ปฏิสัมภิทามรรค_05-10_มหาวรรค

อยู่ในระหว่างปรับสำนวน

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส

ตำราพุทธมีลำดับการศึกษาให้เข้าใจทะลุทะลวงดังนี้: ขอเป็นศิษย์ผู้มีฌานวสีทรงจำพระไตรปิฎกบาลี > ท่องจำบาลีตามลำดับซ้ำๆ ไม่ลืมทบทวนแม้จำได้แล้ว > สอบถามบาลี > ฟังคำอธิบายบาลี > ทรงจำทั้งหมด > ในระหว่างท่องจำก็พยายามปฏิบัติตามไปด้วยจนแตกฉาน. ผู้ที่ข้ามขั้นตอนเหล่านี้ยิ่งมากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นไปได้ยากที่จะบรรลุอัปปนาทั้งโลกิยะและโลกุตตระในศาสนาพุทธได้ พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า "โมฆบุรุษ" เพราะว่างเปล่าจากอัปปนา (เรียบเรียงจากกีฏาคิริสูตร; ธัมมัญญูสูตร; สัจจบรรพะ อรรถกถามัคคนิทเทส; วิสุทธิมรรค กัมมัฏฐานคหณนิทเทส)

มหาวรรค วิโมกขกถา

บริบูรณ์นิทาน

[469] ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิโมกข์ 3 ประการนี้ 3 ประการเป็นไฉน คือ สุญญตวิโมกข์ 1 อนิมิตตวิโมกข์ 1 อัปปณิหิตวิโมกข์ 1 ดูกรภิกษุทั้งหลายวิโมกข์ 3 ประการนี้ ฯ

อีกประการหนึ่ง วิโมกข์ 68 คือ สุญญตวิโมกข์ 1 อนิมิตตวิโมกข์ 1 อัปปณิหิตวิโมกข์ 1 อัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์ (วิโมกข์มีการออกในภายใน) 1พหิทธาวุฏฐานวิโมกข์ (วิโมกข์มีการออกในภายนอก) 1 ทุภโตวุฏฐานวิโมกข์(วิโมกข์มีการออกแต่ส่วนทั้งสอง) 1 วิโมกข์ 4แต่อัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์วิโมกข์ 4 แต่พหิทธาวุฏฐานวิโมกข์ วิโมกข์ 4 แต่ทุภโตวุฏฐานวิโมกข์วิโมกข์ 4อนุโลมแก่อัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์ วิโมกข์ 4 อนุโลมแก่พหิทธาวุฏฐานวิโมกข์วิโมกข์ 4อนุโลมแก่ทุภโตวุฏฐานวิโมกข์ วิโมกข์ 4 ระงับจากอัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์ วิโมกข์ 4 ระงับจากพหิทธาวุฏฐานวิโมกข์ วิโมกข์ 4 ระงับจากทุภโตวุฏฐานวิโมกข์ ชื่อว่าวิโมกข์ เพราะอรรถว่า ภิกษุผู้มีรูปเห็นรูปทั้งหลาย เพราะอรรถว่า ภิกษุผู้ไม่มีความสำคัญว่ารูปในภายใน เห็นรูปทั้งหลายในภายนอกเพราะอรรถว่าภิกษุน้อมใจไปในธรรมส่วนงามเท่านั้น อากาสานัญจายตนสมาบัติวิโมกข์วิญญาณัญจายตนสมาบัติวิโมกข์ อากิญจัญญายตนสมาบัติวิโมกข์เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติวิโมกข์ สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติวิโมกข์สมยวิโมกข์ อสมยวิโมกข์ สามายิกวิโมกข์ อสามายิกวิโมกข์ กุปปวิโมกข์(วิโมกข์ที่กำเริบได้) อกุปปวิโมกข์ (วิโมกข์ที่ไม่กำเริบ) โลกิยวิโมกข์โลกุตตรวิโมกข์ สาสววิโมกข์ อนาสววิโมกข์ สามิสวิโมกข์ นิรามิสวิโมกข์ นิรามิสตรวิโมกข์ ปณิหิตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ ปณิหิตปัสสัทธิโมกข์สุญญตวิโมกข์ วิสุญญตวิโมกข์ เอกัตตวิโมกข์ นานัตตวิโมกข์ สัญญาวิโมกข์ญาณวิโมกข์ สีติสิยาวิโมกข์ ฌานวิโมกข์ อนุปาทาจิตวิโมกข์ ฯ

[470] สุญญตวิโมกข์เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี พิจารณาเห็นดังนี้ว่า นามรูปนี้ว่างจากความเป็นตัวตน และจากสิ่งที่เนื่องด้วยตน เธอย่อมไม่ทำความยึดมั่นในนามรูปนั้นเพราะเหตุนั้น วิโมกข์ของภิกษุนั้นจึงเป็นวิโมกข์ว่างเปล่า นี้เป็นสุญญตวิโมกข์ ฯ

อนิมิตตวิโมกข์เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า นามรูปนี้ว่างจากความเป็นตัวตนและจากสิ่งที่เนื่องด้วยตน เธอย่อมไม่ทำเครื่องกำหนดหมายในนามรูปนั้น เพราะเหตุนั้น วิโมกข์ของภิกษุนั้นจึงเป็นวิโมกข์ไม่มีเครื่องกำหนดหมายนี้เป็นอนิมิตตวิโมกข์ ฯ

อัปปณิหิตวิโมกข์เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า นามรูปนี้ว่างจากความเป็นตัวตน และจากสิ่งที่เนื่องด้วยตน เธอย่อมไม่ทำความปรารถนาในนามรูปนั้นเพราะเหตุนั้น วิโมกข์ของภิกษุนั้นจึงเป็นวิโมกข์ไม่มีความปรารถนา นี้เป็นอัปปณิหิตวิโมกข์ ฯ

อัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน ฌาน 4 เป็นอัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์ ฯ

พหิทธาวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน อรูปสมาบัติ 4 เป็นพหิทธาวุฏฐานวิโมกข์ ฯ

ทุภโตวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน อริยมรรค 4 เป็นทุภโตวุฏฐานวิโมกข์ ฯ

[471] วิโมกข์ 4 แต่อัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน ปฐมฌานออกจากนิวรณ์ ทุติยฌานออกจากวิตกวิจาร ตติยฌานออกจากปีติ จตุตถฌานออกจากสุขและทุกข์ นี้เป็นวิโมกข์ 4แต่อัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์ ฯ

วิโมกข์ 4 แต่พหิทธาวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน อากาสานัญจายตนสมาบัติออกจากรูปสัญญา ปฏิฆสัญญา นานัตตสัญญา วิญญาณัญจายตนสมาบัติออกจากอากาสานัญจายตนสัญญาอากิญจัญญายตนสมาบัติ ออกจากวิญญาณัญจายตนสัญญา อากิญจัญญายตนสมาบัติ ออกจากวิญญาณัญจายตนสัญญาเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ออกจากอากิญจัญญายตนสัญญา นี้เป็นวิโมกข์ 4แต่พหิทธาวุฏฐานวิโมกข์ ฯ

วิโมกข์ 4 แต่ทุภโตวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน โสดาปัตติมรรคออกจากสักกายทิฐิวิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ทิฐิอนุสัย วิจิกิจฉานุสัย ออกจากเหล่ากิเลสที่เป็นไปตามสักกายทิฐิเป็นต้นนั้น จากขันธ์ทั้งหลาย และออกจากสรรพนิมิตภายนอก สกทาคามิมรรคออกจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย ส่วนหยาบๆ ออกจากเหล่ากิเลสที่เป็นไปตามกามราคสังโยชน์เป็นต้นนั้น จากขันธ์ทั้งหลาย และออกจากสรรพนิมิตภายนอก อนาคามิมรรคออกจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัยส่วนละเอียดๆ ออกจากเหล่ากิเลสที่เป็นไปตามกามราคสังโยชน์เป็นต้นนั้นจากขันธ์ทั้งหลาย และออกจากสรรพนิมิตภายนอก อรหัตตมรรคออกจากรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา มานานุสัย ภวราคานุสัยอวิชชานุสัย ออกจากเหล่ากิเลสที่เป็นไปตามรูปราคะเป็นต้นนั้น จากขันธ์ทั้งหลาย และออกจากสรรพนิมิตภายนอก นี้เป็นวิโมกข์ 4 แต่ทุภโตวุฏฐานวิโมกข์ ฯ

[472] วิโมกข์ 4 อนุโลมแก่อัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน วิตกวิจาร ปีติ สุขและเอกัคคตาจิตเพื่อประโยชน์แก่การได้ปฐมฌาน ทุติยฌานตติยฌาน จตุตถฌาน นี้เป็นวิโมกข์ 4 อนุโลมแก่อัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์ ฯ

วิโมกข์ 4 อนุโลมแก่พหิทธาวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน วิตก วิจาร ปีติ สุข และเอกัคคตาจิต เพื่อประโยชน์แก่การได้อากาสานัญจายตนสมาบัติวิญญาณัญจายตนสมาบัติ อากิญจัญญายตนสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตน สมาบัติ นี้เป็นวิโมกข์ 4 อนุโลมแก่พหิทธาวุฏฐานวิโมกข์ ฯ

วิโมกข์ 4 อนุโลมแก่ทุภโตวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน อนิจจานุปัสนา ทุกขานุปัสนาอนัตตานุปัสนา เพื่อประโยชน์แก่การได้โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค นี้เป็นวิโมกข์ 4 อนุโลมแก่ทุภโตวุฏฐานวิโมกข์ ฯ

[473] วิโมกข์ 4 ระงับจากอัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน การได้หรือวิบากแห่งปฐมฌาน แห่งทุติยฌาน แห่งตติยฌาน แห่งจตุตถฌาน มีอยู่นี้เป็นวิโมกข์ 4 ระงับจากอัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์ ฯ

วิโมกข์ 4 ระงับจากพหิทธาวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน การได้หรือวิบากแห่งอากาสานัญจายตนสมาบัติ แห่งวิญญาณัญจายตนสมาบัติ แห่งอากิญจัญญายตนสมาบัติ แห่งเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ มีอยู่ นี้เป็นวิโมกข์ 4ระงับจากพหิทธาวุฏฐานวิโมกข์ ฯ

วิโมกข์ 4 ระงับจากทุภโตวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน โสดาปัตติผลแห่งโสดาปัตติมรรคสกทาคามิผลแห่งสกทาคามิมรรค อนาคามิผลแห่งอนาคามิมรรคอรหัตตผลแห่งอรหัตตมรรค นี้เป็นวิโมกข์ 4 ระงับจากทุภโตวุฏฐานวิโมกข์ ฯ

[474] ชื่อว่าวิโมกข์ เพราะอรรถว่า ภิกษุผู้มีรูปย่อมเห็นรูปทั้งหลายอย่างไร ฯ

ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ มนสิการถึงเฉพาะนิมิตสีเขียวในภายใน ย่อมได้เฉพาะนีลสัญญา เธอทำนิมิตนั้นให้เป็นอันถือไว้ดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้วกำหนดไว้ดีแล้ว ครั้นแล้วย่อมน้อมจิตไปในนิมิตสีเสียวภายนอก ย่อมได้เฉพาะนีลสัญญา เธอทำนิมิตนั้นให้เป็นอันถือไว้ดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้ว กำหนดไว้ดีแล้วครั้นแล้วย่อมเสพ เจริญ ทำให้มาก เธอมีความคิดอย่างนี้ว่านิมิตสีเขียวทั้งสองทั้งภายในและภายนอกนี้เป็นรูป เธอเป็นผู้มีความสำคัญว่าเป็นรูป ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ มนสิการถึงเฉพาะนิมิตสีเหลือง ฯลฯ นิมิตสีแดง …นิมิตสีขาวในภายใน ย่อมได้เฉพาะโอทาตสัญญา เธอทำนิมิตนั้นให้เป็นอันถือไว้ดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้ว กำหนดไว้ดีแล้วครั้นแล้วย่อมน้อมจิตไปในนิมิตสีขาวในภายนอก ย่อมได้เฉพาะโอทาตสัญญา เธอทำนิมิตนั้นให้เป็นอันถือไว้ดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้ว กำหนดไว้ดีแล้ว ครั้นแล้วย่อมเสพ เจริญ ทำให้มาก เธอมีความคิดอย่างนี้ว่า นิมิตสีขาวทั้งสองทั้งภายในและภายนอกนี้ เป็นรูปเธอย่อมมีความสำคัญว่าเป็นรูป ชื่อว่าวิโมกข์ เพราะอรรถว่า ภิกษุผู้มีรูปย่อมเห็นรูปทั้งหลายอย่างนี้ ฯ

[475] ชื่อว่าวิโมกข์ เพราะอรรถว่า ภิกษุผู้ไม่มีความสำคัญว่าเป็นรูปในภายใน เห็นรูปทั้งหลายในภายนอก อย่างไร ฯ

ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ ไม่มนสิการถึงเฉพาะนิมิตสีเขียวในภายใน ไม่ได้นีลสัญญา ย่อมน้อมจิตไปในนิมิตสีเขียวภายนอก ย่อมได้นีลสัญญาเธอทำนิมิตนั้นให้เป็นอันถือไว้ดีแล้วทรงจำไว้ดีแล้ว กำหนดไว้ดีแล้ว ครั้นแล้วเธอย่อมเสพ เจริญ ทำให้มาก เธอมีความคิดอย่างนี้ว่า เราไม่มีความสำคัญว่าเป็นรูปในภายใน นิมิตสีเขียวภายนอกนี้เป็นรูป เธอก็มีรูปสัญญา ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ ไม่มนสิการถึงเฉพาะนิมิตสีเหลือง … นิมิตสีแดง …นิมิตสีขาวในภายใน ไม่ได้โอทาตสัญญา ย่อมน้อมจิตไปในนิมิตสีขาวภายนอกย่อมได้โอทาตสัญญา เธอทำนิมิตนั้นให้เป็นอันถือไว้ดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้วกำหนดไว้ดีแล้ว ครั้นแล้วเธอย่อมเสพ เจริญ ทำให้มาก เธอมีความคิดอย่างนี้ว่าเราไม่มีความสำคัญว่าเป็นรูปในภายใน นิมิตสีขาวในภายนอกนี้เป็นรูป เธอก็มีรูปสัญญา ชื่อว่าวิโมกข์ เพราะอรรถว่า ภิกษุผู้ไม่มีความสำคัญว่าเป็นรูปในภายใน เห็นรูปทั้งหลายในภายนอก อย่างนี้ ฯ

[476] ชื่อว่าวิโมกข์ เพราะอรรถว่า ภิกษุน้อมใจไปในธรรมส่วนงามเท่านั้น อย่างไร ฯ

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีใจประกอบด้วยเมตตาแผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวางแผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่าในที่ทุกสถาน ด้วยใจประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวรไม่มีความเบียดเบียนอยู่เพราะเป็นผู้เจริญเมตตา สัตว์ทั้งหลายไม่เป็นที่เกลียดชัง มีใจประกอบด้วยกรุณา ฯลฯ เพราะเป็นผู้เจริญกรุณา สัตว์ทั้งหลายไม่เป็นที่เกลียดชังมีใจประกอบด้วยมุทิตา ฯลฯ เพราะเป็นผู้เจริญมุทิตา สัตว์ทั้งหลายไม่เป็นที่เกลียดชัง มีใจประกอบด้วยอุเบกขา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ฯลฯ เพราะเป็นผู้เจริญอุเบกขา สัตว์ทั้งหลายไม่เป็นที่เกลียดชัง ชื่อว่าวิโมกข์เพราะอรรถว่าภิกษุน้อมใจไปในธรรมส่วนงามเท่านั้น อย่างนี้ ฯ

[477] อากาสานัญจายตนสมาบัติวิโมกข์เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่มนสิการถึงนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวง เข้าอากาสานัญจายตนสมาบัติ ด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุดมิได้ นี้เป็นอากาสานัญจายตนสมาบัติวิโมกข์ ฯ

วิญญาณัญจายตนสมาบัติวิโมกข์เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะล่วงอากาสานัญจายตนสมาบัติโดยประการทั้งปวง เข้าวิญญาณัญจายตนสมาบัติด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ นี้เป็นวิญญาณัญจายตนสมาบัติวิโมกข์ ฯ

อากิญจัญญายตนสมาบัติวิโมกข์เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนสมาบัติโดยประการทั้งปวง เข้าอากิญจัญญายตนสมาบัติด้วยมนสิการว่า สิ่งน้อยหนึ่งไม่มีนี้เป็นอากิญจัญญายตนสมาบัติวิโมกข์ ฯ

เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติวิโมกข์เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะล่วงอากิญจัญญายตนสมาบัติโดยประการทั้งปวง เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ นี้เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติวิโมกข์ ฯ

สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติวิโมกข์เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติโดยประการทั้งปวง เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ นี้เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติวิโมกข์ ฯ

[478] สมยวิโมกข์เป็นไฉน ฌาน 4 และอรูปสมาบัติ 4 นี้เป็นสมยวิโมกข์ ฯ

อสมยวิโมกข์เป็นไฉน อริยมรรค 4 สามัญญผล 4 และนิพพานนี้เป็นอสมยวิโมกข์ ฯ

สามยิกวิโมกข์เป็นไฉน ฌาน 4 และอรูปสมาบัติ 4 นี้เป็นสามยิกวิโมกข์ ฯ

อสามยิกวิโมกข์เป็นไฉน อริยมรรค 4 สามัญญผล 4 และนิพพานนี้เป็นอสามยิกวิโมกข์ ฯ

กุปปวิโมกข์เป็นไฉน ฌาน 4 และอรูปสมาบัติ 4 นี้เป็นกุปปวิโมกข์ ฯ

อกุปปวิโมกข์เป็นไฉน อริยมรรค 4 สามัญญผล 4 และนิพพานนี้เป็นอกุปปวิโมกข์ ฯ

โลกิยวิโมกข์เป็นไฉน ฌาน 4 และอรูปสมาบัติ 4 นี้เป็นโลกิยวิโมกข์ ฯ

โลกุตตรวิโมกข์เป็นไฉน อริยมรรค 4 สามัญญผล 4 และนิพพานนี้เป็นโลกุตตรวิโมกข์ ฯ

สาสววิโมกข์เป็นไฉน ฌาน 4 และอรูปสมาบัติ 4 นี้เป็นสาสววิโมกข์ ฯ

อนาสววิโมกข์เป็นไฉน อริยมรรค 4 สามัญญผล 4 และนิพพานนี้เป็นอนาสววิโมกข์ ฯ

[479] สามิสวิโมกข์เป็นไฉน วิโมกข์ที่ปฏิสังยุตด้วยรูป นี้เป็นสามิสวิโมกข์ ฯ

นิรามิสวิโมกข์เป็นไฉน วิโมกข์ที่ไม่ปฏิสังยุตด้วยรูป นี้เป็นนิรามิสวิโมกข์ ฯ

นิรามิสตรวิโมกข์เป็นไฉน อริยมรรค 4 สามัญญผล 4 และนิพพานนี้เป็นนิรามิสตรวิโมกข์ ฯ

ปณิหิตวิโมกข์เป็นไฉน ฌาน 4 อรูปสมาบัติ 4 นี้เป็นปณิหิตวิโมกข์ ฯ

อัปปณิหิตวิโมกข์เป็นไฉน อริยมรรค 4 สามัญญผล 4 และนิพพานนี้เป็นอัปปณิหิตวิโมกข์ ฯ

ปณิหิตปฏิปัสสัทธิวิโมกข์เป็นไฉน การได้หรือวิบากแห่งปฐมฌานฯลฯ แห่งเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ นี้เป็นปณิหิตปฏิปัสสัทธิวิโมกข์ ฯ

สุญญตวิโมกข์เป็นไฉน ฌาน 4 และอรูปสมาบัติ 4 นี้เป็นสุญญตวิโมกข์ ฯ

วิสุญญตวิโมกข์เป็นไฉน อริยมรรค 4 สามัญญผล 4 และนิพพานนี้เป็นวิสุญญตวิโมกข์ ฯ

เอกัตตวิโมกข์เป็นไฉน อริยมรรค 4 สามัญญผล 4 และนิพพานนี้เป็นเอกัตตวิโมกข์ ฯ

นานัตตวิโมกข์เป็นไฉน ฌาน 4 และอรูปสมาบัติ 4 นี้เป็นนานัตตวิโมกข์ ฯ

[480] สัญญาวิโมกข์เป็นไฉน สัญญาวิโมกข์ 1 เป็นสัญญาวิโมกข์ 10สัญญาวิโมกข์ 10 เป็นสัญญาวิโมกข์ 1 ด้วยสามารถแห่งวัตถุ โดยปริยายพึงมีได้ ฯ

คำว่า พึงมีได้ ความว่า ก็พึงมีได้อย่างไร ฯ

อนิจจานุปัสนาญาณพ้นจากนิจจสัญญา เพราะเหตุนั้น จึงเป็นสัญญาวิโมกข์ ทุกขานุปัสนาญาณพ้นจากสุขสัญญา … อนัตตานุปัสนาญาณพ้นจากอัตตสัญญา … นิพพิทานุปัสนาญาณพ้นจากนันทิสัญญา (ความสำคัญโดยความเพลิดเพลิน) … วิราคานุปัสนาญาณพ้นจากราคสัญญา … นิโรธานุปัสนาญาณพ้นจากสมุทยสัญญา … ปฏินิสสัคคานุปัสนาญาณ พ้นจากอาทานสัญญา (ความสำคัญโดยความถือมั่น) … อนิมิตตานุปัสนาญาณพ้นจากนิมิตตสัญญา … อัปปณิหิตานุปัสนาญาณพ้นจากปณิธิสัญญา … สุญญตานุปัสนาญาณพ้นจากอภินิเวสสัญญา (ความสำคัญโดยความยึดมั่น) … เพราะเหตุนั้นจึงเป็นสัญญาวิโมกข์สัญญาวิโมกข์ 1 เป็นสัญญาวิโมกข์ 10 สัญญาวิโมกข์ 10 เป็นสัญญาวิโมกข์ 1ด้วยสามารถแห่งวัตถุ โดยปริยาย พึงมีได้อย่างนี้ ฯ

ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป พ้นจากนิจจสัญญา เพราะเหตุนั้นจึงเป็นสัญญาวิโมกข์ ฯลฯ ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในรูปพ้นจากอภินิเวสสัญญา เพราะเหตุนั้นจึงเป็นสัญญาวิโมกข์ สัญญาวิโมกข์ 1เป็นสัญญาวิโมกข์ 10 สัญญาวิโมกข์ 10เป็นสัญญาวิโมกข์ 1 ด้วยสามารถแห่งวัตถุ โดยปริยาย พึงมีได้อย่างนี้ ฯ

ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา ฯลฯ ในสัญญา ฯลฯ ในสังขารฯลฯ ในจักษุ ฯลฯ ในชราและมรณะ พ้นจากนิจจสัญญาเพราะเหตุนั้นจึงเป็นสัญญาวิโมกข์ฯลฯ ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในชราและมรณะ พ้นจากอภินิเวสสัญญา เพราะเหตุนั้นจึงเป็นสัญญาวิโมกข์สัญญาวิโมกข์ 1 เป็นสัญญาวิโมกข์ 10 สัญญาวิโมกข์ 10 เป็นสัญญาวิโมกข์ 1ด้วยสามารถแห่งวัตถุโดยปริยาย พึงมีได้อย่างนี้ นี้สัญญาวิโมกข์ ฯ

[481] ญาณวิโมกข์เป็นไฉน ญาณวิโมกข์ 1 เป็นญาณวิโมกข์ 10 ญาณาวิโมกข์10 เป็นญาณวิโมกข์ 1 ด้วยสามารถแห่งวัตถุ โดยปริยาย พึงมีได้ ฯ

คำว่า พึงมีได้ ความว่า ก็พึงมีได้อย่างไร อนิจจานุปัสนายถาภูตญาณ พ้นจากความหลงโดยความเป็นสภาพเที่ยง จากความไม่รู้ เพราะเหตุนั้นจึงเป็นญาณวิโมกข์ ทุกขานุปัสนายถาภูตญาณ พ้นจากความหลงโดยความเป็นสุข จากความไม่รู้ … อนัตตานุปัสนายถาภูตญาณพ้นจากความหลงโดยความเป็นตัวตนจากความไม่รู้ … นิพพิทานุปัสนายถาภูตญาณ พ้นจากความหลงโดยความเพลิดเพลิน จากความไม่รู้ … วิราคานุปัสนายถาภูตญาณพ้นจากความหลงโดยความกำหนัด จากความไม่รู้ … นิโรธานุปัสนายถาภูตญาณ พ้นจากความหลงโดยเป็นเหตุให้เกิด จากความไม่รู้ … ปฏินิสสัคคานุปัสนายถาภูตญาณ พ้นจากความหลงโดยความถือมั่น จากความไม่รู้ … อนิมิตตานุปัสนายถาภูตญาณ พ้นจากความหลงโดยความเป็นนิมิต จากความไม่รู้ …อัปปณิหิตานัสนายถาภูตญาณพ้นจากความหลงโดยความเป็นที่ตั้ง จากความไม่รู้ … สุญญตานุปัสนายถาภูตญาณพ้นจากความหลงโดยความยึดมั่น จากความไม่รู้ เพราะเหตุนั้นจึงเป็นญาณวิโมกข์ญาณวิโมกข์ 1 เป็นญาณวิโมกข์ 10 ญาณวิโมกข์ 10 เป็นญาณวิโมกข์ 1 ด้วยสามารถแห่งวัตถุ โดยปริยาย พึงมีได้อย่างนี้ ฯ

ยถาภูตญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป พ้นจากความหลงโดยความเป็นสภาพเที่ยง จากความไม่รู้ เพราะเหตุนั้นจึงเป็นญาณวิโมกข์ ฯลฯยถาภูตญาณ คือ การพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในรูป พ้นจากความหลงโดยความยึดมั่น จากความรู้ เพราะเหตุนั้นจึงเป็นญาณวิโมกข์ ญาณวิโมกข์ 1 เป็นญาณวิโมกข์ 10 ญาณวิโมกข์ 10 เป็นญาณวิโมกข์ 1 ด้วยสามารถแห่งวัตถุ โดยปริยาย พึงมีได้อย่างนี้ ฯ

ยถาภูตญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา ฯลฯ ในสัญญา ในสังขารในวิญญาณ ในจักษุ ฯลฯ ในชราและมรณะ พ้นจากความหลงโดยความเป็นสภาพเที่ยง จากความไม่รู้ เพราะเหตุนั้นจึงเป็นญาณวิโมกข์ฯลฯ ยถาภูตญาณ คือ การพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในชราและมรณะ พ้นจากความหลงโดยความยึดมั่น จากความไม่รู้ เพราะเหตุนั้นจึงเป็นญาณวิโมกข์ญาณวิโมกข์ 1 เป็นญาณวิโมกข์ 10 ญาณวิโมกข์ 10 เป็นญาณวิโมกข์ 1 ด้วยสามารถแห่งวัตถุโดยปริยาย พึงมีได้อย่างนี้ นี้เป็นญาณวิโมกข์ ฯ

[482] สีติสิยาวิโมกข์เป็นไฉน สีติสิยาวิโมกข์ 1 เป็นสีติสิยาวิโมกข์ 10 สีติสิยาวิโมกข์ 10 เป็นสีติสิยาวิโมกข์ 1 ด้วยสามารถแห่งวัตถุโดยปริยาย พึงมีได้ ฯ

คำว่า พึงมีได้ ความว่า ก็พึงมีได้อย่างไร ฯ

อนิจจานุปัสนา เป็นญาณอันมีความเย็นใจอย่างเยี่ยม พ้นจากความเดือดร้อน ความเร่าร้อนและความกระวนกระวายโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้นจึงเป็นสีติสิยาวิโมกข์ทุกขานุปัสนา … โดยความเป็นสุข … อนัตตานุปัสนา … โดยความเป็นตน … นิพพิทานุปัสนา …โดยความเพลิดเพลิน …วิราคานุปัสนา … โดยความกำหนัด … นิโรธานุปัสนา … โดยความเป็นเหตุเกิดปฏินิสสัคคานุปัสนา … โดยความถือมั่น … อนิมิตตานุปัสนา … โดยมีนิมิตเครื่องหมาย … อัปปณิหิตานุปัสนา … โดยเป็นที่ตั้ง … สุญญตานุปัสนาเป็นญาณอันมีความเย็นใจอย่างเยี่ยม พ้นจากความเดือดร้อน ความเร่าร้อนและความกระวนกระวายโดยความยึดมั่น เพราะเหตุนั้นจึงเป็น สีติสิยาวิโมกข์สีติสิยาวิโมกข์ 1 เป็นสีติยาวิโมกข์ 10 สีติสิยาวิโมกข์ 10 เป็นสีติสิยาวิโมกข์ 1ด้วยสามารถแห่งวัตถุ โดยปริยาย พึงมีได้อย่างนี้ ฯ

การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป เป็นญาณอันมีความเย็นอย่างเยี่ยม พ้นจากความเดือดร้อน ความเร่าร้อนและความกระวนกระวายโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้นจึงเป็นสีติสิยาวิโมกข์ ฯลฯ ด้วยสามารถแห่งวัตถุ โดยปริยายพึงมีได้อย่างนี้ ฯ

การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา ฯลฯ ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ในจักษุ ฯลฯ ในชราและมรณะ เป็นญาณอันมีความเย็นอย่างเยี่ยม พ้นจากความเดือดร้อน ความเร่าร้อนและความกระวนกระวายโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง เพราะเหตุนั้นจึงเป็นสีติสิยาวิโมกข์ฯลฯ สีติสิยาวิโมกข์ 1 เป็นสีติสิยาวิโมกข์ 10 สีติสิยาวิโมกข์ 10 เป็นสีติสิยาวิโมกข์ 1 ด้วยสามารถแห่งวัตถุโดยปริยาย พึงมีได้อย่างนี้ นี้เป็นสีติสิยาวิโมกข์ ฯ

[483] ฌานวิโมกข์เป็นไฉน เนกขัมมะเกิด เผากามฉันทะ เพราะเหตุนั้นจึงเป็นฌาน เนกขัมมะเกิดพ้นไป เผาพ้นไป เพราะเหตุนั้นจึงเป็นฌานวิโมกข์ ธรรมเกิด ย่อมเผา ฌายีบุคคลย่อมรู้กิเลสที่เกิดและที่ถูกเผา เพราะเหตุนั้นจึงเป็นฌานวิโมกข์ ความไม่พยาบาทเกิด เผาความพยาบาท เพราะเหตุนั้นจึงเป็นฌาน ความไม่พยาบาทเกิดพ้นไป เผาพ้นไป … อาโลกสัญญาเกิด เผาถีนมิทธะ เพราะเหตุนั้นจึงเป็นฌาน ความไม่ฟุ้งซ่านเกิด เผาอุทธัจจะ … การกำหนดธรรมเกิดเผาวิจิกิจฉา … ญาณเกิด เผาอวิชชา … ความปราโมทย์เกิดเผาอรติ … ปฐมฌานเกิด เผานิวรณ์เพราะเหตุนั้นจึงเป็นฌาน ฯลฯ อรหัตมรรคเกิด เผากิเลสทั้งปวง เพราะเหตุนั้นจึงเป็นฌาน เกิดพ้นไป เผาพ้นไปเพราะเหตุนั้นจึงเป็นฌานวิโมกข์ ธรรมเกิด ย่อมเผา ฌายีบุคคลย่อมรู้กิเลสที่เกิดและที่ถูกเผา เพราะเหตุนั้นจึงเป็นฌานวิโมกข์ นี้เป็นฌานวิโมกข์ ฯ

[484] อนุปาทาจิตตวิโมกข์เป็นไฉน อนุปาทาจิตตวิโมกข์ 1 เป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ 10 อนุปาทาจิตตวิโมกข์ 10 เป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ 1 ด้วยสามารถแห่งวัตถุ โดยปริยาย พึงมีได้ ฯ

คำว่า พึงมีได้ ความว่า ก็พึงมีได้อย่างไร ฯ

อนิจจานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากความถือมั่นโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้นจึงเป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ ทุกขานุปัสนาญาณ พ้นจากความถือมั่นโดยความเป็นสุข … อนัตตานุปัสนาญาณ พ้นจากความถือมั่นโดยความเป็นตัวตน… นิพพิทานุปัสนาญาณ พ้นจากความถือมั่นโดยความเพลิดเพลิน … วิราคานุปัสนาญาณ พ้นจากความถือมั่นโดยความกำหนัด … นิโรธานุปัสนาญาณ พ้นจากความถือมั่นโดยความเป็นเหตุเกิด … ปฏินิสสัคคานุปัสนาญาณ พ้นจากความถือมั่นโดยความถือผิด … อนิมิตตานุปัสนาญาณ พ้นจากความถือมั่นโดยนิมิต …อัปปณิหิตานุปัสนาญาณ พ้นจากความถือมั่นโดยเป็นที่ตั้ง … สุญญตานุปัสนาญาณพ้นจากความถือมั่นโดยความยึดมั่น เพราะเหตุนั้นจึงเป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์อนุปาทาจิตตวิโมกข์ 1 เป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ 10 อนุปาทาจิตตวิโมกข์ 10เป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ 1 ด้วยสามารถแห่งวัตถุ โดยปริยายพึงมีได้อย่างนี้ ฯ

ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป พ้นจากความถือมั่นโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้นจึงเป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ ฯลฯ ญาณ คือการพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในรูปพ้นจากความถือมั่นโดยความยึดมั่น เพราะเหตุนั้นจึงเป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ อนุปาทาจิตตวิโมกข์ 1เป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ 10 อนุปาทาจิตตวิโมกข์ 10 เป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ 1 ด้วยสามารถแห่งวัตถุ โดยปริยาย พึงมีได้อย่างนี้ ฯ

ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา ฯลฯ ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ในจักษุ ฯลฯ ในชราและมรณะพ้นจากความถือมั่นโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้นจึงเป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความว่างเปล่า ในชราและมรณะ พ้นจากความถือมั่นโดยความยึดมั่นเพราะเหตุนั้นจึงเป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ อนุปาทาจิตตวิโมกข์ 1 เป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ 10 อนุปาทาจิตตวิโมกข์ 10 เป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ 1ด้วยสามารถแห่งวัตถุ โดยปริยาย พึงมีได้อย่างนี้ ฯ

[485] อนิจจานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทานเท่าไร ทุกขานุปัสนาญาณอนัตตานุปัสนาญาณ นิพพิทานุปัสนาญาณ วิราคานุปัสนาญาณ นิโรธานุปัสนาญาณ ปฏินิสสัคคานุปัสนาญาณ อนิมิตตานุปัสนาญาณ อัปปณิหิตานุปัสนาญาณ สุญญตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทานเท่าไร ฯ

อนิจจานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 ทุกขานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 อนัตตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 นิพพิทานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 วิราคานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1นิโรธานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 4 ปฏินิสสัคคานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 4 อนิมิตตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 อัปปณิหิตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 สุญญตานุปัสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 ฯ

[486] อนิจจานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 เป็นไฉน อนิจจานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 คือ ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทานอัตตวาทุปาทาน อนิจจานุปัสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 เหล่านี้ ฯ

ทุกขานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 เป็นไฉน ทุกขานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 คือ กามุปาทาน ทุกขานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 นี้ ฯ

อนัตตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 เป็นไฉน อนัตตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 คือ ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทานอนัตตานุปัสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 เหล่านี้ ฯ

นิพพิทานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 เป็นไฉน นิพพิทานุปัสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 คือ กามุปาทาน นิพพิทานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 นี้ ฯ

วิราคานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 เป็นไฉน วิราคานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 คือ กามุปาทาน วิราคานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 นี้ ฯ

นิโรธานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 4 เป็นไฉน นิโรธานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 4 คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน นิโรธานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 4 เหล่านี้ ฯ

ปฏินิสสัคคานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 4 เป็นไฉน ปฏินิสสัคคานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 4 คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน ปฏินิสสัคคานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 4เหล่านี้ ฯ

อนิมิตตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 เป็นไฉน อนิมิตตานุปัสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 คือ ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน อนิมิตตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 เหล่านี้ ฯ

อัปปณิหิตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 เป็นไฉน อัปปณิหิตานุปัสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 คือ กามุปาทาน อัปปณิหิตานุปัสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 นี้ ฯ

สุญญตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 เป็นไฉน สุญญตานุปัสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 คือ ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน สุญญตานุปัสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 เหล่านี้ ฯ

ญาณ 4 เหล่านี้ คือ อนิจจานุปัสนาญาณ 1 อนัตตานุปัสนาญาณ 1 อนิมิตตานุปัสนาญาณ 1 สุญญตานุปัสนาญาณ 1 ย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 คือทิฏฐุปาทาน 1 สีลัพพตุปาทาน 1 อัตตวาทุปาทาน 1 ญาณ 4 เหล่านี้ คือทุกขานุปัสนาญาณ 1 นิพพิทานุปัสนาญาณ 1วิราคานุปัสนาญาณ 1 อัปปณิหิตานุปัสนาญาณ 1 ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 คือ กามุปาทานญาณ 2เหล่านี้ คือนิโรธานุปัสนาญาณ 1 ปฏินิสสัคคานุปัสนาญาณ 1 ย่อมพ้นจาก อุปาทานทั้ง 4 คือ กามุปาทาน 1 ทิฏฐุปาทาน 1 สีลัพพตุปาทาน 1 อัตตวาทุปาทาน 1 นี้เป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ ฯ

จบวิโมกขกถา ปฐมภาณวาร ฯ

[487] ก็วิโมกข์อันเป็นประธาน 3 นี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความนำออกไปจากโลก ด้วยความที่จิตแล่นไปในอนิมิตตธาตุ โดยความพิจารณาเห็นสรรพสังขาร โดยความหมุนเวียนไปตามกำหนด ด้วยความที่จิตแล่นไปในอัปปณิหิตธาตุโดยความองอาจแห่งใจในสรรพสังขาร และด้วยความที่จิตแล่นไปในสุญญตาธาตุโดยความพิจารณาเห็นธรรมทั้งปวงโดยแปรเป็นอย่างอื่น วิโมกข์อันเป็นประธาน 3 นี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความนำออกไปจากโลก ฯ

[488] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สังขารย่อมปรากฏอย่างไร ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง สังขารย่อมปรากฏโดยความสิ้นไป เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ สังขารย่อมปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา สังขารย่อมปรากฏโดยความเป็นของสูญ ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จิตมากด้วยธรรมอะไร ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง จิตมากด้วยความน้อมไป เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ จิตมากด้วยความสงบ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา จิตมากด้วยความรู้ ฯ

บุคคลผู้มนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง มากด้วยความน้อมใจไป เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ มากด้วยความสงบ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา มากด้วยความรู้ ย่อมได้อินทรีย์เป็นไฉน ฯ

บุคคลผู้มนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง มากด้วยความน้อมใจไป ย่อมได้สัทธินทรีย์ ผู้มนสิการโดยความเป็นทุกข์ มากด้วยความสงบ ย่อมได้สมาธินทรีย์ ผู้มนสิการโดยความเป็นอนัตตา มากด้วยความรู้ ย่อมได้ปัญญินทรีย์ ฯ

[489] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง มากด้วยความน้อมใจเชื่อ อินทรีย์ที่เป็นใหญ่เป็นไฉน อินทรีย์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามอินทรีย์นั้นมีเท่าไร ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย (ปัจจัยเกิดร่วมกัน) เป็นอัญญมัญญปัจจัย(เป็นปัจจัยของกันและกัน) เป็นนิสสยปัจจัย (ปัจจัยที่อาศัยกัน) เป็นสัมปยุตตปัจจัย (ปัจจัยที่ประกอบกัน) เป็นธรรมมีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่าภาวนาเพราะอรรถว่ากระไร ใครย่อมเจริญ เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ มากไปด้วยความสงบ อินทรีย์ที่เป็นใหญ่เป็นไฉน … เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตามากไปด้วยความรู้ อินทรีย์ที่เป็นใหญ่เป็นไฉน อินทรีย์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามอินทรีย์นั้นมีเท่าไร ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัยนิสสยปัจจัยสัมปยุตตปัจจัย เป็นธรรมมีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่าภาวนา เพราะอรรถว่ากระไรใครย่อมเจริญ ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง มากไปด้วยความน้อมใจเชื่อ สัทธินทรีย์เป็นใหญ่ อินทรีย์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามสัทธินทรีย์นั้นมี 4 ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย … เป็นธรรมมีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่าภาวนา เพราะอรรถว่ามีกิจเป็นอันเดียวกัน ผู้ใดปฏิบัติชอบ ผู้นั้นย่อมเจริญการเจริญอินทรีย์ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้ปฏิบัติผิด เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ มากไปด้วยความสงบสมาธินทรีย์เป็นใหญ่ … เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตามากไปด้วยความรู้ ปัญญินทรีย์เป็นใหญ่อินทรีย์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามสมาธินทรีย์นั้นมี 4 ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย เป็นธรรมมีกิจเป็นอันเดียวกันชื่อว่าภาวนา เพราะอรรถว่ามีกิจเป็นอันเดียวกัน ผู้ใดปฏิบัติชอบผู้นั้นย่อมเจริญ การเจริญอินทรีย์ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้ปฏิบัติผิด ฯ

[490] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง มากไปด้วยความน้อมใจเชื่อ อินทรีย์ที่เป็นใหญ่เป็นไฉน อินทรีย์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามอินทรีย์นั้นมีเท่าไร ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย เป็นอัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัยเป็นสัมปยุตตปัจจัยในเวลาแทงตลอด มีอินทรีย์อะไรเป็นใหญ่อินทรีย์แห่งปฏิเวธที่เป็นไปตามอินทรีย์นั้นมีเท่าไร ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัยย์นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย เป็นธรรมมีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่าภาวนา เพราะอรรถว่ากระไรชื่อว่าปฏิเวธ เพราะอรรถว่ากระไร ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ มากไปด้วยความสงบ อินทรีย์ที่เป็นใหญ่เป็นไฉน … ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา มากไปด้วยความรู้ อินทรีย์ที่เป็นใหญ่เป็นไฉน … ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง มากไปด้วยความน้อมใจเชื่อ สัทธินทรีย์เป็นใหญ่ อินทรีย์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามสัทธินทรีย์นั้นมี 4 ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัยนิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย ในเวลาแทงตลอด ปัญญินทรีย์เป็นใหญ่ อินทรีย์แห่งปฏิเวธที่เป็นไปตามปัญญินทรีย์นั้นมี 4 ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัยเป็นธรรมมีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่าภาวนา เพราะอรรถว่ามีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่าปฏิเวธเพราะอรรถว่าเห็น ด้วยอาการอย่างนี้ แม้บุคคลผู้แทงตลอดก็ย่อมเจริญ แม้ผู้เจริญก็ย่อมแทงตลอด ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ มากไปด้วยความสงบ สมาธินทรีย์เป็นใหญ่ … ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา มากไปด้วยความรู้ ปัญญินทรีย์เป็นใหญ่ … ฯ

[491] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง อินทรีย์อะไรมีประมาณยิ่ง เพราะอินทรีย์อะไรมีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นสัทธาธิมุต เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ อินทรีย์อะไรมีประมาณยิ่ง เพราะอินทรีย์อะไรมีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นกายสักขี เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา อินทรีย์อะไรมีประมาณยิ่ง เพราะอินทรีย์อะไรมีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นทิฐิปัตตะ ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นสัทธาธิมุต เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ สมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นกายสักขี เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นทิฐิปัตตะ ฯ

[492] บุคคลผู้เชื่อน้อมใจไป เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่าสัทธาธิมุต บุคคลทำให้แจ้งเพราะเป็นผู้ถูกต้องธรรม เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่ากายสักขี บุคคลบรรลุแล้วเพราะเป็นผู้เห็นธรรม เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่าทิฐิปัตตะ บุคคลเชื่ออยู่ย่อมน้อมใจไป เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่าสัทธาธิมุตบุคคลถูกต้องฌานก่อน ภายหลังจึงกระทำให้แจ้งซึ่งนิพพานอันเป็นที่ดับ เพราะเหตุนั่นจึงชื่อว่ากายสักขี ญาณความรู้ว่า สังขารเป็นทุกข์ นิโรธเป็นสุข เป็นญาณอันบุคคลเห็นแล้ว ทราบแล้วทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่าทิฐิปัตตะ บุคคล 3 จำพวกนี้ คือสัทธาธิมุตบุคคล 1 กายสักขีบุคคล 1 ทิฐิปัตตบุคคล 1พึงเป็นสัทธาธิมุตก็ได้ เป็นกายสักขีก็ได้ เป็นทิฐิปัตตะก็ได้ ด้วยสามารถแห่งวัตถุโดยปริยาย ฯ

คำว่า พึงเป็น คือ พึงเป็นอย่างไรเล่า ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลพึงเป็นสัทธาธิมุต เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง …เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตาสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นสัทธาธิมุตบุคคล 3 จำพวกนี้ เป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์อย่างนี้ ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ สมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นกายสักขี เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา สมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง … เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยงสมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสมาธินทรีย์มีประมาณยิ่งบุคคลจึงเป็นกายสักขีบุคคล 3 จำพวกนี้ เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์อย่างนี้ ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นทิฐิปัตตะ เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง…เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นทิฐิปัตตะ บุคคล 3จำพวกนี้ เป็นทิฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์อย่างนี้คือ สัทธาธิมุตบุคคล1 กายสักขีบุคคล 1 ทิฐิปัตตบุคคล 1 พึงเป็นสัทธาธิมุตก็ได้ เป็นกายสักขีก็ได้เป็นทิฐิปัตตะก็ได้ อย่างนี้ ฯ

บุคคล 3 จำพวกนี้ คือ สัทธาธิมุตบุคคล 1 กายสักขีบุคคล 1 ทิฐิปัตตบุคคล 1เป็นสัทธาธิมุตอย่างหนึ่ง เป็นกายสักขีอย่างหนึ่ง เป็นทิฐิปัตตะอย่างหนึ่ง เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่งเพราะสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง จึงเป็นสัทธาธิมุตบุคคล เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ สมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง จึงเป็นกายสักขีบุคคล เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่งเพราะปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง จึงเป็นทิฐิปัตตบุคคล บุคคล 3 จำพวกนี้ คือสัทธาธิมุตบุคคล 1 กายสักขีบุคคล 1 ทิฐิปัตตบุคคล 1 เป็นสัทธาธิมุตอย่างหนึ่งเป็นกายสักขีอย่างหนึ่ง เป็นทิฐิปัตตะอย่างหนึ่งอย่างนี้ ฯ

[493] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง สัทธินทรีย์มี ประมาณยิ่ง เพราะสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงได้โสดาปัตติมรรค เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า เป็นสัทธานุสารีบุคคล อินทรีย์ที่เป็นไปตามสัทธินทรีย์นั้นมี 4 ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัยการเจริญอินทรีย์ 4 ย่อมมีด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งได้โสดาปัตติมรรคด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นสัทธานุสารีบุคคล เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่งเพราะสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่งบุคคลจึงทำให้แจ้งโสดาปัตติผล เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า เป็นสัทธาธิมุตบุคคล อินทรีย์ที่เป็นไปตามสัทธินทรีย์นั้นมี 4ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย อินทรีย์ 4เป็นอันบุคคลเจริญแล้ว เจริญดีแล้ว ด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ทำให้แจ้งโสดาปัตติผลด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นสัทธาธิมุตบุคคลเมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงได้สกทาคามิมรรค ฯลฯทำให้แจ้งสกทาคามิผล ได้อนาคามิมรรคทำให้แจ้งอนาคามิผล ได้อรหัตมรรคทำให้แจ้งอรหัตผล เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า เป็นสัทธาธิมุตบุคคล อินทรีย์ที่เป็นไปตามสัทธินทรีย์นั้นมี 4 ฯลฯ สัมปยุตตปัจจัย อินทรีย์ 4 เป็นอันบุคคลเจริญแล้ว เจริญดีแล้ว ด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ทำให้แจ้งอรหัตผลด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นสัทธาธิมุต ฯ

[494] เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ สมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงได้โสดาปัตติมรรค เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า เป็นกายสักขีบุคคล อินทรีย์ที่ไปตามสมาธินทรีย์นั้นมี 4 ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย … สัมปยุตตปัจจัย การเจริญอินทรีย์ 4 ย่อมมีด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ได้โสดาปัตติมรรคด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นกายสักขี เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์สมาธินทรีย์มีประมาณยิ่งเพราะสมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงทำให้แจ้งโสดาปัตติผล ฯลฯ ได้สกทาคามิมรรค ทำให้แจ้งสกทาคามิผล ได้อนาคามิมรรคทำให้แจ้งอนาคามิผล ได้อรหัตมรรค ทำให้แจ้งอรหัตผล เพราะเหตุนั้นจึงกล่าวว่าเป็นกายสักขีบุคคล อินทรีย์ที่เป็นไปตามสมาธินทรีย์นั้นมี 4 ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย… สัมปยุตตปัจจัย อินทรีย์ 4 เป็นอันบุคคลเจริญแล้ว เจริญดีแล้ว ด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ทำให้แจ้งอรหัตผลด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นกายสักขี ฯ

[495] เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ปัญญินทรีย์ มีประมาณยิ่ง เพราะปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงได้โสดาปัตติมรรค เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า เป็นธรรมานุสารีบุคคลอินทรีย์ที่เป็นไปตามปัญญินทรีย์นั้นมี 4ฯลฯ สัมปยุตตปัจจัย การเจริญอินทรีย์ 4 ย่อมมีได้ด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ได้โสดาปัตติมรรคด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นธรรมานุสารี เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงทำให้แจ้งโสดาปัตติผลเพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า เป็นทิฐิปัตตบุคคล อินทรีย์ที่เป็นไปตามปัญญินทรีย์นั้นมี 4 ฯลฯ สัมปยุตตปัจจัย อินทรีย์ 4 เป็นอันบุคคลเจริญแล้ว เจริญดีแล้ว ด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ทำให้แจ้งโสดาปัตติผลด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นทิฐิปัตตะ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่งบุคคลจึงได้สกทาคามิมรรค ฯลฯ ทำให้แจ้งสกทาคามิผล ได้อนาคามิมรรคทำให้แจ้งอนาคามิผล ได้อรหัตมรรค ทำให้แจ้งอรหัตผล เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า เป็นทิฐิปัตตบุคคล อินทรีย์ที่เป็นไปตามปัญญินทรีย์นั้นมี 4 ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย อินทรีย์ 4 เป็นอันบุคคลเจริญแล้ว เจริญดีแล้ว ด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ทำให้แจ้งอรหัตผลด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นทิฐิปัตตะ ฯ

[496] ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งเจริญแล้ว ย่อมเจริญ หรือจักเจริญซึ่งเนกขัมมะ บรรลุแล้ว ย่อมบรรลุ หรือจักบรรลุ ถึงแล้ว ย่อมถึง หรือจักถึงได้แล้ว ย่อมได้ หรือจักได้แทงตลอดแล้ว ย่อมแทงตลอด หรือจักแทงตลอดทำให้แจ้งแล้ว ย่อมทำให้แจ้ง หรือจักทำให้แจ้ง ถูกต้องแล้ว ย่อมถูกต้องหรือจักถูกต้อง ถึงความชำนาญแล้ว ย่อมถึงความชำนาญ หรือจักถึงความชำนาญถึงความสำเร็จแล้ว ย่อมถึงความสำเร็จ หรือว่าจักถึงความสำเร็จ ถึงความแกล้วกล้าแล้ว ย่อมถึงความแกล้วกล้า หรือจักถึงความแกล้วกล้า บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ เป็นทิฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ ฯ

[497] บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งเจริญแล้ว ย่อมเจริญ หรือจักเจริญ ซึ่งความไม่พยาบาท ฯลฯ อาโลกสัญญา ความไม่ฟุ้งซ่าน การกำหนดธรรม ญาณความปราโมทย์ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌานอากาสานัญจายตนสมาบัติวิญญาณัญจายตนสมาบัติอากิญจัญญายตนสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ อนิจจานุปัสนา ทุกขานุปัสนาอนัตตานุปัสนา นิพพิทานุปัสนา วิราคานุปัสนา นิโรธานุปัสนา ปฏินิสสัคคานุปัสนาขยานุปัสนา วยานุปัสนา วิปริณามานุปัสนา อนิมิตตานุปัสนา สุญญตานุปัสนา อธิปัญญาธรรมวิปัสนา ยถาภูตญาณทัสนะ อาทีนวานุปัสนา ปฏิสังขานุปัสนา วิวัฏฏนานุปัสนาโสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรคอรหัตมรรค ฯ

ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งเจริญแล้ว ย่อมเจริญ หรือจักเจริญ ซึ่งสติปัฏฐาน 4สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์7 อริยมรรคมีองค์ 8 ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งเจริญแล้ว ย่อมเจริญ หรือจักเจริญ ซึ่งวิโมกข์ 8 บรรลุแล้ว ย่อมบรรลุ หรือจักบรรลุถึงแล้ว ย่อมถึงหรือจักถึง ได้แล้ว ย่อมได้ หรือจักได้ แทงตลอดแล้ว ย่อมแทงตลอด หรือจักแทงตลอด ทำให้แจ้งแล้ว ย่อมทำให้แจ้ง หรือจักทำให้แจ้ง ถูกต้องแล้วย่อมถูกต้อง หรือจักถูกต้อง ถึงความชำนาญแล้ว ย่อมถึงความชำนาญ หรือจักถึงความชำนาญ ถึงความสำเร็จแล้วย่อมถึงความสำเร็จ หรือจักถึงความสำเร็จ ถึงความแกล้วกล้าแล้ว ย่อมถึงความแกล้วกล้า หรือจักถึงความแกล้วกล้า บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ เป็นทิฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ ฯ

[498] ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง บรรลุแล้ว ย่อมบรรลุ หรือจักบรรลุซึ่งปฏิสัมภิทา4 ฯลฯ บุคคลทั้งหมดนั้น เป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ เป็นทิฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ ฯ

ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งแทงตลอดแล้ว ย่อมแทงตลอด หรือจักแทงตลอดซึ่งวิชชา 3ฯลฯ บุคคลทั้งหมดนั้น เป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ เป็นทิฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ ฯ

ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งศึกษาแล้ว ย่อมศึกษา หรือจักศึกษาซึ่งสิกขา 4 ทำให้แจ้งแล้ว ย่อมทำให้แจ้ง หรือจักทำให้แจ้ง ถูกต้องแล้ว ย่อมถูกต้องหรือจักถูกต้อง ถึงความชำนาญแล้ว ย่อมถึงความชำนาญ หรือจักถึงความชำนาญถึงความสำเร็จแล้ว ย่อมถึงความสำเร็จ หรือจักถึงความสำเร็จ ถึงความแกล้วกล้าแล้ว ย่อมถึงความแกล้วกล้า หรือจักถึงความแกล้วกล้า บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์เป็นทิฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ ฯ

ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งกำหนดรู้ทุกข์ ละสมุทัย ทำให้แจ้งนิโรธ เจริญมรรคบุคคลทั้งหมดนั้น เป็นสัทธาธิมุต ด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ เป็นทิฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ ฯ

[499] การแทงตลอดสัจจะ ย่อมมีได้ด้วยอาการเท่าไร บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะด้วยอาการเท่าไร ฯ

การแทงตลอดสัจจะย่อมมีได้ด้วยอาการ 4 บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะด้วยอาการ 4คือ บุคคลย่อมแทงตลอดทุกขสัจเป็นการแทงตลอดด้วยปริญญาแทงตลอดสมุทยสัจ เป็นการแทงตลอดด้วยปหานะ แทงตลอดนิโรธสัจ เป็นการแทงตลอดด้วยสัจฉิกิริยา แทงตลอดมรรคสัจ เป็นการแทงตลอดด้วยภาวนาการแทงตลอดสัจจะย่อมมีได้ด้วยอาการ 4 นี้ บุคคลแทงตลอดสัจจะด้วยอาการ4 นี้ เป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์เป็นทิฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ ฯ

การแทงตลอดสัจจะย่อมมีได้ด้วยอาการเท่าไร บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะด้วยอาการเท่าไร ฯ

การแทงตลอดสัจจะย่อมมีได้ด้วยอาการ 9 บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะด้วยอาการ 9 คือย่อมแทงตลอดทุกขสัจ เป็นการแทงตลอดด้วยปริญญา แทงตลอดสมุทยสัจ เป็นการแทงตลอดด้วยสัจฉิกิริยา แทงตลอดมรรคสัจ เป็นการแทงตลอดด้วยภาวนา การแทงตลอดด้วยการเจริญมรรคสัจ การแทงตลอดด้วยอาการกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง การแทงตลอดด้วยการละสังขารทั้งปวงการแทงตลอดด้วยการเจริญกุศลทั้งปวง และการแทงตลอดด้วยการทำให้แจ้งมรรค 4 แห่งนิโรธ การแทงตลอดสัจจะย่อมมีได้ด้วยอาการ 9 นี้ บุคคลแทงตลอดสัจจะด้วยอาการ 9 นี้ เป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ เป็นทิฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ ฯ

จบทุติยภาณวาร

[500] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา สังขารย่อมปรากฏอย่างไร ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง สังขารย่อมปรากฏโดยความสิ้นไป เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ สังขารย่อมปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา สังขารย่อมปรากฏโดยความเป็นของว่างเปล่า ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา จิตย่อมมากด้วยอะไร ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง จิตย่อมมากด้วยความน้อมใจเชื่อ เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์จิตย่อมมากด้วยความสงบ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา จิตย่อมมากด้วยความรู้ ฯ

บุคคลมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นผู้มากด้วยความน้อมใจเชื่อ มนสิการโดยความเป็นทุกข์ เป็นผู้มากด้วยความสงบ มนสิการโดยความเป็นอนัตตา เป็นผู้มากด้วยความรู้ย่อมได้วิโมกข์เป็นไฉน ฯ

บุคคลมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นผู้มากด้วยความน้อมใจเชื่อ ย่อมได้อนิมิตตวิโมกข์ มนสิการโดยความเป็นทุกข์ เป็นผู้มากด้วยความสงบย่อมได้อัปปณิหิตวิโมกข์มนสิการโดยความเป็นอนัตตา เป็นผู้มากด้วยความรู้ย่อมได้สุญญตวิโมกข์ ฯ

[501] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นผู้มากด้วยความน้อมใจเชื่อ วิโมกข์อะไรเป็นใหญ่ วิโมกข์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามวิโมกข์นั้นมีเท่าไร ทั้งเป็นสหชาตปัจจัยอัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัยมีกิจอันเดียวกันชื่อว่าภาวนา เพราะอรรถว่ากระไรใครเจริญ ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ เป็นผู้มากด้วยความสงบ วิโมกข์อะไรเป็นใหญ่ … ใครเจริญ ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา เป็นผู้มากด้วยความรู้ วิโมกข์อะไรเป็นใหญ่ … ใครเจริญ ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นผู้มากด้วยความน้อมใจเชื่อ อนิมิตตวิโมกข์เป็นใหญ่ วิโมกข์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามอนิมิตตวิโมกข์นั้นมี 2ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย … มีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่าภาวนา เพราะอรรถว่ามีกิจเป็นอันเดียวกัน ผู้ใดปฏิบัติชอบ ผู้นั้นเจริญ การเจริญวิโมกข์ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้ปฏิบัติผิด ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์เป็นผู้มากด้วยความสงบ อัปปณิหิตวิโมกข์เป็นใหญ่วิโมกข์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามอัปปณิหิตวิโมกข์นั้นมี 2 ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย … การเจริญวิโมกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ปฏิบัติผิด ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา เป็นผู้มากด้วยความรู้ สุญญตวิโมกข์เป็นใหญ่วิโมกข์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามสุญญตวิโมกข์นั้นมี 2 ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย … การเจริญวิโมกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ปฏิบัติผิด ฯ

[502] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นผู้มากด้วยความน้อมใจเชื่อวิโมกข์อะไรเป็นใหญ่ วิโมกข์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามวิโมกข์นั้นมีเท่าไร ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย มีกิจเป็นอันเดียวกันชื่อว่าภาวนา เพราะอรรถว่ามีกิจเป็นอันเดียวกัน ในเวลาแทงตลอด วิโมกข์ไหนเป็นใหญ่ วิโมกข์แห่งการแทงตลอดที่เป็นไปตามวิโมกข์นั้นมีเท่าไร ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย มีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่าภาวนา เพราะอรรถว่ากระไร ชื่อว่าปฏิเวธ เพราะอรรถว่ากระไร ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ เป็นผู้มากด้วยความสงบ วิโมกข์อะไรเป็นใหญ่ … ชื่อว่าปฏิเวธ เพราะอรรถว่ากระไร ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา เป็นผู้มากด้วยความรู้ วิโมกข์อะไรเป็นใหญ่ … ชื่อว่าปฏิเวธ เพราะอรรถว่ากระไร ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นผู้มากด้วยความน้อมใจเชื่อ อนิมิตตวิโมกข์เป็นใหญ่ วิโมกข์แห่งภาวนา ที่เป็นไปตามอนิมิตตวิโมกข์นั้นมี 2 ทั้งเป็นสหชาตปัจจัยอัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัยมีกิจเป็นอันเดียวกัน แม้ในเวลาแทงตลอดอนิมิตตวิโมกข์ก็เป็นใหญ่ วิโมกข์แห่งการแทงตลอดที่เป็นไปตามอนิมิตตวิโมกข์นั้นก็มี 2 ทั้งเป็นสหชาตปัจจัยอัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย มีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่าภาวนาเพราะอรรถว่ามีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่าปฏิเวธ เพราะอรรถว่าเห็นแม้บุคคลผู้แทงตลอดอย่างนี้ก็ชื่อว่าเจริญ แม้ผู้เจริญก็ชื่อว่าแทงตลอด ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ เป็นผู้มากด้วยความสงบ อัปปณิหิตวิโมกข์เป็นใหญ่วิโมกข์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามอัปปณิหิตวิโมกข์นั้นมี 2 ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย … มีกิจเป็นอันเดียวกัน แม้ในเวลาแทงตลอด อัปปณิหิตวิโมกข์ก็เป็นใหญ่ วิโมกข์แห่งการแทงตลอดที่เป็นไปตามอัปปณิหิตวิโมกข์นั้นก็มี 2 ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย … แม้ผู้เจริญก็ชื่อว่าแทงตลอด ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา เป็นผู้มากด้วยความรู้ สุญญตวิโมกข์เป็นใหญ่วิโมกข์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามสุญญตวิโมกข์นั้นมี 2 ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย … มีกิจเป็นอันเดียวกัน แม้ในเวลาแทงตลอด สุญญตวิโมกข์ก็เป็นใหญ่วิโมกข์แห่งการแทงตลอดที่เป็นไปตามสุญญตวิโมกข์นั้นก็มี 2 ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย … แม้ผู้เจริญก็ชื่อว่าแทงตลอด ฯ

[503] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง วิโมกข์อะไรมีประมาณยิ่ง เพราะวิโมกข์อะไรมีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นสัทธาธิมุต เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ วิโมกข์อะไรมีประมาณยิ่ง เพราะวิโมกข์อะไรมีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นกายสักขี เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา วิโมกข์อะไรมีประมาณยิ่ง เพราะวิโมกข์อะไรมีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นทิฐิปัตตะ ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง อนิมิตตวิโมกข์มีประมาณยิ่ง พราะอนิมิตตวิโมกข์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นสัทธาธิมุต เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์มีประมาณยิ่ง เพราะอัปปณิหิตวิโมกข์มีประมาณยิ่งบุคคลจึงเป็นกายสักขี เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา สุญญตวิโมกข์มีประมาณยิ่ง เพราะสุญญตวิโมกข์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นทิฐิปัตตะ ฯ

[504] บุคคลเชื่อน้อมใจไป เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าสัทธาธิมุตบุคคล คคลทำให้แจ้งเพราะเป็นผู้ถูกต้องธรรม เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่ากายสักขีบุคคลบุคคลถึงแล้วเพราะเป็นผู้เห็นธรรมเพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าทิฐิปัตตบุคคล บุคคลเชื่อย่อมน้อมใจไป เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าสัทธาธิมุตตบุคคล บุคคลถูกต้องฌานก่อน ภายหลังจึงทำให้แจ้งนิพพานอันเป็นที่ดับ เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่ากายสักขีบุคคล ญาณความรู้ว่า สังขารเป็นทุกข์ นิโรธเป็นสุข เป็นญาณอันบุคคลเห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้ว ด้วยปัญญา เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่าทิฐิปัตตบุคคล ฯ

ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งเจริญแล้วหรือจักเจริญซึ่งเนกขัมมะ ฯลฯ บุคคลทั้งหมดนั้น เป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งอนิมิตตวิโมกข์ เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งอัปปณิหิตวิโมกข์เป็นทิฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งสุญญตวิโมกข์ ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งเจริญแล้ว ย่อมเจริญหรือจักเจริญซึ่งความไม่พยาบาทอาโลกสัญญา ฯลฯ ความไม่ฟุ้งซ่าน ฯ

ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งกำหนดรู้ทุกข์ ละสมุทัย ทำให้แจ้งนิโรธ เจริญมรรคบุคคลทั้งหมดนั้น เป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งอนิมิตตวิโมกข์เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งอัปปณิหิตวิโมกข์ เป็นทิฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งสุญญตวิโมกข์ ฯ

[505] การแทงตลอดสัจจะ ย่อมมีได้ด้วยอาการเท่าไร บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะได้ด้วยอาการเท่าไร ฯ

การแทงตลอดสัจจะย่อมมีได้ด้วยอาการ 4 บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะได้ด้วยอาการ 4คือ ย่อมแทงตลอดทุกขสัจ เป็นการแทงตลอดด้วยปริญญาแทงตลอดสมุทัยสัจ เป็นการแทงตลอดด้วยปหานะ แทงตลอดนิโรธสัจเป็นการแทงตลอดด้วยสัจฉิกิริยา แทงตลอดมรรคสัจเป็นการแทงตลอดด้วยภาวนา การแทงตลอดสัจจะย่อมมีด้วยอาการ 4 นี้ บุคคลแทงตลอดสัจจะ ด้วยอาการ 4 นี้ เป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งอนิมิตตวิโมกข์ เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งอัปปณิหิตวิโมกข์ เป็นทิฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งสุญญตวิโมกข์ ฯ

การแทงตลอดสัจจะย่อมมีได้ด้วยอาการเท่าไร บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะได้ด้วยอาการเท่าไร ฯ

การแทงตลอดสัจจะย่อมมีได้ด้วยอาการ 9 บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะได้ด้วยอาการ 9คือ ย่อมแทงตลอดทุกขสัจ เป็นการแทงตลอดด้วยปริญญา ฯลฯและการแทงตลอดด้วยการทำให้แจ้งซึ่งมรรค 4 แห่งนิโรธ การแทงตลอดสัจจะย่อมมีได้ด้วยอาการ 9 นี้ บุคคลแทงตลอดสัจจะด้วยอาการ 9 นี้ เป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งอนิมิตตวิโมกข์ เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งอัปปณิหิตวิโมกข์เป็นทิฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งสุญญตวิโมกข์ ฯ

[506] เมื่อบุคคลมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ย่อมรู้ย่อมเห็นธรรมเหล่าไหนตามความเป็นจริง สัมมาทัศนะ ความเห็นชอบย่อมมีได้อย่างไร สังขารทั้งปวงเป็นสภาพอันบุคคลเห็นดีแล้ว โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยงด้วยความเป็นไปตามสัมมาทัศนะนั้น อย่างไร บุคคลย่อมละความสงสัยได้ที่ไหน ฯ

เมื่อบุคคลมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ย่อมรู้ย่อมเห็นธรรมเหล่าไหนตามความเป็นจริงความเห็นชอบย่อมมีได้อย่างไร สังขารทั้งปวงเป็นสภาพอันบุคคลเห็นดีแล้วโดยความเป็นทุกข์ … ฯ

เมื่อบุคคลมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ย่อมรู้ย่อมเห็นธรรมเหล่าไหนตามความเป็นจริง ความเห็นชอบย่อมมีได้อย่างไร ธรรมทั้งปวงเป็นธรรมอันบุคคลเห็นดีแล้ว โดยความเป็นอนัตตา ด้วยความเป็นไปตามสัมมาทัศนะนั้น อย่างไรบุคคลย่อมละความสงสัยได้ในที่ไหน ฯ

เมื่อบุคคลมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ย่อมรู้ ย่อมเห็นนิมิตตามความเป็นจริงเพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า สัมมาทัศนะ สังขารทั้งปวงเป็นสภาพอันบุคคลเห็นดีแล้วโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ด้วยความเป็นไปตามสัมมาทัศนะนั้นอย่างนี้ บุคคลย่อมละความสงสัยได้ในสัมมาทัศนะนี้ ฯ

เมื่อบุคคลมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ย่อมรู้ย่อมเห็นความเป็นไปตามความเป็นจริงเพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่าสัมมาทัศนะ สังขารทั้งปวงเป็นสภาพอันบุคคลเห็นดีแล้วโดยความเป็นทุกข์ ด้วยความเป็นไปตามสัมมาทัศนะนั้นอย่างนี้ บุคคลย่อมละความสงสัยได้ในสัมมาทัศนะนี้ ฯ

เมื่อบุคคลมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ย่อมรู้ย่อมเห็นนิมิตและความเป็นไปตามความเป็นจริง เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า สัมมาทัศนะ ธรรมทั้งปวงเป็นธรรมอันบุคคลเห็นดีแล้วโดยความเป็นอนัตตา ด้วยความเป็นไปตามสัมมาทัศนะนั้น อย่างนี้ บุคคลย่อมละความสงสัยได้ในสัมมาทัศนะนี้ ฯ

ธรรมเหล่านี้ คือ ยถาภูตญาณ สัมมาทัศนะ และกังขาวิตรณะ (ปัญญาเครื่องข้ามความสงสัย) มีอรรถต่างกันและมีพยัญชนะต่างกัน หรือมีอรรถอย่างเดียวกันต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น ฯ

ธรรมเหล่านี้ คือ ยถาภูตญาณ สัมมาทัศนะ และกังขาวิตรณะ มีอรรถอย่างเดียวกันต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น ฯ

[507] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา อะไรย่อมปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง นิมิตย่อมปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัวเมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ความเป็นไปย่อมปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ทั้งนิมิตและความเป็นไปย่อมปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว ฯ

ธรรมเหล่านี้ คือ ปัญญาในความปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว อาทีนวญาณ และนิพพิทา มีอรรถต่างกัน และมีพยัญชนะต่างกัน หรือมีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น ฯ

ธรรมเหล่านั้น คือ ปัญญาในความปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว อาทีนวญาณ และนิพพิทา มีอรรถอย่างเดียวกันต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น ฯ

ธรรมเหล่านี้ คือ อนัตตานุปัสนา และสุญญตานุปัสนา มีอรรถต่างกัน และมีพยัญชนะต่างกัน หรือมีอรรถอย่างเดียวกันต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น ฯ

ธรรมเหล่านี้ คือ อนัตตานุปัสนา และสุญญตานุปัสนา มีอรรถอย่างเดียวกันต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น ฯ

[508] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ญาณ คือ การพิจารณาอะไรย่อมเกิดขึ้น ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ญาณ คือ การพิจารณานิมิต ย่อมเกิดขึ้น เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ญาณ คือ การพิจารณาความเป็นไปย่อมเกิดขึ้น เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ญาณ คือ การพิจารณาทั้งนิมิตและความเป็นไปย่อมเกิดขึ้น ฯ

ธรรมเหล่านี้ คือ มุญจิตุกัมยตาญาณ ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ และสังขารุเปกขาญาณ มีอรรถต่างกันและมีพยัญชนะต่างกัน หรือมีอรรถอย่างเดียวกันต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น ฯ

ธรรมเหล่านี้ คือ มุญจิตุกัมยตาญาณ ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ และสังขารุเปกขาญาณมีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตาจิตย่อมออกไปจากอะไร ย่อมแล่นไปในที่ไหน ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง จิตย่อมออกไปจากนิมิต ย่อมแล่นไปในนิพพานอันไม่มีนิมิต เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ จิตย่อม ออกไปจากความเป็นไป ย่อมแล่นไปในนิพพานอันไม่มีความเป็นไป เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา จิตย่อมออกไปจากนิมิตและความเป็นไป ย่อมแล่นไปในนิพพานธาตุอันเป็นที่ดับ ซึ่งไม่มีนิมิต ไม่มีความเป็นไป ฯ

ธรรมเหล่านี้ คือ ปัญญาในความออกไปและความหลีกไปภายนอก และโคตรภูธรรม มีอรรถต่างกันและมีพยัญชนะต่างกันหรือมีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น ฯ

ธรรมเหล่านี้ คือ ปัญญาในความออกไปและความหลีกไปภายนอก และโคตรภูธรรมมีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น ฯ

เมื่อบุคคลมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ย่อมหลุดพ้นไปด้วยวิโมกข์อะไร ฯ

เมื่อบุคคลมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ย่อมหลุดพ้นไปด้วยอนิมิตตวิโมกข์เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ย่อมหลุดพ้นไปด้วยอัปปณิหิตวิโมกข์ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ย่อมหลุดพ้นไปด้วยสุญญตวิโมกข์ ฯ

ธรรมเหล่านี้ คือ ปัญญาในความออกไปและความหลีกไปจากส่วนทั้งสองและมรรคญาณมีอรรถต่างกันและมีพยัญชนะต่างกัน หรือมีอรรถอย่างเดียวกันต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น ฯ

ธรรมเหล่านี้ คือ ปัญญาในความออกไปและความหลีกไปจากส่วนทั้งสองและมรรคญาณมีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น ฯ

[509] วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยอาการเท่าไร ย่อมมีในขณะเดียวกันด้วยอาการเท่าไร ฯ

วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยอาการ 4 ย่อมมีในขณะเดียวกันด้วยอาการ 7 ฯ

วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยอาการ 4 เป็นไฉน ฯ

วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยอาการ 4 คือ ด้วยความเป็นใหญ่ 1 ด้วยความตั้งมั่น 1 ด้วยความน้อมจิตไป 1 ด้วยความนำออกไป 1 ฯ

วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยความเป็นใหญ่อย่างไร ฯ

เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง อนิมิตตวิโมกข์ ย่อมเป็นใหญ่ เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ ย่อมเป็นใหญ่ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา สุญญตวิโมกข์ ย่อมเป็นใหญ่ วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยความเป็นใหญ่อย่างนี้ ฯ

วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยความตั้งมั่นอย่างไร ฯ

บุคคลเมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ย่อมตั้งจิตไว้มั่นด้วยสามารถแห่งอนิมิตตวิโมกข์ เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ย่อมตั้งจิตไว้มั่นด้วยสามารถแห่งอัปปณิหิตวิโมกข์เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ย่อมตั้งจิตไว้มั่นด้วยสามารถแห่งสุญญตวิโมกข์ วิโมกข์ 3ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยความตั้งมั่นอย่างนี้ ฯ

วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยความน้อมจิตไปอย่างไร ฯ

บุคคลเมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ย่อมน้อมจิตไปด้วยสามารถแห่งอนิมิตตวิโมกข์ เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ย่อมน้อมจิตไปด้วยสามารถแห่งอัปปณิหิตวิโมกข์ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ย่อมน้อมจิตไปด้วยสามารถแห่งสุญญตวิโมกข์ วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยความน้อมจิตไปอย่างนี้ ฯ

วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยความนำออกไปอย่างไร ฯ

บุคคลเมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ย่อมนำจิตออกไปสู่นิพพานอันเป็นที่ดับ ด้วยสามารถแห่งอนิมิตตวิโมกข์ เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ย่อมนำจิตออกไปสู่นิพพานอันเป็นที่ดับ ด้วยสามารถแห่งอัปปณิหิตวิโมกข์เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ย่อมนำจิตออกไปสู่นิพพานอันเป็นที่ดับด้วยสามารถแห่งสุญญตวิโมกข์ วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยความนำออกไปอย่างนี้ วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยอาการ 4 นี้ ฯ

[510] วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะเดียวกันด้วยอาการ 7 เป็นไฉน ฯ

วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะเดียวกันด้วยอาการ 7 คือ ด้วยความประชุมลง 1 ด้วยความบรรลุ 1 ด้วยความได้ 1 ด้วยความแทงตลอด 1 ด้วยความทำให้แจ้ง 1 ด้วยความถูกต้อง 1 ด้วยความตรัสรู้ 1 ฯ

วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะเดียวกัน ด้วยความประชุมลง ด้วยความบรรลุ ด้วยความได้ด้วยความแทงตลอด ด้วยความทำให้แจ้ง ด้วยความถูกต้องด้วยความตรัสรู้ อย่างไร ฯ

บุคคลมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ย่อมพ้นจากนิมิต เพราะเหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึงเป็นอนิมิตตวิโมกข์ บุคคลย่อมพ้นจากอารมณ์ใด ย่อมไม่ตั้งอยู่ในอารมณ์นั้น เพราะเหตุนั้นวิโมกข์นั้นจึงเป็นอัปปณิหิตวิโมกข์ บุคคลไม่ตั้งอยู่ในอารมณ์ใด เป็นผู้ว่างเปล่าจากอารมณ์นั้นเพราะเหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึงเป็นสุญญตวิโมกข์ บุคคลไม่มีนิมิตเพราะนิมิตว่างเปล่าด้วยวิโมกข์ใดเพราะเหตุนั้นวิโมกข์นั้นจึงเป็นอนิมิตตวิโมกข์ วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะเดียวกัน ด้วยความประชุมลง … ด้วยความตรัสรู้อย่างนี้ บุคคลมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ย่อมพ้นจากความปรารถนาอันเป็นที่ตั้ง เพราะเหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึงเป็นอัปปณิหิตวิโมกข์ บุคคลไม่ตั้งอยู่ในอารมณ์ใด เป็นผู้ว่างเปล่าจากอารมณ์นั้น เพราะเหตุนั้นวิโมกข์นั้นจึงเป็นสุญญตวิโมกข์ บุคคลไม่มีนิมิตเพราะนิมิตว่างเปล่าด้วยวิโมกข์ใดเพราะเหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึงเป็นอนิมิตตวิโมกข์ บุคคลไม่มีนิมิตเพราะนิมิตใดไม่ตั้งอยู่ในนิมิตนั้น เพราะเหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึงเป็นอัปปณิหิตวิโมกข์ วิโมกข์ 3ย่อมมีในขณะเดียวกัน ด้วยความประชุมลง … ด้วยความตรัสรู้อย่างนี้ บุคคลมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ย่อมพ้นจากความยึดมั่น เพราะเหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึงเป็นสุญญตวิโมกข์ บุคคลไม่มีนิมิตเพราะนิมิตว่างเปล่าด้วยวิโมกข์ใด เพราะเหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึงเป็นอนิมิตตวิโมกข์ บุคคลไม่มีนิมิต เพราะนิมิตใด ไม่ตั้งอยู่ในนิมิตนั้น เพราะเหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึงเป็นอัปปณิหิตวิโมกข์ บุคคลไม่ตั้งอยู่ในอารมณ์ใด เป็นผู้ว่างเปล่าจากอารมณ์นั้น เพราะเหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึงเป็นสุญญตวิโมกข์วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะเดียวกัน ด้วยความประชุมลง …ด้วยความตรัสรู้อย่างนี้ วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะเดียวกันด้วยอาการ 7 นี้ ฯ

[511] วิโมกข์มีอยู่ ธรรมอันเป็นประธานมีอยู่ ธรรมอันเป็นประธานแห่งวิโมกข์มีอยู่ธรรมอันเป็นข้าศึกแก่วิโมกข์มีอยู่ ธรรมอันอนุโลมต่อวิโมกข์มีอยู่ วิโมกข์วิวัฏมีอยู่ การเจริญวิโมกข์มีอยู่ ความสงบระงับแห่งวิโมกข์มีอยู่ ฯ

วิโมกข์เป็นไฉน คือ สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ ฯ

สุญญตวิโมกข์เป็นไฉน อนิจจานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากความยึดมั่นโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า สุญญตวิโมกข์ ทุกขานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากความยึดมั่น โดยความเป็นสุข … อนัตตานุปัสนาญาณย่อมพ้นจากความยึดมั่นโดยความเป็นตัวตน … นิพพิทานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากความยึดมั่นโดยความเพลิดเพลิน … วิราคานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากความยึดมั่นโดยความกำหนัด … นิโรธานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากความยึดมั่นโดยเป็นเหตุเกิด … ปฏินิสสัคคานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากความยึดมั่นโดยความถือมั่น … อนิมิตตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากความยึดมั่นโดยความเป็นนิมิต …อัปปณิหิตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากความยึดมั่นโดยความเป็นที่ตั้ง … สุญญตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากความยึดมั่นทุกอย่าง … ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป ย่อมพ้นจากความยึดมั่นโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าสุญญตวิโมกข์ ฯลฯ ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในรูป ย่อมพ้นจากความยึดมั่นทุกอย่าง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าสุญญตวิโมกข์ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ในจักษุ ฯลฯ ในชราและมรณะ ย่อมพ้นจากความยึดมั่นโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าสุญญตวิโมกข์ ฯลฯ ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในชราและมรณะ ย่อมพ้นจากความยึดมั่นทุกอย่างเพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าสุญญตวิโมกข์ นี้เป็นสุญญตวิโมกข์ ฯ

[512] อนิมิตตวิโมกข์เป็นไฉน อนิจจานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอนิมิตตวิโมกข์ทุกขานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความเป็นสุข … อนัตตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความเป็นตัวตน… นิพพิทานุปัสนาญาณย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความเพลิดเพลิน … วิราคานุปัสนาญาณย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความกำหนัด … นิโรธานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความเป็นเหตุเกิด … ปฏินิสสัคคานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความถือมั่น … อนิมิตตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากเครื่องหมายทุกอย่าง …อัปปณิหิตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความเป็นที่ตั้ง …สุญญตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความยึดมั่น … ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความเป็นสภาพเที่ยงเพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอนิมิตตวิโมกข์ ฯลฯ ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่มีนิมิตในรูป ย่อมพ้นจากนิมิตทุกอย่าง … ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่มีที่ตั้งในรูป ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความเป็นที่ตั้ง … ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในรูป ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความยึดมั่น …ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ในจักษุ ฯลฯ ในชราและมรณะ ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่าอนิมิตตวิโมกข์ ฯลฯ ญาณ คือการพิจารณาเห็นความไม่มีนิมิตในชราและมรณะ ย่อมพ้นจากนิมิตทุกอย่าง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอนิมิตตวิโมกข์ ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่มีที่ตั้งในชราและมรณะ ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความเป็นที่ตั้ง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอนิมิตตวิโมกข์ ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในชราและมรณะย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความยึดมั่น เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอนิมิตตวิโมกข์นี้เป็นอนิมิตตวิโมกข์ ฯ

[513] อัปปณิหิตวิโมกข์เป็นไฉน อนิจจานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอัปปณิหิตวิโมกข์ทุกขานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความเป็นสุข … อนัตตานุปัสนาญาณย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความเป็นตัวตน … นิพพิทานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความเพลิดเพลิน … วิราคานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความกำหนัด …นิโรธานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความเป็นเหตุเกิด … ปฏินิสสัคคานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความถือมั่น … อนิมิตตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความเป็นเครื่องหมาย … อัปปณิหิตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากที่ตั้งทุกอย่าง … สุญญตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความยึดมั่น …ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูปย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอัปปณิหิตวิโมกข์ ฯลฯ ญาณคือ การพิจารณาเห็นความไม่มีที่ตั้งในรูป ย่อมพ้นจากที่ตั้งทุกอย่าง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอัปปณิหิตวิโมกข์ ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในรูป ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความยึดมั่นเพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอัปปณิหิตวิโมกข์ ญาณ คือการพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ในจักษุ ฯลฯ ในชราและมรณะ ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอัปปณิหิตวิโมกข์ ฯลฯ ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่มีที่ตั้งในชราและมรณะ ย่อมพ้นจากที่ตั้งทุกอย่าง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอัปปณิหิตวิโมกข์ ญาณคือ การพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในชราและมรณะ ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความยึดมั่น เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอัปปณิหิตวิโมกข์ นี้เป็นอัปปณิหิตวิโมกข์ ฯ

[514] ธรรมอันเป็นประธานเป็นไฉน ธรรมอันเป็นไปในฝักฝ่ายความตรัสรู้ เป็นกุศล ไม่มีโทษ เกิดในภาวนานั้น นี้ธรรมอันเป็นประธาน ฯ

ธรรมอันเป็นประธานแห่งวิโมกข์เป็นไฉน นิพพานอันเป็นที่ดับ เป็นอารมณ์ของธรรมเหล่านั้น นี้เป็นธรรมอันเป็นประธานแห่งวิโมกข์ ฯ

ธรรมอันเป็นข้าศึกแก่วิโมกข์เป็นไฉน อกุศลมูล 3 ทุจริต 3 อกุศลธรรมแม้ทุกอย่าง เป็นข้าศึกแก่วิโมกข์ นี้ธรรมอันเป็นข้าศึกแก่วิโมกข์ ฯ

ธรรมอันอนุโลมต่อวิโมกข์เป็นไฉน กุศลมูล 3 สุจริต 3 กุศลธรรมแม้ทุกอย่างเป็นธรรมอันอนุโลมต่อวิโมกข์ นี้ธรรมอันอนุโลมต่อวิโมกข์ ฯ

[515] วิโมกขวิวัฏเป็นไฉน สัญญาวิวัฏ เจโตวิวัฏ จิตตวิวัฏ ญาณวิวัฏ วิโมกขวิวัฏสัจจวิวัฏ บุคคลหมายรู้หลีกออกไป เพราะเหตุนั้น จึงเป็นสัญญาวิวัฏ บุคคลคิดอยู่หลีกออกไป เพราะเหตุนั้น จึงเป็นเจโตวิวัฏ บุคคลรู้แจ้งหลีกออกไป เพราะเหตุนั้น จึงเป็นจิตตวิวัฏ บุคคลทำความรู้หลีกออกไปเพราะเหตุนั้น จึงเป็นญาณวิวัฏ บุคคลปล่อยวางหลีกออกไป เพราะเหตุนั้น จึงเป็นวิโมกขวิวัฏ บุคคลหลีกออกไปในธรรมอันมีความถ่องแท้ เพราะเหตุนั้น จึงเป็นสัจจวิวัฏ สัญญาวิวัฏมีในที่ใด เจโตวิวัฏก็มีในที่นั้น เจโตวิวัฏมีในที่ใดสัญญาวิวัฏก็มีในที่นั้น สัญญาวิวัฏ เจโตวิวัฏมีในที่ใด จิตตวิวัฏก็มีในที่นั้นจิตตวิวัฏมีในที่ใด สัญญาวิวัฏ เจโตวิวัฏก็มีในที่นั้นสัญญาวิวัฏ เจโตวิวัฏจิตตวิวัฏมีในที่ใด ญาณวิวัฏก็มีในที่นั้น ญาณวิวัฏมีในที่ใด สัญญาวิวัฏ เจโตวิวัฏ จิตตวิวัฏก็มีในที่นั้น สัญญาวิวัฏ เจโตวิวัฏ จิตตวิวัฏ ญาณวิวัฏมีในที่ใด วิโมกขวิวัฏก็มีในที่นั้น วิโมกขวิวัฏมีในที่ใด สัญญาวิวัฏ เจโตวิวัฏ จิตตวิวัฏญาณวิวัฏก็มีในที่นั้น สัญญาวิวัฏ เจโตวิวัฏ จิตตวิวัฏ ญาณวิวัฏ วิโมกขวิวัฏมีในที่ใด สัจจวิวัฏก็มีในที่นั้น สัจจวิวัฏมีในที่ใด สัญญาวิวัฏ เจโตวิวัฏจิตตวิวัฏ ญาณวิวัฏ วิโมกขวิวัฏก็มีในที่นั้น นี้เป็นวิโมกข์วิวัฏ ฯ

[516] การเจริญวิโมกข์เป็นไฉน การเสพ การเจริญ การทำให้มาก ซึ่งปฐมฌาน …ทุติยฌาน … ตติยฌาน … จตุตถฌาน … อากาสานัญจายตนสมาบัติ … วิญญาณัญจายตนสมาบัติ …อากิญจัญญายตนสมาบัติ …เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ … โสดาปัตติมรรค … สกทาคามิมรรค…อนาคามิมรรค … การเสพ การเจริญ การทำให้มากซึ่งอรหัตมรรค นี้เป็นการเจริญวิโมกข์ ฯ

ความสงบระงับแห่งวิโมกข์เป็นไฉน การได้หรือวิบากแห่งปฐมฌาน …ทุติยฌาน …ตติยฌาน … จตุตถฌาน … อากาสานัญจายตนสมาบัติวิญญาณัญจายตนสมบัติ อากิญจัญญายตนสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติโสดาปัตติผลแห่งโสดาปัตติมรรค อนาคามิผลแห่งอนาคามิมรรค อรหัตผลแห่งอรหัตมรรค นี้เป็นความสงบระงับแห่งวิโมกข์ ฯ

จบตติยภาณวาร ฯ

จบวิโมกขกถา

______

มหาวรรค คติกถา

[517] ในกรรมอันสัมปยุตด้วยญาณ คติสมบัติย่อมมีเหตุเกิดเพราะปัจจัยแห่งเหตุเท่าไร กษัตริย์มหาศาล พราหมณมหาศาล คฤหบดีมหาศาล เทวดาชั้นกามาวจร ย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุเท่าไร เทวดาชั้นรูปาวจร ย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุเท่าไร เทวดาชั้นอรูปาวจร ย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุเท่าไร ฯ

ในกรรมอันสัมปยุตด้วยญาณ คติสมบัติย่อมมีเหตุเกิดเพราะปัจจัยแห่งเหตุ 8 ประการกษัตริย์มหาศาล พราหมณมหาศาล คฤหบดีมหาศาล เทวดาชั้นกามาวจร ย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุ 8 ประการ เทวดาชั้นรูปาวจรเทวดาชั้นอรูปาวจร ย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุ 8 ประการ ฯ

[518] ในกรรมอันสัมปยุตด้วยญาณ คติสมบัติย่อมมีเหตุเกิดเพราะปัจจัยแห่งเหตุ8 ประการเป็นไฉน ฯ

ในขณะแล่นไปแห่งกุศลกรรม เหตุ 3 ประการเป็นกุศล เป็นสหชาต ปัจจัยแห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า แม้เพราะกุศลมูลเป็นปัจจัย ก็มีสังขาร ในขณะความพอใจ เหตุ 2 ประการเป็นอกุศล เป็นสหชาตปัจจัยแห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า แม้เพราะอกุศลมูลเป็นปัจจัย ก็มีสังขาร ในขณะปฏิสนธิ เหตุ 3 ประการเป็นอัพยากฤตเป็นสหชาตปัจจัยแห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า แม้เพราะนามรูปเป็นปัจจัย ก็มีวิญญาณ แม้วิญญาณเป็นปัจจัย ก็มีนามรูป ในขณะปฏิสนธิ เบญจขันธ์เป็นสหชาตปัจจัย เป็นอัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัยเป็นวิปปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ มหาภูตรูป 4 เป็นสหชาตปัจจัย เป็นอัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ เครื่องปรุงชีวิต 3 ประการเป็นสหชาตปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย เป็นวิปปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ นามและรูปเป็นสหชาตปัจจัย … เป็นวิปปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ ธรรม 14 ประการนี้ เป็นสหชาตปัจจัย … เป็นวิปปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ อรูปขันธ์ 4เป็นสหชาตปัจจัย … เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ อินทรีย์ 5 เป็นสหชาตปัจจัย … เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ เหตุ 3 ประการเป็นสหชาตปัจจัย … เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ นามและวิญญาณเป็นสหชาตปัจจัย … เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ ธรรม 14 ประการนี้ เป็นสหชาตปัจจัย … เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ ธรรม 28 ประการนี้ เป็นสหชาตปัจจัย … เป็นวิปปยุตตปัจจัย ในกรรมอันเป็นสัมปยุตตญาณ คติสมบัติย่อมมีเหตุเกิดเพราะปัจจัยแห่งเหตุ8 ประการนี้ ฯ

[519] ในกรรมอันสัมปยุตด้วยญาณ กษัตริย์มหาศาล พราหมณมหาศาล คฤหบดีมหาศาล เทวดาชั้นกามาวจร ย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุ 8ประการเป็นไฉน ฯ

ในขณะแล่นไปแห่งกุศลกรรม เหตุ 3 ประการเป็นกุศล เป็นสหชาตปัจจัยแห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า แม้เพราะกุศลมูลเป็นปัจจัย ก็มีสังขาร ในขณะความพอใจ เหตุ 2 ประการเป็นอกุศล เป็นสหชาตปัจจัยแห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า แม้เพราะอกุศลมูลเป็นปัจจัย ก็มีสังขาร ในขณะปฏิสนธิ เหตุ 3 ประการเป็นอัพยากฤตเป็นสหชาตปัจจัยแห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า แม้เพราะนามรูปเป็นปัจจัย ก็มีวิญญาณ แม้เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย ก็มีนามรูปในขณะปฏิสนธิเบญจขันธ์เป็นสหชาตปัจจัย เป็นอัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย เป็นวิปปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ มหาภูตรูป 4 เป็นสหชาตปัจจัยเป็นอัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย ในขณะปฏิสนธิเครื่องปรุงชีวิต 3ประการ เป็นสหชาตปัจจัย เป็นอัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย เป็นวิปปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ นามและรูปเป็นสหชาตปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย เป็นวิปปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ ธรรม 14 ประการนี้ เป็นสหชาตปัจจัย …เป็นวิปปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ อรูปขันธ์ 4 เป็นสหชาตปัจจัย … เป็นสัมปปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ อินทรีย์ 5เป็นสหชาตปัจจัย … เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ เหตุ 3 ประการเป็นสหชาตปัจจัย … เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ นามและวิญญาณเป็นสหชาตปัจจัย … เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ ธรรม 14 ประการนี้ เป็นสหชาตปัจจัย …เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิธรรม 28 ประการนี้ เป็นสหชาตปัจจัย …เป็นวิปปยุตตปัจจัย กษัตริย์มหาศาล พราหมณมหาศาลคฤหบดีมหาศาลเทวดาชั้นกามาวจร ย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุ 8 ประการนี้ ฯ

[520] เทวดาชั้นรูปาวจรย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุ 8 ประการเป็นไฉน ฯ

ในขณะแล่นไปในกุศลกรรม เหตุ 3 ประการเป็นกุศล ฯลฯ เทวดาชั้นรูปาวจรย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุ 8 ประการนี้ ฯ

เทวดาชั้นอรูปาวจรย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุ 8 ประการเป็นไฉน ฯ

ในขณะแล่นไปแห่งกุศลกรรม เหตุ 3 ประการเป็นกุศล เป็นสหชาตปัจจัยแห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า แม้เพราะกุศลมูลเป็นปัจจัย ก็มีสังขาร ในขณะความพอใจ เหตุ 2 ประการเป็นอกุศล เป็นสหชาตปัจจัยแห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า แม้เพราะอกุศลมูลเป็นปัจจัย ก็มีสังขาร ในขณะปฏิสนธิ เหตุ 3 ประการเป็นอัพยากฤตเป็นสหชาตปัจจัยแห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า แม้เพราะนามรูปเป็นปัจจัย ก็มีวิญญาณ แม้เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย ก็มีนามรูปในขณะปฏิสนธิ อรูปขันธ์ 4 เป็นสหชาตปัจจัย เป็นอัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ อินทรีย์ 5 เป็นสหชาตปัจจัย … เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ เหตุ 3 ประการเป็นสหชาตปัจจัย …เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ นามและวิญญาณเป็นสหชาตปัจจัย …เป็นสัมปยุตตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ ธรรม 14 ประการนี้ เป็นสหชาตปัจจัย …เป็นสัมปยุตตปัจจัยเทวดาชั้นอรูปาวจร ย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุ 8ประการนี้ ฯ

[521] ในกรรมอันไม่ประกอบด้วยญาณ คติสมบัติย่อมมีเหตุเกิด เพราะปัจจัยแห่งเหตุเท่าไร กษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล คฤหบดีมหาศาล เทวดาชั้นกามาวจร ย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุเท่าไร ฯ

ในกรรมอันไม่ประกอบด้วยญาณ คติสมบัติย่อมเกิดเพราะปัจจัยแห่งเหตุ 6 ประการ กษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล คฤหบดีมหาศาล เทวดาชั้นกามาวจร ย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุ 6 ประการ ฯ

[522] ในกรรมอันไม่ประกอบด้วยญาณ คติสมบัติย่อมมีเหตุเกิด เพราะปัจจัยแห่งเหตุ 6 ประการเป็นไฉน ฯ

ในขณะแล่นไปแห่งกุศลกรรม เหตุ 2 ประการเป็นกุศล เป็นสหชาตปัจจัยแห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า แม้เพราะกุศลมูลเป็นปัจจัย ก็มีสังขาร ในขณะความพอใจ เหตุ 2 ประการเป็นอกุศล เป็นสหชาตปัจจัยแห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า แม้เพราะอกุศลมูลเป็นปัจจัย ก็มีสังขาร ในขณะปฏิสนธิ เหตุ 2 ประการเป็นอัพยากฤตเป็นสหชาตปัจจัยแห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า แม้เพราะนามรูปเป็นปัจจัย ก็มีวิญญาณ แม้เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย ก็มีนามรูปในขณะปฏิสนธิ เบญจขันธ์เป็นสหชาตปัจจัย เป็นอัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย เป็นวิปปยุตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิมหาภูตรูป 4 เป็นสหชาตปัจจัยเป็นอัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ เครื่องปรุงชีวิต 3ประการเป็นสหชาตปัจจัย … เป็นวิปปยุตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ นามและรูปเป็นสหชาตปัจจัย … เป็นวิปปยุตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ ธรรม 14 ประการนี้เป็นสหชาตปัจจัย … เป็นวิปปยุตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ อรูปขันธ์ 4 เป็นสหชาตปัจจัย … เป็นสัมปยุตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิอินทรีย์ 4 เป็นสหชาตปัจจัย … เป็นสัมปยุตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ เหตุ 2 ประการเป็นสหชาตปัจจัย … เป็นสัมปยุตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ นามและวิญญาณเป็นสหชาตปัจจัย … เป็นสัมปยุตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ ธรรม 12 ประการนี้เป็นสหชาตปัจจัย … เป็นสัมปยุตปัจจัย ในขณะปฏิสนธิ ธรรม 26 ประการเป็นสหชาตปัจจัย … เป็นวิปปยุตปัจจัย ในกรรมอันประกอบด้วยญาณ คติสมบัติย่อมมีเหตุเกิดเพราะปัจจัยแห่งเหตุ 6 ประการนี้ กษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาลคฤหบดีมหาศาล เทวดาชั้นกามาวจร ย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุ 6 ประการนี้ ฯ

ในขณะแล่นไปแห่งกุศลกรรม เหตุ 2 ประการเป็นกุศล เป็นสหชาตปัจจัยแห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า แม้เพราะกุศลมูลเป็นปัจจัย ก็มีสังขาร ฯลฯ ในกรรมอันไม่ประกอบด้วยญาณ กษัตริย์มหาศาลพราหมณ์มหาศาล คฤหบดีมหาศาล เทวดาชั้นกามาวจร ย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุ 6 ประการนี้ ฯ

จบคติกถา ฯ

______

มหาวรรค กรรมกถา

[523] กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมได้มีแล้ว กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมไม่ได้มีแล้ว กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมมีอยู่ กรรมได้มีแล้ววิบากแห่งกรรมไม่มีอยู่ กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมจักมี กรรมได้มีแล้ววิบากแห่งกรรมจักไม่มี กรรมมีอยู่ วิบากแห่งกรรมมีอยู่ กรรมมีอยู่ วิบากแห่งกรรมไม่มี กรรมมีอยู่ วิบากแห่งกรรมจักมี กรรมมีอยู่ วิบากแห่งกรรมจักไม่มีกรรมจักมี วิบากแห่งกรรมจักมี กรรมจักมี วิบากแห่งกรรมจักไม่มี กุศลกรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกุศลกรรมได้มีแล้ว กุศลกรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกุศลกรรมไม่ได้มีแล้ว กุศลกรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกุศลกรรมมีอยู่ กุศลกรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกุศลกรรมไม่มี กุศลกรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกุศลกรรมจักมี กุศลกรรมได้มแล้ว วิบากแห่งกุศลกรรมจักไม่มี กุศลกรรมมีอยู่ วิบากแห่งกุศลกรรมมีอยู่ กุศลกรรมมีอยู่ วิบากแห่งกุศลกรรมจักไม่มี กุศลกรรมมีอยู่วิบากแห่งกุศลกรรมจักมี กุศลกรรมจักมี วิบากแห่งกุศลกรรมจักไม่มี อกุศลกรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งอกุศลกรรมไม่ได้มีแล้ว อกุศลกรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งอกุศลกรรมมีอยู่ อกุศลกรรมได้มีแล้ววิบากแห่งอกุศลกรรมไม่มี อกุศลกรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งอกุศลกรรมจักมี อกุศลกรรมได้มีแล้ววิบากแห่งอกุศลกรรมจักไม่มี อกุศลกรรมมีอยู่วิบากแห่งอกุศลกรรมมีอยู่ อกุศลกรรมมีอยู่ วิบากแห่งอกุศลกรรมไม่มี อกุศลกรรมมีอยู่ วิบากแห่งอกุศลกรรมจักมี อกุศลกรรมจักมี วิบากแห่งอกุศลกรรมจักมี อกุศลกรรมจักมี วิบากแห่งอกุศลกรรมจักไม่มี ฯ

[524] กรรมมีโทษได้มีแล้ว ฯลฯ กรรมไม่มีโทษได้มีแล้ว ฯลฯ กรรมดำได้มีแล้วฯลฯ กรรมขาวได้มีแล้ว ฯลฯ กรรมมีสุขเป็นกำไรได้มีแล้ว ฯลฯกรรมมีทุกข์เป็นกำไรได้มีแล้วฯลฯ กรรมมีสุขเป็นวิบากได้มีแล้ว ฯลฯ กรรมมีทุกข์เป็นวิบากได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากได้มีแล้ว กรรมมีทุกข์เป็นวิบากได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากไม่ได้มีแล้วกรรมมีทุกข์เป็นวิบากได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากมีอยู่ กรรมมีทุกข์เป็นวิบากได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากไม่มี กรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากจักมี กรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากจักไม่มี กรรมมีทุกข์เป็นวิบากมีอยู่วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากมีอยู่ กรรมมีทุกข์เป็นวิบากมีอยู่ วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากไม่มี กรรมมีทุกข์เป็นวิบากมีอยู่ วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากจักมี กรรมมีทุกข์เป็นวิบากมีอยู่ วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากจักมีวิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากจักมี กรรมมีทุกข์เป็นวิบากจักมี วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากจักไม่มี ฯ

จบกรรมกถา ฯ

______

มหาวรรค วิปัลลาสกถา

นิทานบริบูรณ์

[525] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส 4 ประการนี้ 4ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสำคัญผิด (แปรปรวน) ความคิดผิด ความเห็นผิดในสภาพที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ในสภาพที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ในสภาพที่มิใช่ตัวตนว่าตัวตน ในสภาพที่ไม่งามว่างาม ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส 4 ประการนี้แล ฯ

[526] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่วิปลาส 4ประการนี้ 4 ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสำคัญไม่ผิด ความคิดไม่ผิด ความเห็นไม่ผิด ในสภาพที่ไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง ในสภาพที่เป็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์ ในสภาพที่มิใช่ตัวตนว่ามิใช่ตัวตน ในสภาพที่ไม่งามว่าไม่งามดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่วิปลาส 4 ประการนี้แล ฯ

สัตว์ทั้งหลายมีความสำคัญในสภาพที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง มีความ
สำคัญในสภาพที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข มีความสำคัญในสภาพ
ที่มิใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตน มีความสำคัญในสภาพที่ไม่งามว่า
งาม ถูกความเห็นผิดนำไป มีจิตกวัดแกว่ง มีสัญญาผิด
สัตว์เหล่านั้นติดอยู่ในบ่วงของมาร เป็นสัตว์ไม่มีความปลอด
โปร่งจากกิเลส ต้องไปสู่สงสาร เป็นผู้ถึงชาติและมรณะ
เมื่อใด พระพุทธเจ้าทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ทรงส่อง
แสงสว่าง พระพุทธเจ้าเหล่านั้นทรงประกาศธรรมนี้ อันให้
ถึงความสงบระงับทุกข์ เมื่อนั้น สัตว์ทั้งหลายผู้มีปัญญา
ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น แล้วกลับได้ความคิด
ชอบ เห็นสภาพที่ไม่เที่ยงโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง เห็น
สภาพที่เป็นทุกข์โดยความเป็นทุกข์ เห็นสภาพที่มิใช่ตัวตนโดย ความเป็นสภาพมิใช่ตัวตน และเห็นสภาพที่ไม่งามว่าไม่งาม  เป็นผู้ถือมั่นสัมมาทิฐิ ล่วงพ้นทุกข์ทั้งปวง ฉะนี้แล ฯ

วิปลาส 4 ประการนี้ บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิละได้แล้ว ละทั่วแล้ว วิปลาสเหล่าใดละได้แล้ว เหล่าใดละทั่วแล้ว ความสำคัญผิด ความคิดผิด ความเห็นผิด ในสภาพที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยงละได้แล้ว ความสำคัญ ความคิดในสภาพที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุขเกิดขึ้น ทิฐิวิปลาสละได้แล้วความสำคัญผิด ความคิดผิด ความเห็นผิด ในสภาพที่มิใช่ตัวตนว่าตัวตน ละได้แล้ว ความสำคัญความคิดในสภาพที่ไม่งามว่างามเกิดขึ้น ทิฐิวิปลาสละได้แล้ว วิปลาส 6 ในวัตถุ 2 ละได้แล้ววิปลาส 2 ในวัตถุ 2 ละได้แล้ว วิปลาส 4 ละทั่วแล้ว และวิปลาส 8 ในวัตถุ 4 ละได้แล้ววิปลาส 4 ละทั่วแล้ว ฯ

จบวิปัลลาสกถา ฯ

______

มหาวรรค มรรคกถา

[527] คำว่า มคฺโค ความว่า ชื่อว่ามรรค เพราะอรรถว่ากระไร ฯ

ในขณะโสดาปัตติมรรค สัมมาทิฐิเพราะอรรถว่าเห็น เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละมิจฉาทิฐิ เพื่ออุปถัมภ์สหชาตธรรม เพื่อครอบงำกิเลสทั้งหลายเพื่อความหมดจดในเบื้องต้นแห่งปฏิเวธ เพื่อความตั้งมั่นแห่งจิต เพื่อความผ่องแผ้วแห่งจิต เพื่อบรรลุธรรมพิเศษ เพื่อแทงตลอดธรรมอันยิ่ง เพื่อตรัสรู้สัจจะ เพื่อให้จิตตั้งอยู่ในนิโรธ สัมมาสังกัปปะเพราะอรรถว่าดำริ เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละมิจฉาสังกัปปะ … สัมมาวาจาเพราะอรรถว่ากำหนดเอา เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละมิจฉาวาจา … สัมมากัมมันตะ เพราะอรรถว่าเป็นสมุฏฐาน เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละมิจฉากัมมันตะ … สัมมาอาชีวะเพราะอรรถว่าผ่องแผ้ว เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละมิจฉาอาชีวะ …สัมมาวายามะเพราะอรรถว่าประคองไว้ เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละมิจฉาวายามะ … สัมมาสติเพราะอรรถว่าตั้งมั่น เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละมิจฉาสติ … สัมมาสมาธิเพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่านเป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละมิจฉาสมาธิ เพื่ออุปถัมภ์สหชาตธรรม เพื่อครอบงำกิเลสทั้งหลาย เพื่อความหมดจดในเบื้องต้นแห่งปฏิเวธ เพื่อความตั้งมั่นแห่งจิต เพื่อความผ่องแผ้วแห่งจิต เพื่อบรรลุธรรมพิเศษ เพื่อแทงตลอดธรรมอันยิ่ง เพื่อตรัสรู้สัจจะ เพื่อให้จิตตั้งมั่นอยู่ในนิโรธ ฯ

[528] ในขณะสกทาคามิมรรค สัมมาทิฐิเพราะอรรถว่าเห็น ฯลฯ สัมมาสมาธิเพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย ส่วนหยาบๆ … ฯ

ในขณะอนาคามิมรรค สัมมาทิฐิเพราะอรรถว่าเห็น ฯลฯ สัมมาสมาธิเพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละกามราคสังโยชน์ปฏิฆสังโยชน์ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัยส่วนละเอียดๆ … ฯ

ในขณะอรหัตมรรค สัมมาทิฐิเพราะอรรถว่าเห็น ฯลฯ สัมมาสมาธิเพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา มานานุสัยราคานุสัย อวิชชานุสัย เพื่ออุปถัมภ์สหชาตธรรมเพื่อครอบงำกิเลสทั้งหลาย เพื่อความหมดจดในเบื้องต้นแห่งปฏิเวธ เพื่อความตั้งมั่นแห่งจิต เพื่อความผ่องแผ้วแห่งจิต เพื่อบรรลุธรรมพิเศษ เพื่อแทงตลอดธรรมอันยิ่ง เพื่อตรัสรู้สัจจะ เพื่อให้จิตตั้งมั่นอยู่ในนิโรธ ฯ

[529] สัมมาทิฐิเป็นมรรคแห่งการเห็น สัมมาสังกัปปะเป็นมรรคแห่งความดำริสัมมาวาจาเป็นมรรคแห่งการกำหนด สัมมากัมมันตะเป็นมรรคแห่งสมุฏฐาน สัมมาอาชีวะเป็นมรรคแห่งความผ่องแผ้ว สัมมาวายามะเป็นมรรคแห่งความประคองไว้ สัมมาสติเป็นมรรคแห่งความตั้งมั่น สัมมาสมาธิเป็นมรรคแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน สติสัมโพชฌงค์เป็นมรรคแห่งการเลือกเฟ้นวิริยสัมโพชฌงค์เป็นมรรคแห่งความประคองไว้ ปีติสัมโพชฌงค์เป็นมรรคแห่งความแผ่ซ่านไปปัสสัทธิสัมโพชฌงค์เป็นมรรคแห่งความสงบ สมาธิสัมโพชฌงค์เป็นมรรคแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน อุเบกขาสัมโพชฌงค์เป็นมรรคแห่งการพิจารณาหาทาง สัทธาพละเป็นมรรคแห่งความไม่หวั่นไหวไปในความไม่มีศรัทธา วิริยพละเป็นมรรคแห่งความไม่หวั่นไหวไปในความเกียจคร้าน สติพละเป็นมรรคแห่งความไม่หวั่นไหวไปในความประมาท สมาธิพละเป็นมรรคแห่งความไม่หวั่นไหวไปในอุทธัจจะปัญญาพละเป็นมรรคแห่งความไม่หวั่นไหวไปในอวิชชา สัทธินทรีย์เป็นมรรคแห่งความน้อมใจเชื่อวิริยินทรีย์เป็นมรรคแห่งความประคองไว้สตินทรีย์เป็นมรรคแห่งความตั้งมั่น สมาธินทรีย์เป็นมรรคแห่งความไม่ฟุ้งซ่านปัญญินทรีย์เป็นมรรคแห่งความเห็น อินทรีย์เป็นมรรคเพราะอรรถว่าเป็นใหญ่ พละเป็นมรรคเพราะอรรถว่าไม่หวั่นไหว โพชฌงค์เป็นมรรคเพราะอรรถว่านำออกชื่อว่ามรรคเพราะอรรถว่าเป็นเหตุ สติปัฏฐานเป็นมรรคเพราะอรรถว่าตั้งมั่นสัมมัปปธานเป็นมรรคเพราะอรรถว่าตั้งไว้ อิทธิบาทเป็นมรรคเพราะอรรถว่าให้สำเร็จ สัจจะเป็นมรรคเพราะอรรถว่าถ่องแท้สมถะเป็นมรรคเพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน วิปัสสนาเป็นมรรคเพราะอรรถว่าพิจารณาเห็น สมถะและวิปัสสนาเป็นมรรคเพราะอรรถว่ามีกิจเป็นอันเดียวกัน ธรรมที่เป็นคู่กันเป็นมรรคเพราะอรรถว่าไม่ล่วงเกินกัน สีลวิสุทธิเป็นมรรคเพราะอรรถว่าสำรวม จิตตวิสุทธิเป็นมรรคเพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน ทิฐิวิสุทธิเป็นมรรคเพราะอรรถว่าเห็น วิโมกข์เป็นมรรคเพราะอรรถว่าหลุดพ้น วิชชาเป็นมรรคเพราะอรรถว่าแทงตลอด วิมุตติเป็นมรรคเพราะอรรถว่าปล่อย ญาณในความสิ้นไปเป็นมรรคเพราะอรรถว่าตัดขาด ฉันทะเป็นมรรคเพราะอรรถว่าเป็นมูล มนสิการเป็นมรรคเพราะอรรถว่าเป็นสมุฏฐานผัสสะเป็นมรรคเพราะอรรถว่าเป็นที่ประชุม เวทนาเป็นมรรคเพราะอรรถว่าเป็นที่รวม สมาธิเป็นมรรคเพราะอรรถว่าเป็นประธาน สติเป็นมรรคเพราะอรรถว่าเป็นใหญ่ ปัญญาเป็นมรรคเพราะอรรถว่าเป็นธรรมอันยิ่งกว่าธรรมนั้น วิมุตติเป็นมรรคเพราะอรรถว่าเป็นสาระ นิพพานอันหยั่งลงสู่อมตะเป็นมรรคเพราะอรรถว่าเป็นที่สุด ฯ

จบมรรคกถา ฯ

______

มหาวรรค มัณฑเปยยกถา

[530] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์นี้ในพระศาสดาซึ่งมีอยู่เฉพาะหน้า เป็นพรหมจรรย์อันผ่องใสควรดื่ม ความผ่องใสในพระศาสดาซึ่งมีอยู่เฉพาะหน้ามี 3 ประการ คือ ความผ่องใสแห่งเทศนา 1 ความผ่องใสแห่งการรับ 1 ความผ่องใสแห่งพรหมจรรย์ 1 ฯ

ความผ่องใสแห่งเทศนาเป็นไฉน การบอก การแสดง การบัญญัติ การแต่งตั้ง การเปิดเผย การจำแนก การทำให้ง่าย ซึ่งอริยสัจ 4 การบอกการแสดง การบัญญัติ การแต่งตั้งการเปิดเผย การจำแนก การทำให้ง่ายซึ่งสติปัฏฐาน 4 ฯลฯ สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4อินทรีย์ 5 พละ 5โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8 นี้เป็นความผ่องใสแห่งเทศนา ฯ

ความผ่องใสแห่งการรับเป็นไฉน ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา มนุษย์หรือท่านผู้รู้แจ้งพวกใดพวกหนึ่ง นี้เป็นความผ่องใสแห่งการรับ ฯ

ความผ่องใสแห่งพรหมจรรย์เป็นไฉน อริยมรรคมีองค์ 8 นี้แล คือ สัมมาทิฐิสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะสัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ นี้เป็นความผ่องใสแห่งพรหมจรรย์ ฯ

[531] สัทธินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งการน้อมใจเชื่อ ความไม่มีศรัทธาเป็นกากบุคคลทิ้งความไม่มีศรัทธาอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความน้อมใจเชื่อของสัทธินทรีย์เพราะเหตุนั้น สัทธินทรีย์จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม วิริยินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งการประคองไว้ ความเกียจคร้านเป็นกาก บุคคลทิ้งความเกียจคร้านอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความประคองไว้ของวิริยินทรีย์ เพราะเหตุนั้น วิริยินทรีย์จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สตินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งความตั้งมั่น ความประมาทเป็นกาก บุคคลทิ้งความประมาทอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความตั้งมั่นของสตินทรีย์ เพราะเหตุนั้น สตินทรีย์จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สมาธินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน อุทธัจจะเป็นกาก บุคคลทิ้งอุทธัจจะอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่านของสมาธินทรีย์เพราะเหตุนั้น สมาธินทรีย์จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม ปัญญินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งการเห็น อวิชชาเป็นกาก บุคคลทิ้งอวิชชาอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งการเห็นของปัญญินทรีย์ เพราะเหตุนั้น ปัญญินทรีย์จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สัทธาพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวไปในความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ความเป็นผู้ไม่มีศรัทธาเป็นกากบุคคลทิ้งความเป็นผู้ไม่มีศรัทธาอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหว ไปในความไม่มีศรัทธาของสัทธาพละ เพราะเหตุนั้นสัทธาพละ จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม วิริยพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวไปในความเกียจคร้าน ความเกียจคร้านเป็นกาก บุคคลทิ้งความเกียจคร้านอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวไปในความเกียจคร้านของวิริยพละ เพราะเหตุนั้น วิริยพละจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่มสติพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวไปในความประมาท ความประมาทเป็นกาก บุคคลทิ้งความประมาทอันเป็นกากเสียแล้วดื่มความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวไปในความประมาทของสติพละ เพราะเหตุนั้น สติพละจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สมาธิพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวไปในอุทธัจจะ อุทธัจจะเป็นกาก บุคคลทิ้งอุทธัจจะอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวไปในอุทธัจจะของสมาธิพละ เพราะเหตุนั้น สมาธิพละจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่มปัญญาพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวไปในอวิชชาอวิชชาเป็นกากบุคคลทิ้งอวิชชาอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวไปในอวิชชาของปัญญาพละ เพราะเหตุนั้น ปัญญาพละจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สติสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความตั้งมั่น ความประมาทเป็นกาก บุคคลทิ้งความประมาทอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความตั้งมั่นของสติสัมโพชฌงค์ เพราะเหตุนั้น สติสัมโพชฌงค์ จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ เป็นความผ่องใสแห่งการเลือกเฟ้นอวิชชาเป็นกาก บุคคลทิ้งอวิชชาอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งการเลือกเฟ้นของธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ เพราะเหตุนั้น ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม วิริยสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งการประคองไว้ ความเกียจคร้านเป็นกาก บุคคลทิ้งความเกียจคร้านอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งการประคองไว้ ของวิริยสัมโพชฌงค์เพราะเหตุนั้น วิริยสัมโพชฌงค์จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม ปีติสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความแผ่ซ่าน ความเร่าร้อนเป็นกาก บุคคลทิ้งความเร่าร้อนอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความแผ่ซ่านไป ของปีติสัมโพชฌงค์เพราะเหตุนั้น ปีติสัมโพชฌงค์จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความสงบ ความชั่วหยาบเป็นกาก บุคคลทิ้งความชั่วหยาบอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความสงบของปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ เพราะเหตุนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์จึงเป็นพรหมจรรย์ มีความผ่องใสควรดื่มสมาธิสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน อุทธัจจะเป็นกาก บุคคลทิ้งอุทธัจจะอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่านของสมาธิสัมโพชฌงค์ เพราะเหตุนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม อุเบกขาสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งการพิจารณาหาทาง การไม่พิจารณาหาทางเป็นกาก บุคคลทิ้งการไม่พิจารณาหาทางอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งการพิจารณาหาทางของอุเบกขาสัมโพชฌงค์เพราะเหตุนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์จึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่มสัมมาทิฐิเป็นความผ่องใสแห่งการเห็น มิจฉาทิฐิเป็นกาก บุคคลทิ้งมิจฉาทิฐิอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งการเห็นของสัมมาทิฐิ เพราะเหตุนั้นสัมมาทิฐิจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สัมมาสังกัปปะเป็นความผ่องใสแห่งความดำริ มิจฉาสังกัปปะเป็นกาก บุคคลทิ้งมิจฉาสังกัปปะอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความดำริของสัมมาสังกัปปะ เพราะเหตุนั้น สัมมาสังกัปปะจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สัมมาวาจาเป็นความผ่องใสแห่งการกำหนด มิจฉาวาจาเป็นกาก บุคคลทิ้งมิจฉาวาจาอันเป็นกากเสียแล้วดื่มความผ่องใสแห่งการกำหนดของสัมมาวาจา เพราะเหตุนั้น สัมมาวาจาจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สัมมากัมมันตะเป็นความผ่องใสแห่งสมุฏฐาน มิจฉากัมมันตะเป็นกาก บุคคลทิ้งมิจฉากัมมันตะอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งสมุฏฐานของสัมมากัมมันตะ เพราะเหตุนั้น สัมมากัมมันตะจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สัมมาอาชีวะเป็นความผ่องใสแห่งความผ่องแผ้วมิจฉาอาชีวะเป็นกาก บุคคลทิ้งมิจฉาอาชีวะอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความผ่องแผ้วของสัมมาอาชีวะ เพราะเหตุนั้น สัมมาอาชีวะจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สัมมาวายามะเป็นความผ่องใสแห่งการประคองไว้ มิจฉาวายามะเป็นกากบุคคลทิ้งมิจฉาวายามะอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งการประคองไว้ของสัมมาวายามะเพราะเหตุนั้น สัมมาวายามะจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สัมมาสติเป็นความผ่องใสแห่งการตั้งมั่น มิจฉาสติเป็นกาก บุคคลทิ้งมิจฉาสติอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งการตั้งมั่นของสัมมาสติ เพราะเหตุนั้น สัมมาสติจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม สัมมาสมาธิเป็นความผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน มิจฉาสมาธิเป็นกาก บุคคลทิ้งมิจฉาสมาธิอันเป็นกากเสียแล้ว ดื่มความผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่านของสัมมาสมาธิ เพราะเหตุนั้น สัมมาสมาธิจึงเป็นพรหมจรรย์มีความผ่องใสควรดื่ม ฯ

[532] ความผ่องใสมีอยู่ ธรรมที่ควรดื่มมีอยู่ กากมีอยู่ สัทธินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งการน้อมใจเชื่อ ความเป็นผู้ไม่มีศรัทธาเป็นกาก อรรถรสธรรมรส วิมุติรส ในสัทธินทรีย์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม วิริยินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งการประคองไว้ ความเกียจคร้านเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุติรสในวิริยินทรีย์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สตินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งความตั้งมั่นความประมาทเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุติรส ในสตินทรีย์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สมาธินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน อุทธัจจะเป็นกาก อรรถรส ธรรมรสวิมุติรส ในสมาธินทรีย์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม ปัญญินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งการเห็น อวิชชาเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุติรสในปัญญินทรีย์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สัทธาพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวไปในความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ความเป็นผู้ไม่มีศรัทธาเป็นกากอรรถรสธรรมรส วิมุติรส ในสัทธาพละนั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม วิริยพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวไปในความเกียจคร้าน ความเกียจคร้านเป็นกากอรรถรส ธรรมรส วิมุติรสในวิริยินทรีย์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สติพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวไปในความประมาท ความประมาทเป็นกากอรรถรส ธรรมรส วิมุติรส ในสติพละนั้น เป็นธรรมที่ควรดื่มสมาธิพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวไปในอุทธัจจะ อุทธัจจะเป็นกาก อรรถรส ธรรมรสวิมุติรส ในสมาธิพละนั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม ปัญญาพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวไปในอวิชชา อวิชชาเป็นกาก อรรถรส ธรรมรสวิมุติรส ในปัญญาพละนั้น เป็นธรรมที่ควรดื่มสติสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความตั้งมั่น ความประมาทเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุติรส ในสติสัมโพชฌงค์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งการเลือกเฟ้น อวิชชาเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุติรส ในธรรมวิจยสัมโพชฌงค์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่มวิริยสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความประคองไว้ ความเกียจคร้านเป็นกาก อรรถรส ธรรมรสวิมุติรส ในวิริยสัมโพชฌงค์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม ปีติสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความแผ่ซ่าน ความเร่าร้อนเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุติรส ในปีติสัมโพชฌงค์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความสงบ ความชั่วหยาบเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุติรส ในปัสสัทธิสัมโพชฌงค์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สมาธิสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน อุทธัจจะเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุติรส ในสมาธิสัมโพชฌงค์นั้นเป็นธรรมที่ควรดื่ม อุเบกขาสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งการพิจารณาหาทาง การไม่พิจารณาหาทางเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุติรสในอุเบกขาสัมโพชฌงค์นั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม ฯ

[533] สัมมาทิฐิเป็นความผ่องใสแห่งการเห็น มิจฉาทิฐิเป็นกากอรรถรส ธรรมรสวิมุติรส ในสัมมาทิฐินั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สัมมาสังกัปปะเป็นความผ่องใสแห่งความดำริมิจฉาสังกัปปะเป็นกาก อรรถรสธรรมรส วิมุติรส ในสัมมาสังกัปปะนั้น เป็นธรรมที่ควรดื่มสัมมาวาจาเป็นความผ่องใสแห่งความกำหนด มิจฉาวาจาเป็นกาก อรรถรส ธรรมรสวิมุติรส ในสัมมาวาจานั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สัมมากัมมันตะเป็นความผ่องใสแห่งสมุฏฐาน อรรถรส ธรรมรส วิมุติรส ในสัมมากัมมันตะนั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สัมมาวาชีวะเป็นความผ่องใสแห่งความผ่องแผ้ว มิจฉาอาชีวะเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุติรส ในสัมมาวาชีวะนั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สัมมาวายามะเป็นความผ่องใสแห่งการประคองไว้ มิจฉาวายามะเป็นกาก อรรถรส ธรรมรส วิมุติรส ในสัมมาวายามะนั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สัมมาสติเป็นความผ่องใสแห่งการตั้งมั่น มิจฉาสตินั้นเป็นกาก อรรถรสธรรมรส วิมุติรส ในสัมมาสตินั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สัมมาสมาธิเป็นความผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน มิจฉาสมาธิเป็นกาก อรรถรส ธรรมรสวิมุติรส ในสัมมาสมาธินั้น เป็นธรรมที่ควรดื่ม สัมมาทิฐิเป็นความผ่องใสแห่งการเห็น สัมมาสังกัปปะเป็นความผ่องใสแห่งความดำริ สัมมาวาจาเป็นความผ่องใสแห่งการกำหนด สัมมากัมมันตะเป็นความผ่องใสแห่งสมุฏฐานสัมมาอาชีวะเป็นความผ่องใสแห่งความผ่องแผ้ว สัมมาวายามะเป็นความผ่องใสแห่งความประคองไว้สัมมาสติเป็นความผ่องใสแห่งความตั้งมั่น สัมมาสมาธิเป็นความผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน สติสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความตั้งมั่น ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความประคองไว้ ปีติสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความแผ่ซ่าน ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความสงบ สมาธิสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่านอุเบกขาสัมโพชฌงค์เป็นความผ่องใสแห่งการพิจารณาหาทาง สัทธาพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวไปในความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา วิริยพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวไปในความเกียจคร้าน สติพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวไปในความประมาท สมาธิพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวไปในอุทธัจจะ ปัญญาพละเป็นความผ่องใสแห่งความไม่หวั่นไหวไปในอวิชชาสัทธินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งความน้อมใจเชื่อ วิริยินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งความประคองไว้สตินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งการตั้งมั่นสมาธินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน ปัญญินทรีย์เป็นความผ่องใสแห่งการเห็น อินทรีย์เป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าเป็นใหญ่ พละเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าไม่หวั่นไหว โพชฌงค์เป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่านำออก มรรคเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าเป็นเหตุ สติปัฏฐานเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าตั้งมั่น สัมมัปปธานเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าเริ่มตั้งไว้ อิทธิบาทเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าให้สำเร็จ สมถะเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน วิปัสสนาเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าพิจารณาเห็นสมถะและวิปัสสนาเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่ามีกิจเป็นอันเดียวกัน ธรรมที่เป็นคู่กันเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าไม่ล่วงเกินกัน สีลวิสุทธิเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าสำรวม จิตตวิสุทธิเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่านทิฐิวิสุทธิเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าเห็น วิโมกข์เป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าหลุดพ้น วิชชาเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าแทงตลอด วิมุตติเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าปล่อยวาง ขยญาณเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าตัดขาด ญาณในความไม่เกิดขึ้นเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าสงบระงับ ฉันทะเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าเป็นมูลมนสิการเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าเป็นสมุฏฐาน ผัสสะเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าเป็นที่ประชุม เวทนาเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าเป็นที่รวม สมาธิเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าเป็นประธาน สติเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าเป็นใหญ่ ปัญญาเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าเป็นธรรมยิ่งกว่าธรรมนั้น วิมุตติเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าเป็นสาระ นิพพานอันหยั่งลงสู่อมตะเป็นความผ่องใสเพราะอรรถว่าเป็นที่สุด ฉะนี้แล ฯ

จบมัณฑเปยยกถา ฯ

จบภาณวาร ฯ

จบมหาวรรคที่ 1 ฯ

________

รวมกถาที่มีในวรรคนี้ คือ

1. ญาณกถา 2. ทิฐิกถา3. อานาปานกถา 4. อินทริยกถา5. วิโมกขกถา 6. คติกถา7. กรรมกถา 8. วิปัลลาสกถา9. มรรคกถา 10. มัณฑเปยยกถา ฯ

นิกายอันประเสริฐนี้ เป็นวรมรรคอันประเสริฐที่ 1 ไม่มีวรรคอื่นเสมอท่านตั้งไว้แล้วฉะนี้แล ฯ

________

เพิ่มเติม