกข้าพเจ้าเช่นการแสดงธรรมกับการแสดงธรรม หรืออนุสาสนีกับอนุสาสนี พวกข้าพระองค์ไม่ยินดีไม่คัดค้านคำที่พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์เหล่านั้นกล่าวแล้ว ครั้นแล้วลุกจากที่นั่งหลีกไปด้วยคิดว่าเราจักทราบข้อความแห่งภาษิตนี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาค.

คำบริกรรมกรรมฐาน

[196] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ผู้มีวาทะอย่างนี้ พวกเธอพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ

  1. กามทั้งหลายมีอะไรเป็นอัสสาทะ? มีอะไรเป็นอาทีนวะ? มีอะไรเป็นนิสสรณะ?
  2. รูปทั้งหลายมีอะไรเป็นอัสสาทะ? มีอะไรเป็นอาทีนวะ? มีอะไรเป็นนิสสรณะ?
  3. เวทนาทั้งหลายมีอะไรเป็นอัสสาทะ? มีอะไรเป็นอาทีนวะ? มีอะไรเป็นนิสสรณะ?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ถูกพวกเธอถามอย่างนี้ จักไม่พอใจเลย และจักต้องคับแค้นอย่างยิ่ง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร? เพราะข้อนั้นมิใช่วิสัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่เห็นผู้ที่จะพึงยังจิตให้ยินดีด้วยการพยากรณ์ปัญหาเหล่านี้ ในโลกเป็นไปกับด้วยเทวโลก มารโลก พรหมโลกในหมู่สัตว์ เป็นไปกับด้วยสมณะ และพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ เว้นไว้แต่ตถาคต หรือสาวกของตถาคต หรือมิฉะนั้นก็ฟังจากนี้.

อธิบายคำบริกรรมกรรมฐาน

[197] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กามทั้งหลายมีอะไรเป็นอัสสาทะ (เครื่องยินดีพอใจ)?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย กามคุณ (เครืองผูกรั้งไว้ในกาม) มี 5 ประการ. กามคุณ 5 ประการเป็นไฉน? คือ รูปที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุ น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เสียงที่พึงรู้แจ้งด้วยโสต … กลิ่นที่พึงรู้แจ้งด้วยฆานะ … รสที่พึงรู้แจ้งด้วยชิวหา … โผฏฐัพพะที่พึงรู้แจ้งด้วยกาย น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจน่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ดูกรภิกษุทั้งหลาย กามคุณ 5 ประการเหล่านี้แล.

ความสุข ความโสมนัสใดเล่า อาศัยกามคุณ 5 เหล่านี้เกิดขึ้น กามทั้งหลายมีสิ่งนี้แหละเป็นอัสสาทะ.

[198] และดูกรภิกษุทั้งหลาย กามทั้งหลายมีอะไรเป็นอาทีนวะ (โทษภัย)?

ดูกรภิกษุทั้งหลายกุลบุตรในโลกนี้ เลี้ยงชีวิตด้วยความขยันประกอบศิลปใด คือ ด้วยการนับคะแนนก็ดี ด้วยการคำนวณก็ดี ด้วยการนับจำนวนก็ดี ด้วยการไถก็ดี ด้วยการค้าขายก็ดี ด้วยการเลี้ยงโคก็ดี ด้วยการยิงธนูก็ดี ด้วยการเป็นราชบุรุษก็ดี ด้วยศิลปอย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี ต้องตรากตรำต่อความหนาวต้องตรากตรำต่อความร้อน งุ่นง่านอยู่ด้วยสัมผัสแต่เหลืบ ยุง ลม แดด และสัตว์เสือกคลานต้องตายด้วยความหิวระหาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้นี้ ก็เป็นอาทีนวะของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นๆ กันอยู่ มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นตัวบังคับ มีกามทั้งหลายนั่นแลเป็นเหตุ.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อกุลบุตรนั้นขยัน สืบต่อ พยายามอยู่อย่างนี้ โภคะเหล่านั้นก็ไม่สำเร็จผล เขาย่อมเศร้าโศก ลำบาก รำพัน ตีอก คร่ำครวญ ถึงความหลงเลือนว่าความขยันของเราเป็นโมฆะหนอ ความพยายามของเราไม่มีผลหนอ ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้นี้ก็เป็นอาทีนวะของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นๆ กันอยู่ มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นตัวบังคับ มีกามทั้งหลายนั่นแลเป็นเหตุ.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อกุลบุตรนั้นขยัน สืบต่อ พยายามอยู่อย่างนี้ โภคะเหล่านั้นสำเร็จผล เขากลับเสวยทุกข์ โทมนัส ที่มีการคอยรักษาโภคะเหล่านั้นเป็นตัวบังคับว่า ทำอย่างไรพระราชาทั้งหลาย ไม่พึงริบโภคะเหล่านั้นไปได้ พวกโจรพึงปล้นไม่ได้ ไฟไม่พึงไหม้ น้ำไม่พึงพัดทายาทอัปรีย์พึงนำไปไม่ได้ เมื่อกุลบุตรนั้นคอยรักษาคุ้มครองอยู่อย่างนี้ พระราชาทั้งหลายริบโภคะเหล่านั้นไปเสียก็ดี พวกโจรปล้นเอาไปเสียก็ดี ไฟไหม้เสียก็ดี น้ำพัดไปเสียก็ดี ทายาทอัปรีย์นำไปเสียก็ดี เขาย่อมเศร้าโศก ลำบาก รำพัน ตีอก คร่ำครวญ ถึงความหลงเลือนว่าสิ่งใดเคยเป็นของเรา แม้สิ่งนั้นก็ไม่เป็นของเรา ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้นี้ ก็เป็นอาทีนวะของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นๆ กันอยู่ มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นตัวบังคับ มีกามทั้งหลายนั่นแลเป็นเหตุ.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง แม้พระราชาทั้งหลายก็วิวาทกันกับพวกพระราชา แม้พวกกษัตริย์ก็วิวาทกันกับพวกกษัตริย์ แม้พวกพราหมณ์ก็วิวาทกันกับพวกพราหมณ์ แม้คฤหบดีก็วิวาทกันกับพวกคฤหบดี แม้มารดาก็วิวาทกับบุตร แม้บุตรก็วิวาทกับมารดา แม้บิดาก็วิวาทกับบุตร แม้บุตรก็วิวาทกับบิดา แม้พี่ชายน้องชายก็วิวาทกันกับพี่ชายน้องชาย แม้พี่ชายก็วิวาทกับน้องสาว แม้น้องสาวก็วิวาทกับพี่ชาย แม้สหายก็วิวาทกับสหาย ชนเหล่านั้นต่างถึงการทะเลาะแก่งแย่ง วิวาทกันในที่นั้นๆ ทำร้ายซึ่งกันและกัน ด้วยฝ่ามือบ้าง ด้วยก้อนดินบ้าง ด้วยท่อนไม้บ้าง ด้วยศาตราบ้าง ถึงความตายไปตรงนั้นบ้าง ถึงทุกข์ปางตายบ้าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้นี้ก็เป็นอาทีนวะของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นๆ กันอยู่ มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นตัวบังคับ มีกามทั้งหลายนั่นแลเป็นเหตุ.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ฝูงชนต่างถือดาบและโล่ห์สอดแล่งธนู วิ่งเข้าสู่สงคราม ปะทะกันทั้ง 2 ข้าง เมื่อลูกศรทั้งหลายถูกยิงไปบ้าง เมื่อหอกทั้งหลายถูกพุ่งไปบ้าง เมื่อดาบทั้งหลายถูกกวัดแกว่งอยู่บ้าง ฝูงชนเหล่านั้นต่างก็ถูกลูกศรแทงเอาบ้าง ถูกหอกแทงเอาบ้าง ถูกดาบตัดศีรษะเสียบ้าง ในที่นั้น พากันถึงตายไปตรงนั้นบ้าง ถึงทุกข์ปางตายบ้าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้นี้ก็เป็นอาทีนวะของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นๆ กันอยู่ มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นตัวบังคับ มีกามทั้งหลายนั่นแลเป็นเหตุ.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ฝูงชนถือดาบและโล่ห์สอดแล่งธนู ตรูกันเข้าไปสู่เชิงกำแพงที่ฉาบด้วยเปือกตมร้อน เมื่อลูกศรถูกยิงไปบ้าง เมื่อหอกถูกพุ่งไปบ้าง เมื่อดาบถูกกวัดแกว่งบ้าง ชนเหล่านั้นต่างถูกลูกศรแทงบ้าง ถูกหอกแทงบ้าง ถูกรดด้วยโคมัยร้อนบ้าง ถูกสับด้วยคราดบ้าง ถูกตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง ในที่นั้น พากันถึงตายไปตรงนั้นบ้าง ถึงทุกข์ปางตายบ้าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้นี้ก็เป็นอาทีนวะของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นๆ กันอยู่ มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นตัวบังคับ มีกามทั้งหลายนั่นแลเป็นเหตุ.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ฝูงชนตัดที่ต่อบ้าง ปล้นอย่างกวาดล้างบ้าง กระทำการปล้นเรือนหลังเดียวบ้าง ดักปล้นในหนทางบ้าง สมสู่ภรรยาคนอื่นบ้าง พระราชาทั้งหลาย จับคนนั้นๆได้แล้ว ให้กระทำกรรมกรณ์ต่างๆ เฆี่ยนด้วยแซ่บ้าง เฆี่ยนด้วยหวายบ้าง ตีด้วยไม้ค้อนบ้างตัดมือเสียบ้าง ตัดเท้าเสียบ้าง ตัดทั้งมือทั้งเท้าเสียบ้าง ตัดหูเสียบ้าง ตัดจมูกเสียบ้าง ตัดทั้งหูทั้งจมูกเสียบ้าง กระทำกรรมกรณ์ ชื่อพิลังคถาลิก [หม้อเคี่ยวน้ำส้ม] บ้าง ชื่อสังขมุณฑกะ[ขอดสังข์] บ้าง ชื่อราหูมุข [ปากราหู] บ้าง ชื่อโชติมาลิก [พุ่มเพลิง] บ้าง ชื่อหัตถปัชโชติก[มือไฟ] บ้าง ชื่อเอรกวัตติก [นุ่งหนังช้าง] บ้าง ชื่อจีรกวาสิก [นุ่งสร่าย] บ้าง ชื่อเอเณยยกะ[ยืนกวาง] บ้าง ชื่อพลิสมังสิก [กระชากเนื้อด้วยเบ็ด]บ้าง ชื่อกหาปณกะ [ควักเนื้อทีละกหาปณะ] บ้าง ชื่อขาราปฏิจฉก [แปรงแสบ] บ้าง ชื่อปลิฆปริวัตติก [วนลิ่ม] บ้าง ชื่อปลาลปีฐก[ตั่งฝาง] บ้าง รดด้วยน้ำมันที่ร้อนบ้าง ให้สุนัขกัดกินบ้าง เสียบที่หลาวทั้งเป็นบ้าง ใช้ดาบตัดศีรษะเสียบ้าง คนเหล่านั้นถึงตายไปตรงนั้นบ้าง ถึงทุกข์ปางตายบ้าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้นี้ก็เป็นอาทีนวะของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นๆ กันอยู่ มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้ามีกามเป็นตัวบังคับ มีกามทั้งหลายนั่นแลเป็นเหตุ.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ฝูงชนต่างประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ชนเหล่านั้นครั้นประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริตแล้ว เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาตนรก ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้นี้ ก็เป็นอาทีนวะของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ในสัมปรายภพ มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นตัวบังคับ มีกามทั้งหลายนั่นแลเป็นเหตุ.

[199] และดูกรภิกษุทั้งหลาย กามทั้งหลายมีอะไรเป็นนิสสรณะ (เครื่องสละออก)? ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกำจัดฉันทราคะในกามทั้งหลาย การละฉันทราคะในกามทั้งหลายใด นี้เป็นนิสสรณะของกามทั้งหลาย.

[200] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง ที่ยังไม่นำลักษณะอัสสาทะดังที่บัญญัติมานี้ มาใช้ทำความเข้าใจอัสสาทะของกามทั้งหลายให้ชัดเจนตรงตามความเป็นจริง ยังไม่นำลักษณะอาทีนวะดังที่บัญญัติมานี้ มาใช้ทำความเข้าใจอาทีนวะของกามทั้งหลายให้ชัดเจนตรงตามความเป็นจริง ยังไม่นำลักษณะนิสสรณะดังที่บัญญัติมานี้ มาใช้ทำความเข้าใจนิสสรณะของกามทั้งหลายให้ชัดเจนตรงตามความเป็นจริง พวกนั้นน่ะหรือจักทำปริญญาในกามทั้งหลายด้วยตนเอง หรือว่าจักชักจูงผู้อื่นเพื่อเป็นอย่างที่ผู้ปฏิบัติแล้ว จักทำปริญญาในกามทั้งหลายได้ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ที่นำลักษณะอัสสาทะดังที่บัญญัติมานี้ มาใช้ทำความเข้าใจอัสสาทะของกามทั้งหลายให้ชัดเจนตรงตามความเป็นจริง นำลักษณะอาทีนวะดังที่บัญญัติมานี้ มาใช้ทำความเข้าใจอาทีนวะของกามทั้งหลายให้ชัดเจนตรงตามความเป็นจริง นำลักษณะนิสสรณะดังที่บัญญัติมานี้ มาใช้ทำความเข้าใจนิสสรณะของกามทั้งหลายให้ชัดเจนตรงตามความเป็นจริง พวกนั้นแหละหนอ จักทำปริญญาในกามทั้งหลาย ด้วยตนเองได้ หรือจักชักจูงผู้อื่นเพื่อทำปริญญาตามตนเองได้ จักทำปริญญาในกามทั้งหลายก็ได้ ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้.

[201] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นอัสสาทะของรูปทั้งหลาย? ดูกรภิกษุทั้งหลายเหมือนอย่างว่า นางสาวเผ่ากษัตริย์ เผ่าพราหมณ์ หรือเผ่าคฤหบดีมีอายุระบุได้ว่า 15 ปี หรือ 16 ปี ไม่สูงเกินไป ไม่ต่ำเกินไป ไม่ผอมเกินไป ไม่อ้วนเกินไป ไม่ดำเกินไป ไม่ขาวเกินไปดูกรภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้นนางคนนั้น งดงามเปล่งปลั่งเป็นอย่างยิ่ง ใช่หรือไม่เล่า? พวกภิกษุพากันกราบทูลว่าเป็นเช่นนั้นพระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสุขความโสมนัสอันใดแล ที่บังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความงามเปล่งปลั่ง นี้เป็นอัสสาทะของรูปทั้งหลาย.

(อธิบาย: ส่วนใหญ่ ปรากฎใน นวสีวถิกาบรรพ มหาสติปัฏฐานสูตร, และโครงสร้างเดียวกัน คือ บรรพะก่อนๆ ได้ฌานก็จริง ก็เป็นเพียงเห็นโทษในกาม แต่ยังไม่ทำวิปัสสนาในรูปทั้งปวง คือ ยังมีบางรูปที่เมื่อออกจากฌานมาทำให้อนุสัยปริยุฏฐานขึ้นมาอีกได้ จึงต้องมาทำรูปอาทีนววิปัสสนากรรมฐานด้วยนวสีวถิกาบรรพ เพื่อละฉันทราคะในรูปทั้งปวงอีกที แล้วจึงขึ้นทำรูปวิปัสสนากรรมฐานเริ่มด้วยเวทนาเช่นกัน แต่นามอาทีนวาวิปัสสนากรรมฐานของมหาสติปัฏฐานสูตร จะอยู่ในบทว่า ย่อมตามเห็นเหตุแห่งความเกิดความดับ และ บทว่า เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ส่วนในสูตรนี้ นามาทีนวาวิปัสสนากรรมฐานอยู่ในข้อว่า อาทีนวะแห่งเวทนา หรือ ตีรณปริญญาในเวทนานั่นเอง)

[202] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นอาทีนวะของรูปทั้งหลาย? ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลพึงเห็นนางสาวคนนั้นแหละในโลกนี้ โดยสมัยอื่น มีอายุ 80-90 หรือ 100 ปี โดยกำเนิดเป็นยายแก่ มีซี่โครงคดดังกลอนเรือนร่างขดงอ ถือไม้เท้ากระงกกระเงิ่น เดินสั่นระทวยกระสับกระส่าย ผ่านวัยเยาว์ไปแล้วมีฟันหลุด ผมหงอก ผมโกร๋น ศีรษะล้าน เนื้อเหี่ยว มีตัวตกกระ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญข้อนั้นอย่างไร ความงดงาม ความเปล่งปลั่ง ที่มีในครั้งก่อนนั้นหายไปแล้ว โทษปรากฏแล้วมิใช่หรือ?

ภิ. เป็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า.

พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นอาทีนวะของรูปทั้งหลาย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลพึงเห็นนางสาวคนนั้นแหละมีอาพาธ มีทุกข์เจ็บหนัก นอนจมมูตรคูถของตน ต้องให้คนอื่นพยุงลุก ต้องให้คนอื่นคอยประคอง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอจะสำคัญข้อนั้นอย่างไร ความงดงาม ความเปล่งปลั่ง ที่มีในก่อนนั้นหายไปแล้วโทษปรากฏแล้วมิใช่หรือ?

ภิ. เป็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า.

พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อนี้ ก็เป็นอาทีนวะของรูปทั้งหลาย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลพึงเห็นนางสาวคนนั้นแหละเป็นซากศพถูกทิ้งไว้ในป่าช้า ตายได้ 1 วันก็ดี ตายได้ 2 วันก็ดี ตายได้ 3 วันก็ดี เป็นซากศพขึ้นพองก็ดี มีสีเขียวก็ดี เกิดหนอนชอนไชก็ดี ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญข้อนั้นอย่างไรความงดงาม ความเปล่งปลั่ง ที่มีในก่อนนั้นหายไปแล้ว โทษปรากฏแล้วมิใช่หรือ?

ภิ. เป็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า.

พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อนี้ ก็เป็นอาทีนวะของรูปทั้งหลาย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลพึงเห็นนางสาวคนนั้นแหละเป็นซากศพถูกทิ้งไว้ในป่าช้า ฝูงการุมกันจิกกินบ้าง ฝูงแร้งรุมกันจิกกินบ้าง ฝูงนกเค้ารุมกันจิกกินบ้าง ฝูงสุนัขรุมกันกัดกินบ้าง ฝูงสุนัขจิ้งจอกรุมกันกัดกินบ้าง ฝูงปาณกชาติต่างๆ รุมกันกัดกินบ้าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญข้อนั้นอย่างไร ความงดงาม ความเปล่งปลั่ง ที่มีในก่อนนั้นหายไปแล้วโทษปรากฏแล้วมิใช่หรือ?

ภิ. เป็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า.

พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อนี้ ก็เป็นอาทีนวะของรูปทั้งหลาย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลพึงเห็นนางสาวคนนั้นแหละเป็นซากศพถูกทิ้งไว้ในป่าช้า มีแต่โครงกระดูก มีเนื้อและเลือดติดอยู่ มีเอ็นยึดอยู่ ฯลฯ มีแต่โครงกระดูก ปราศจากเนื้อเปื้อนเลือด มีเอ็นยึดอยู่ ฯลฯ มีแต่โครงกระดูกปราศจากเนื้อและเลือด มีเอ็นยึดอยู่ ฯลฯเป็นแต่กระดูก ปราศจากเอ็นยึด กระจัดกระจายไปในทิศน้อยทิศใหญ่ คือ กระดูกมือทางหนึ่งกระดูกเท้าทางหนึ่ง กระดูกแข้งทางหนึ่ง กระดูกขาทางหนึ่ง กระดูกสะเอวทางหนึ่ง กระดูกสันหลังทางหนึ่ง กระดูกซี่โครงทางหนึ่ง กระดูกหน้าอกทางหนึ่ง กระดูกแขนทางหนึ่ง กระดูกไหล่ทางหนึ่ง กระดูกคอทางหนึ่ง กระดูกคางทางหนึ่ง กระดูกฟันทางหนึ่ง หัวกะโหลกทางหนึ่งดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญข้อนั้นอย่างไร ความงดงาม ความเปล่งปลั่งที่มีในก่อนนั้นหายไปแล้ว โทษปรากฏแล้วมิใช่หรือ?

ภิ. เป็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า.

พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อนี้ ก็เป็นอาทีนวะของรูปทั้งหลาย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลพึงเห็นนางสาวนั้นแหละ เป็นซากศพถูกทิ้งไว้ในป่าช้า เหลือแต่กระดูกสีขาว เปรียบเทียบได้กับสีสังข์ ฯลฯ เหลือแต่กระดูกตกค้างแรมปีเรียงรายเป็นหย่อมๆ ฯลฯ เหลือแต่กระดูกผุแหลกยุ่ย ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญข้อนั้นอย่างไร ความงดงาม ความเปล่งปลั่ง ที่มีในก่อนหายไปแล้ว โทษปรากฏแล้วมิใช่หรือ?

ภิ. เป็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า.

พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อนี้ ก็เป็นอาทีนวะของรูปทั้งหลาย.

[203] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นนิสสรณะของรูปทั้งหลาย? ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกำจัดฉันทราคะในรูปทั้งหลาย การละฉันทราคะในรูปทั้งหลาย นั้นใด นี้เป็นนิสสรณะของรูปทั้งหลาย.

[204] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง ที่ยังไม่นำลักษณะอัสสาทะดังที่บัญญัติมานี้ มาใช้ทำความเข้าใจอัสสาทะของรูปทั้งหลายให้ชัดเจนตรงตามความเป็นจริง ยังไม่นำลักษณะอาทีนวะดังที่บัญญัติมานี้ มาใช้ทำความเข้าใจอาทีนวะของรูปทั้งหลายให้ชัดเจนตรงตามความเป็นจริง ยังไม่นำลักษณะนิสสรณะดังที่บัญญัติมานี้ มาใช้ทำความเข้าใจนิสสรณะของรูปทั้งหลายให้ชัดเจนตรงตามความเป็นจริง พวกนั้นน่ะหรือจักทำปริญญาในรูปทั้งหลายด้วยตนเอง หรือว่าจักชักจูงผู้อื่นเพื่อเป็นอย่างที่ผู้ปฏิบัติแล้ว จักทำปริญญาในรูปทั้งหลายได้ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ที่นำลักษณะอัสสาทะดังที่บัญญัติมานี้ มาใช้ทำความเข้าใจอัสสาทะของรูปทั้งหลายให้ชัดเจนตรงตามความเป็นจริง นำลักษณะอาทีนวะดังที่บัญญัติมานี้ มาใช้ทำความเข้าใจอาทีนวะของรูปทั้งหลายให้ชัดเจนตรงตามความเป็นจริง นำลักษณะนิสสรณะดังที่บัญญัติมานี้ มาใช้ทำความเข้าใจนิสสรณะของรูปทั้งหลายให้ชัดเจนตรงตามความเป็นจริง พวกนั้นแหละหนอ จักทำปริญญาในรูปทั้งหลาย ด้วยตนเองได้ หรือจักชักจูงผู้อื่นเพื่อทำปริญญาตามตนเองได้ จักทำปริญญาในรูปทั้งหลายก็ได้ ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้.

[205] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นอัสสาทะของเวทนาทั้งหลาย? ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ในสมัยใด ภิกษุสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌานมีวิตกวิจาร มีปีติและสุข เกิดแต่วิเวกอยู่ ในสมัยนั้น ย่อมไม่คิดเพื่อจะทำลายตน ย่อมไม่คิดเพื่อจะทำลายผู้อื่น ย่อมไม่คิดเพื่อจะทำลายทั้งสองฝ่าย ในสมัยนั้น ย่อมเสวยเวทนา อันไม่มีความเบียดเบียนเลยทีเดียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวอัสสาทะของเวทนาทั้งหลายว่า มีความไม่เบียดเบียนเป็นอย่างยิ่ง.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายในเป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ในสมัยใด ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป ฯลฯ ในสมัยนั้น ย่อมไม่คิดเพื่อจะทำลายตน ฯลฯ ในสมัยนั้นย่อมเสวยเวทนา อันไม่มีความเบียดเบียนเลยทีเดียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวอัสสาทะของเวทนาทั้งหลายว่า มีความไม่เบียดเบียนเป็นอย่างยิ่ง.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ฯลฯ ในสมัยใด ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะและเสวยสุขด้วยกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ฯลฯ ในสมัยนั้น ย่อมไม่คิดเพื่อจะทำลายตน ฯลฯ ในสมัยนั้น ย่อมเสวยเวทนาอันไม่มีความเบียดเบียนเลยทีเดียว ดูกรภิกษุทั้งหลายเรากล่าวอัสสาทะแห่งเวทนาทั้งหลายว่า มีความไม่เบียดเบียนเป็นอย่างยิ่ง.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ในสมัยใดภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ ในสมัยนั้น ย่อมไม่คิดเพื่อจะทำลายตน ฯลฯ ในสมัยนั้น ย่อมเสวยเวทนาอันไม่มีความเบียดเบียนเลยทีเดียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวอัสสาทะแห่งเวทนาทั้งหลายว่ามีความไม่เบียดเบียนเป็นอย่างยิ่ง

[206] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นอาทีนวะของเวทนาทั้งหลาย? ดูกรภิกษุทั้งหลายข้อที่เวทนาไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา นี้เป็นอาทีนวะของเวทนาทั้งหลาย.

[207] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นนิสสรณะของเวทนาทั้งหลาย? ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกำจัด การละฉันทราคะ ของเวทนาทั้งหลายเสียได้ นี้เป็นนิสสรณะของเวทนาทั้งหลาย.

[208] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง ที่ยังไม่นำลักษณะอัสสาทะดังที่บัญญัติมานี้ มาใช้ทำความเข้าใจอัสสาทะของเวทนาทั้งหลายให้ชัดเจนตรงตามความเป็นจริง ยังไม่นำลักษณะอาทีนวะดังที่บัญญัติมานี้ มาใช้ทำความเข้าใจอาทีนวะของเวทนาทั้งหลายให้ชัดเจนตรงตามความเป็นจริง ยังไม่นำลักษณะนิสสรณะดังที่บัญญัติมานี้ มาใช้ทำความเข้าใจนิสสรณะของเวทนาทั้งหลายให้ชัดเจนตรงตามความเป็นจริง พวกนั้นน่ะหรือจักทำปริญญาในเวทนาทั้งหลายด้วยตนเอง หรือว่าจักชักจูงผู้อื่นเพื่อเป็นอย่างที่ผู้ปฏิบัติแล้ว จักทำปริญญาในเวทนาทั้งหลายได้ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ที่นำลักษณะอัสสาทะดังที่บัญญัติมานี้ มาใช้ทำความเข้าใจอัสสาทะของเวทนาทั้งหลายให้ชัดเจนตรงตามความเป็นจริง นำลักษณะอาทีนวะดังที่บัญญัติมานี้ มาใช้ทำความเข้าใจอาทีนวะของเวทนาทั้งหลายให้ชัดเจนตรงตามความเป็นจริง นำลักษณะนิสสรณะดังที่บัญญัติมานี้ มาใช้ทำความเข้าใจนิสสรณะของเวทนาทั้งหลายให้ชัดเจนตรงตามความเป็นจริง พวกนั้นแหละหนอ จักทำปริญญาในเวทนาทั้งหลาย ด้วยตนเองได้ หรือจักชักจูงผู้อื่นเพื่อทำปริญญาตามตนเองได้ จักทำปริญญาในเวทนาทั้งหลายก็ได้ ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้.

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล.

จบ มหาทุกขักขันธสูตร ที่ 3