ความแตกต่าง
นี่เป็นการแสดงความแตกต่างระหว่างเพจสองรุ่น
Next revision | Previous revision | ||
วิสุทธิมรรค_11_สมาธินิทเทส [2020/06/27 16:27] 127.0.0.1 แก้ไขภายนอก |
วิสุทธิมรรค_11_สมาธินิทเทส [2021/01/02 20:14] (ฉบับปัจจุบัน) |
||
---|---|---|---|
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
- | {{wst>วสธมฉปส head| }} | + | {{template:วสธมฉปส head| }} |
- | {{wst>วสธมฉปส sidebar}} | + | {{template:ฉบับปรับสำนวน head|}} |
- | =1. อาหาเรปฏิกูลสัญญากถา= | + | =อาหาเรปฏิกูลสัญญากถา= |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 198)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 198)''</fs></sub> | ||
บรรทัด 42: | บรรทัด 42: | ||
ความสำคัญหมาย ซึ่งเกิดขึ้นด้วยอำนาจการถือเอาอาการน่าเกลียดในอาหารนั้น ชื่อว่าอาหาเรปฏิกูลสัญญา | ความสำคัญหมาย ซึ่งเกิดขึ้นด้วยอำนาจการถือเอาอาการน่าเกลียดในอาหารนั้น ชื่อว่าอาหาเรปฏิกูลสัญญา | ||
- | ==พิจารณาความปฏิกูลโดยอาการ 10== | + | ==คำบริกรรมปฏิกูล 10 อาการในอาหาร== |
- | พระโยคีผู้ต้องการเจริญปฏิกูลสัญญาในอาหารนั้น ทั้งนี้จำต้องเรียนกรรมฐานแม้บทเดียวไม่ให้คลาดเคลื่อนจากที่เรียนมา ไปในที่ลับเร้นอยู่ พึงพิจารณาความเป็นของปฏิกูลในกวฬิงการาหาร ซึ่งมีประเภทได้แก่อาหารที่ใช้บริโภค ใช้ดื่ม ใช้เคี้ยว และใช้ลิ้ม โดยอาการ 10 อย่าง คืออย่างไร ? คือ | + | พระโยคีผู้ต้องการเจริญปฏิกูลสัญญาในอาหารนั้น จำเป็นต้องท่องจำเอากรรมฐานไม่ให้คลาดเคลื่อนจากที่เรียนมาแม้แต่บทเดียว แล้วไปในที่หลีกเร้นสำหรับภาวนาอยู่ แล้วพึงพิจารณาความเป็นของปฏิกูลในกวฬิงการาหารต่างๆ คือ ของกิน ของดื่ม ของเคี้ยว ของลิ้ม โดยอาการ 10 อย่าง คืออย่างไร ? |
- | 1. โดยการไป | + | 1. เดินออกวัดก็สกปรก |
- | 2. โดยการแสวงหา | + | 2. ในระแวกบ้านก็สกปรก |
- | 3. โดยการบริโภค | + | 3. ขณะกินก็สกปรก |
- | 4. โดยที่อยู่ | + | 4. อาศัยในน้ำสกปรก |
- | 5. โดยหมักหมม | + | 5. ลำไส้สกปรกไม่เคยล้าง |
- | 6. โดยยังไม่ย่อย | + | 6. ยังไม่ย่อยก็สกปรก |
- | 7. โดยย่อยแล้ว | + | 7. ย่อยแล้วก็สกปรก |
- | 8. โดยผล | + | 8. หล่อเลี้ยงซากและโรค |
- | 9. โดยหลั่งไหลออก | + | 9. ถ่ายออกมาก็สกปรก |
- | 10 โดยเปื้อน | + | 10. แตะอะไรก็เปรอะเปื้อน |
- | ===1. โดยการไป=== | + | ===เดินออกวัดก็สกปรก=== |
- | ในอาการทั้ง 10 นั้น ข้อว่า โดยการไป อธิบายว่า พระโยคีพิจารณาว่า ผู้บวชในพระศาสนาซึ่งชื่อว่ามีอานุภาพมากอย่างนี้ ทำการสาธยายพุทธพจน์หรือทำสมณธรรม | + | ในอาการทั้ง 10 นั้น จะพิจารณาความเป็นของปฏิกูลเพราะเดินออกวัดก็สกปรก (คมนโต) อย่างไร ? อธิบายว่า พระโยคีพิจารณาว่า ผู้บวชในพระศาสนาซึ่งชื่อว่ามีอานุภาพมากอย่างนี้ ทำการสาธยายพุทธพจน์หรือทำสมณธรรม |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 200)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 200)''</fs></sub> | ||
บรรทัด 84: | บรรทัด 84: | ||
ของปฏิกูลซึ่งมีเครื่องลาดเป็นต้น มีซากศพเป็นอเนกเป็นที่สุดดังว่ามานี้ เป็นสิ่งที่พระโยคีจำต้องเหยียบจำต้องดมเพราะอาหารเป็นเหตุ เราพึงพิจารณาความเป็นของปฏิกูลโดยการไปอย่างนี้ว่า แน่ะท่านผู้เจริญ อาหารน่าเกลียดแท้หนอ | ของปฏิกูลซึ่งมีเครื่องลาดเป็นต้น มีซากศพเป็นอเนกเป็นที่สุดดังว่ามานี้ เป็นสิ่งที่พระโยคีจำต้องเหยียบจำต้องดมเพราะอาหารเป็นเหตุ เราพึงพิจารณาความเป็นของปฏิกูลโดยการไปอย่างนี้ว่า แน่ะท่านผู้เจริญ อาหารน่าเกลียดแท้หนอ | ||
- | ===2. โดยการแสวงหา=== | + | ===ในระแวกบ้านก็สกปรก=== |
- | จะพิจารณาความเป็นของน่ารังเกียจโดยการแสวงหาอย่างไร ? ก็เราแม้อดกลั้นสิ่งที่น่าเกลียดโดยการไปอย่างนี้แล้ว เข้าไปสู่บ้านแล้วห่มผ้าสังฆาฏิ มือถือกระเบื้องเที่ยวไป ในถนนในบ้านโดยลำดับเรือนดุจคนกำพร้า ที่ในฐานที่เหยียบลงแล้ว ๆ ในฤดูฝน เท้าทั้งหลายต้องจมลงไปในโคลนเลนจนถึงเนื้อปลีแข้ง ต้องเอามือหนึ่งถือบาตรเอามือหนึ่งยกจีวร ในฤดูร้อนก็จำต้องเที่ยวไปด้วยทั้งสรีระอันเกลื่อนกล่นไปด้วยฝุ่นและละอองหญ้า อันตั้งขึ้นแล้วเพราะกำลังลมพัด ครั้นถึงประตูบ้านนั้น ๆ จำต้องเห็นและบางทีก็เหยียบหลุมโสโครกและบ่อน้ำครำ อันเจือปนด้วยน้ำล้างปลา, น้ำล้างเนื้อ, น้ำซาวข้าว, น้ำลาย, น้ำมูก, มูลสนุขและสุกรเป็นต้น เกลื่อนกล่นไปด้วยหมู่หนอนและแมลงวันหัวเขียว เป็นแดนซึ่งแมลงวันบ้านตั้งขึ้นเที่ยวจับเกาะที่ผ้าสังฆาฏิบ้าง ที่บาตรบ้าง ที่ศีรษะบ้าง แม้เมื่อพระโยคีเข้าไปสู่เรือนแล้ว บางพวกก็ถวายบางพวกก็ไม่ถวาย แม้เมื่อถวาย บางพวกก็ถวายภัตที่สุก แต่วานนี้บ้าง ของเคี้ยวที่เก่าบ้าง ขนมถั่วและแกงเป็นต้นที่บูดแล้วบ้าง ฝ่ายพวกที่ไม่ให้บางพวกก็พูดว่านิมนต์โปรดสัตว์ข้างหน้าเถิดเจ้าข้า บางพวกก็นิ่งเสียเป็นดุจไม่เห็น บางพวกก็ทำทีพูดกับคนอื่นเสีย บางพวกซ้ำด่าด้วยคำหยาบ เป็นต้นว่า เฮ้ย ! ไอ้หัวโล้นจงไปเสีย ถึงเป็นอย่างนี้พระโยคีจำต้องเที่ยวไปบิณฑบาตในบ้าน แล้วจึงออกมา พระโยคีจำต้องเหยียบ จำต้องเห็น จำต้องอดกลั้น ซึ่งของปฏิกูลมีน้ำและโคลนตมเป็นต้นนี้ จำเดิมแต่เข้าไปสู่บ้านจนกระทั่งออก ด้วยประการดังพรรณนามาฉะนี้ เธอพึงพิจารณาความเป็นของปฏิกูลโดยการแสวงหาอย่างนี้ว่า แน่ะท่านผู้เจริญ อาหารน่าเกลียดแท้หนอ ดังนี้ | + | จะพิจารณาความเป็นของปฏิกูลเพราะในระแวกบ้านก็สกปรก (ปริเยสนโต) อย่างไร ? ก็เราแม้อดกลั้นสิ่งที่น่าเกลียดโดยการไปอย่างนี้แล้ว เข้าไปสู่บ้านแล้วห่มผ้าสังฆาฏิ มือถือกระเบื้องเที่ยวไป ในถนนในบ้านโดยลำดับเรือนดุจคนกำพร้า ที่ในฐานที่เหยียบลงแล้ว ๆ ในฤดูฝน เท้าทั้งหลายต้องจมลงไปในโคลนเลนจนถึงเนื้อปลีแข้ง ต้องเอามือหนึ่งถือบาตรเอามือหนึ่งยกจีวร ในฤดูร้อนก็จำต้องเที่ยวไปด้วยทั้งสรีระอันเกลื่อนกล่นไปด้วยฝุ่นและละอองหญ้า อันตั้งขึ้นแล้วเพราะกำลังลมพัด ครั้นถึงประตูบ้านนั้น ๆ จำต้องเห็นและบางทีก็เหยียบหลุมโสโครกและบ่อน้ำครำ อันเจือปนด้วยน้ำล้างปลา, น้ำล้างเนื้อ, น้ำซาวข้าว, น้ำลาย, น้ำมูก, มูลสนุขและสุกรเป็นต้น เกลื่อนกล่นไปด้วยหมู่หนอนและแมลงวันหัวเขียว เป็นแดนซึ่งแมลงวันบ้านตั้งขึ้นเที่ยวจับเกาะที่ผ้าสังฆาฏิบ้าง ที่บาตรบ้าง ที่ศีรษะบ้าง แม้เมื่อพระโยคีเข้าไปสู่เรือนแล้ว บางพวกก็ถวายบางพวกก็ไม่ถวาย แม้เมื่อถวาย บางพวกก็ถวายภัตที่สุก แต่วานนี้บ้าง ของเคี้ยวที่เก่าบ้าง ขนมถั่วและแกงเป็นต้นที่บูดแล้วบ้าง ฝ่ายพวกที่ไม่ให้บางพวกก็พูดว่านิมนต์โปรดสัตว์ข้างหน้าเถิดเจ้าข้า บางพวกก็นิ่งเสียเป็นดุจไม่เห็น บางพวกก็ทำทีพูดกับคนอื่นเสีย บางพวกซ้ำด่าด้วยคำหยาบ เป็นต้นว่า เฮ้ย ! ไอ้หัวโล้นจงไปเสีย ถึงเป็นอย่างนี้พระโยคีจำต้องเที่ยวไปบิณฑบาตในบ้าน แล้วจึงออกมา พระโยคีจำต้องเหยียบ จำต้องเห็น จำต้องอดกลั้น ซึ่งของปฏิกูลมีน้ำและโคลนตมเป็นต้นนี้ จำเดิมแต่เข้าไปสู่บ้านจนกระทั่งออก ด้วยประการดังพรรณนามาฉะนี้ เธอพึงพิจารณาความเป็นของปฏิกูลโดยการแสวงหาอย่างนี้ว่า แน่ะท่านผู้เจริญ อาหารน่าเกลียดแท้หนอ ดังนี้ |
- | ===3. โดยการบริโภค=== | + | ===ขณะกินก็สกปรก=== |
- | จะพิจารณาความเป็นของน่าเกลียดโดยการบริโภคอย่างไร ? คือพิจารณาว่า ก็พระโยคีผู้แสวงหาอาหารอย่างนี้แล้ว นั่งอย่างสบายในที่สะดวกภายนอกบ้าน ตราบใดที่ยัง | + | จะพิจารณาความเป็นของปฏิกูลเพราะขณะกินก็สกปรก (ปริโภคโต) อย่างไร ? คือพิจารณาว่า ก็พระโยคีผู้แสวงหาอาหารอย่างนี้แล้ว นั่งอย่างสบายในที่สะดวกภายนอกบ้าน ตราบใดที่ยัง |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 202)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 202)''</fs></sub> | ||
บรรทัด 95: | บรรทัด 95: | ||
มิได้หย่อนมือลงไปในอาหารนั้น แลเห็นภิกษุผู้อยู่ในฐานะเป็นครูหรือมนุษย์ผู้ละอายบาปเห็นบาปนั้น ก็ยังพออาจเพื่อนิมนต์ให้ฉันอาหารเช่นนั้นได้อยู่ตราบนั้น เพราะยังไม่เป็นของปฏิกูล แต่เมื่อหย่อนมือลงไปในอาหารนี้ด้วยความเป็นผู้ต้องการฉันแล้ว เธอจะกล่าวว่าท่านจงรับเอาดังนี้ ต้องละอาย เพราะเป็นของปฏิกูลแล้ว อนึ่ง เหงื่อหลั่งออกตามง่ามนิ้วมือทั้ง 5 ของพระโยคีผู้หย่อนมือลงไปขยำอยู่ แม้ภัตที่แห้งแข็งก็ให้ชุ่มทำให้อ่อนได้ ภายหลัง เมื่ออาหารนั้นมีความงามอันสลายแล้ว แม้เพราะเหตุสักว่าขยำทำเป็นคำ ๆ ใส่วางไว้ในปาก ฟันล่างก็ทำกิจต่างครก ฟันบนทำกิจต่างสาก ลิ้นทำกิจต่างมือ อาหารนั้นอันสากคือฟันตำแล้วอันลิ้นคลุกเคล้าแล้วในปากนั้น เป็นดุจก้อนรากสุนัขในรางสุนัข น้ำลายจางใส ที่ปลายลิ้นเปื้อน แต่กลางลิ้นเข้าไปน้ำลายข้นเปื้อน มูลฟันในที่ซึ่งไม้ชำระไม่ถึงเปื้อน อาหารนั้นทั้งถูกบดถูกเปื้อนอย่างนี้ หมดสีกลิ่นและเครื่องปรุงอันวิเศษในทันทีนั้น เข้าถึงความเป็นของน่าเกลียดอย่างยิ่ง ดุจรากสุนัขอันอยู่ในรางสุนัข แม้เป็นเช่นนั้นยังกลืนกินได้ เพราะล่วงคลองจักษุไปแล้ว พระโยคีพึงพิจารณาความเป็นของปฏิกูลโดยการบริโภคอย่างที่ว่ามานั่นแหละ | มิได้หย่อนมือลงไปในอาหารนั้น แลเห็นภิกษุผู้อยู่ในฐานะเป็นครูหรือมนุษย์ผู้ละอายบาปเห็นบาปนั้น ก็ยังพออาจเพื่อนิมนต์ให้ฉันอาหารเช่นนั้นได้อยู่ตราบนั้น เพราะยังไม่เป็นของปฏิกูล แต่เมื่อหย่อนมือลงไปในอาหารนี้ด้วยความเป็นผู้ต้องการฉันแล้ว เธอจะกล่าวว่าท่านจงรับเอาดังนี้ ต้องละอาย เพราะเป็นของปฏิกูลแล้ว อนึ่ง เหงื่อหลั่งออกตามง่ามนิ้วมือทั้ง 5 ของพระโยคีผู้หย่อนมือลงไปขยำอยู่ แม้ภัตที่แห้งแข็งก็ให้ชุ่มทำให้อ่อนได้ ภายหลัง เมื่ออาหารนั้นมีความงามอันสลายแล้ว แม้เพราะเหตุสักว่าขยำทำเป็นคำ ๆ ใส่วางไว้ในปาก ฟันล่างก็ทำกิจต่างครก ฟันบนทำกิจต่างสาก ลิ้นทำกิจต่างมือ อาหารนั้นอันสากคือฟันตำแล้วอันลิ้นคลุกเคล้าแล้วในปากนั้น เป็นดุจก้อนรากสุนัขในรางสุนัข น้ำลายจางใส ที่ปลายลิ้นเปื้อน แต่กลางลิ้นเข้าไปน้ำลายข้นเปื้อน มูลฟันในที่ซึ่งไม้ชำระไม่ถึงเปื้อน อาหารนั้นทั้งถูกบดถูกเปื้อนอย่างนี้ หมดสีกลิ่นและเครื่องปรุงอันวิเศษในทันทีนั้น เข้าถึงความเป็นของน่าเกลียดอย่างยิ่ง ดุจรากสุนัขอันอยู่ในรางสุนัข แม้เป็นเช่นนั้นยังกลืนกินได้ เพราะล่วงคลองจักษุไปแล้ว พระโยคีพึงพิจารณาความเป็นของปฏิกูลโดยการบริโภคอย่างที่ว่ามานั่นแหละ | ||
- | ===4. โดยที่อยู่=== | + | ===อาศัยในน้ำสกปรก=== |
- | จะพิจารณาความเป็นของน่ารังเกียจโดยที่อยู่อย่างไร ? คือพิจารณาว่า ก็แหละอาหารนี้เข้าถึงการบริโภคอย่างนี้แล้ว เมื่อเข้าไปข้างใน เพราะเหตุที่จะเป็นพระพุทธเจ้าหรือพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระเจ้าจักรพรรดิก็ตามที ย่อมมีที่อาศัยอย่างใดอย่างหนึ่ง ในบรรดาที่อาศัย 4 อย่าง คือ ปิตตาสัย ที่อาศัยคือดี เสมหาสัย ที่อาศัยคือเสลด ปุพพาสัย ที่อาศัยคือหนอง โลหิตาสัย ที่อาศัยคือเลือด แต่สำหรับคนมีปัญญาน้อยมีที่อาศัยครบทั้ง 4 เพราะเหตุนั้น อาหารใดที่อาศัยคือดีมาก อาหารนั้นน่าเกลียดยิ่งนักดุจเปื้อนด้วยนำมันมะพร้าวข้น อาหารใดที่อาศัยคือเสลดมาก อาหารนั้นดุจระคนด้วยน้ำใบกากะทิง อาหารใดที่อาศัยคือหนองมาก อาหารนั้นดุจระคนด้วยเปรียงเน่า อาหารใดที่อาศัยคือโลหิตมาก อาหารนั้นน่าสะอิดสะเอียนยิ่งนักดุจระคนด้วยน้ำย้อม พระโยคีพึงพิจารณาความเป็นของปฏิกูลโดยที่อาศัยอย่างพรรณนามาฉะนี้ | + | จะพิจารณาความเป็นของปฏิกูลเพราะอาศัยในน้ำสกปรก (อาสยโต) อย่างไร ? คือพิจารณาว่า ก็แหละอาหารนี้เข้าถึงการบริโภคอย่างนี้แล้ว เมื่อเข้าไปข้างใน เพราะเหตุที่จะเป็นพระพุทธเจ้าหรือพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระเจ้าจักรพรรดิก็ตามที ย่อมมีที่อาศัยอย่างใดอย่างหนึ่ง ในบรรดาที่อาศัย 4 อย่าง คือ ปิตตาสัย ที่อาศัยคือดี เสมหาสัย ที่อาศัยคือเสลด ปุพพาสัย ที่อาศัยคือหนอง โลหิตาสัย ที่อาศัยคือเลือด แต่สำหรับคนมีปัญญาน้อยมีที่อาศัยครบทั้ง 4 เพราะเหตุนั้น อาหารใดที่อาศัยคือดีมาก อาหารนั้นน่าเกลียดยิ่งนักดุจเปื้อนด้วยนำมันมะพร้าวข้น อาหารใดที่อาศัยคือเสลดมาก อาหารนั้นดุจระคนด้วยน้ำใบกากะทิง อาหารใดที่อาศัยคือหนองมาก อาหารนั้นดุจระคนด้วยเปรียงเน่า อาหารใดที่อาศัยคือโลหิตมาก อาหารนั้นน่าสะอิดสะเอียนยิ่งนักดุจระคนด้วยน้ำย้อม พระโยคีพึงพิจารณาความเป็นของปฏิกูลโดยที่อาศัยอย่างพรรณนามาฉะนี้ |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 203)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 203)''</fs></sub> | ||
- | ===5. โดยหมักหมม=== | + | ===ลำไส้สกปรกไม่เคยล้าง=== |
- | จะพิจารณาความเป็นของปฏิกูลโดยหมักหมมอย่างไร ? คือพิจารณาว่า อาหารนั้นระคนด้วยที่อาศัย ในบรรดาที่อาศัยทั้ง 4 เหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วเข้าไปสู่ภายในท้องไม่ใช่ไปหมักหมมอยู่ในภาชนะทองหรือภาชนะแก้วมณีหรือภาชนะเงินเป็นต้น ก็หากคนมีอายุ 10 ปีกลืนกิน ก็ย่อมตั้งอยู่ในโอกาสอันเช่นเดียวกับหลุมคูถที่ไม่ได้ชำระตลอด 10 ปี ถ้าหากคนมีอายุ 20 ปี 30 ปี 40 ปี 50 ปี 60 ปี 70 ปี 80 ปี 90 ปีกลืนกิน ก็ย่อมตั้งอยู่ในโอกาสอันเป็นหลุมคูถที่ไม้ได้ชำระตั้ง 20-30-40-50-60-70-80-90 ปี ถ้าหากคนมีอายุตั้ง 100 ปีกลืนกิน ก็ย่อมตั้งอยู่ในโอกาสเช่นเดียวกับหลุมคูถซึ่งมิได้ชำระตั้ง 100 ปี พระโยคีพึงพิจารณาความเป็นของปฏิกูลความเป็นของปฏิกูลโดยความหมักหมม อย่างพรรณนามาฉะนี้ | + | จะพิจารณาความเป็นของปฏิกูลลำไส้สกปรกไม่เคยล้าง (นิธานโต) อย่างไร ? คือพิจารณาว่า อาหารนั้นระคนด้วยที่อาศัย ในบรรดาที่อาศัยทั้ง 4 เหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วเข้าไปสู่ภายในท้องไม่ใช่ไปหมักหมมอยู่ในภาชนะทองหรือภาชนะแก้วมณีหรือภาชนะเงินเป็นต้น ก็หากคนมีอายุ 10 ปีกลืนกิน ก็ย่อมตั้งอยู่ในโอกาสอันเช่นเดียวกับหลุมคูถที่ไม่ได้ชำระตลอด 10 ปี ถ้าหากคนมีอายุ 20 ปี 30 ปี 40 ปี 50 ปี 60 ปี 70 ปี 80 ปี 90 ปีกลืนกิน ก็ย่อมตั้งอยู่ในโอกาสอันเป็นหลุมคูถที่ไม้ได้ชำระตั้ง 20-30-40-50-60-70-80-90 ปี ถ้าหากคนมีอายุตั้ง 100 ปีกลืนกิน ก็ย่อมตั้งอยู่ในโอกาสเช่นเดียวกับหลุมคูถซึ่งมิได้ชำระตั้ง 100 ปี พระโยคีพึงพิจารณาความเป็นของปฏิกูลความเป็นของปฏิกูลโดยความหมักหมม อย่างพรรณนามาฉะนี้ |
- | ===6. โดยยังไม่ย่อย=== | + | ===ยังไม่ย่อยก็สกปรก=== |
- | จะพิจารณาความเป็นของน่ารังเกียจโดยยังไม่ย่อยอย่างไร ? คือพิจารณาว่า ก็อาหารนี้นั้นเข้าถึงความหมักหมมในโอกาสเช่นนี้ยังไม่ย่อยตราบใด ที่กลืนกินในวันนั้นก็ดี ในวันวานก็ดี ในวันก่อนแต่นั้นก็ดี ทั้งหมดถูกแผ่นเสมหะห่อหุ้มเป็นอันเดียวกันปุดเป็นฟองฟอด ซึ่งเกิดแต่ความย่อยยับ อันความร้อนแห่งไฟในกายให้ย่อยแล้วเข้าถึงความเป็นของน่าเกลียดอย่างยิ่งแล้วตั้งอยู่ในประเทศที่มืดมิดอย่างยิ่ง ที่ถูกอบด้วยกลิ่นแห่งซากศพต่าง ๆ ดุจเที่ยวไปในป่าทึบที่น่าเกลียดมีกลิ่นเหม็นยิ่งนัก ซึ่งมีประการดังกล่าวแล้วนั้นนั่นเทียวอยู่ตราบนั้น เปรียบดุหญ้า ใบไม้ ท่อนเสื่อลำแพน ซากงู สุนัข และมนุษย์เป็นต้น ซึ่งตกลงในหลุมใกล้ประตูบ้านคนจัณฑาลอันฝนไม่ใช่การตกรดแล้วในฤดูแล้ง ฤดูความร้อนของดวงอาทิตย์แผดเผา เดือดเป็นฟองฟอดแล้วตั้งอยู่ฉะนั้น พระโยคีพึงพิจารณาความเป็นของปฏิกูลโดยยังไม่ย่อยอย่างนี้ | + | จะพิจารณาความปฏิกูลเพราะยังไม่ย่อยก็สกปรก (อปริปกฺกโต) อย่างไร ? คือพิจารณาว่า ก็อาหารนี้นั้นเข้าถึงความหมักหมมในโอกาสเช่นนี้ยังไม่ย่อยตราบใด ที่กลืนกินในวันนั้นก็ดี ในวันวานก็ดี ในวันก่อนแต่นั้นก็ดี ทั้งหมดถูกแผ่นเสมหะห่อหุ้มเป็นอันเดียวกันปุดเป็นฟองฟอด ซึ่งเกิดแต่ความย่อยยับ อันความร้อนแห่งไฟในกายให้ย่อยแล้วเข้าถึงความเป็นของน่าเกลียดอย่างยิ่งแล้วตั้งอยู่ในประเทศที่มืดมิดอย่างยิ่ง ที่ถูกอบด้วยกลิ่นแห่งซากศพต่าง ๆ ดุจเที่ยวไปในป่าทึบที่น่าเกลียดมีกลิ่นเหม็นยิ่งนัก ซึ่งมีประการดังกล่าวแล้วนั้นนั่นเทียวอยู่ตราบนั้น เปรียบดุหญ้า ใบไม้ ท่อนเสื่อลำแพน ซากงู สุนัข และมนุษย์เป็นต้น ซึ่งตกลงในหลุมใกล้ประตูบ้านคนจัณฑาลอันฝนไม่ใช่การตกรดแล้วในฤดูแล้ง ฤดูความร้อนของดวงอาทิตย์แผดเผา เดือดเป็นฟองฟอดแล้วตั้งอยู่ฉะนั้น พระโยคีพึงพิจารณาความเป็นของปฏิกูลโดยยังไม่ย่อยอย่างนี้ |
- | ===7. โดยย่อยแล้ว=== | + | ===ย่อยแล้วก็สกปรก=== |
- | จะพิจารณาความเป็นของปฏิกูลโดยย่อยแล้วอย่างไร ? คือพิจารณาว่า อาหารนั้นเป็นสภาพอันไฟในกายให้ย่อยแล้วในโอกาสนั้น และมิใช่จะให้เข้าถึงความเป็นทองเป็นเงิน | + | จะพิจารณาความเป็นของปฏิกูลเพราะย่อยแล้วก็สกปรก (ปริปกฺกโต) อย่างไร ? คือพิจารณาว่า อาหารนั้นเป็นสภาพอันไฟในกายให้ย่อยแล้วในโอกาสนั้น และมิใช่จะให้เข้าถึงความเป็นทองเป็นเงิน |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 204)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 204)''</fs></sub> | ||
บรรทัด 117: | บรรทัด 117: | ||
เป็นต้น ดุจดังธาตุทองและธาตุเงินเป็นต้นได้ แต่ก็เมื่อผุดเป็นฟองฟอดอยู่ เข้าถึงความเป็นอุจจาระ ยังกระเพาะอาหารเก่าให้เต็ม เปรียบดุจดินเหลืองซึ่งบุคคลบดดินที่ควรทำให้ละเอียดแล้วใส่เข้าในกระบอกไม้ไผ่ เข้าถึงความเป็นมูตรยังกระเพาะปัสสาวะให้เต็มอยู่ พระโยคีพึงพิจารณาความเป็นของปฏิกูลโดยย่อยแล้วอย่างที่พรรณนามานี้ | เป็นต้น ดุจดังธาตุทองและธาตุเงินเป็นต้นได้ แต่ก็เมื่อผุดเป็นฟองฟอดอยู่ เข้าถึงความเป็นอุจจาระ ยังกระเพาะอาหารเก่าให้เต็ม เปรียบดุจดินเหลืองซึ่งบุคคลบดดินที่ควรทำให้ละเอียดแล้วใส่เข้าในกระบอกไม้ไผ่ เข้าถึงความเป็นมูตรยังกระเพาะปัสสาวะให้เต็มอยู่ พระโยคีพึงพิจารณาความเป็นของปฏิกูลโดยย่อยแล้วอย่างที่พรรณนามานี้ | ||
- | ===8. โดยผล=== | + | ===หล่อเลี้ยงซากและโรค=== |
- | จะพิจารณาความเป็นของปฏิกูลโดยผลอย่างไร ? คือพิจารณาว่า ก็อาหารนี้อันไฟธาตุย่อยอยู่โดยชอบเทียว ย่อมสำเร็จเป็นซากต่าง ๆ มี ผม ขน เล็บ ฟัน เป็นต้น ที่ไม่ย่อยอยู่โดยชอบ ย่อมให้สำเร็จเป็นโรคตั้ง 100 ชนิด มีหิดเปื่อย หิดด้าน คุดทะลาด โรคเรื้อน ขี้กลาก หืด ไอลงแดง เป็นต้น นี้เป็นผลของอาหารนั้น พระโยคีพึงพิจารณาความเป็นของปฏิกูลโดยผลอย่างนี้ | + | จะพิจารณาความเป็นของปฏิกูลเพราะหล่อเลี้ยงซากและโรค (ผลโต) อย่างไร ? คือพิจารณาว่า ก็อาหารนี้อันไฟธาตุย่อยอยู่โดยชอบเทียว ย่อมสำเร็จเป็นซากต่าง ๆ มี ผม ขน เล็บ ฟัน เป็นต้น ที่ไม่ย่อยอยู่โดยชอบ ย่อมให้สำเร็จเป็นโรคตั้ง 100 ชนิด มีหิดเปื่อย หิดด้าน คุดทะลาด โรคเรื้อน ขี้กลาก หืด ไอลงแดง เป็นต้น นี้เป็นผลของอาหารนั้น พระโยคีพึงพิจารณาความเป็นของปฏิกูลโดยผลอย่างนี้ |
- | ===9. โดยหลั่งไหลออก=== | + | ===ไหลออกมาก็สกปรก=== |
- | จะพิจารณาความเป็นของปฏิกูลโดยหลั่งไหลออกอย่างไร? คือพิจารณาว่า ก็อาหารนี้อันบุคคลกลืนกินอยู่ เข้าไปโดยทวารช่องเดียว เมื่อจะหลั่งออกย่อมออกโดยทวารเป็นอเนก โดยประการเป็นต้นว่า ขี้ตาไหลจากตา ขี้หูไหลจากหู อนึ่ง อาหารนี้ในเวลาที่กลืนกิน บุคคลย่อมกลืนกินแม้ด้วยทั้งบริวารมาก แต่ในเวลาที่ถ่ายออก เข้าถึงความเป็นอุจจาระและปัสสาวะ เป็นต้น เฉพาะคน ๆ เดียวย่อมถ่ายออก ก็เมื่อบริโภคอาหารนั้นในวันแรกทั้งยินดีทั้งร่าเริง ปลื้มจิตโปร่งใจเกิดปีติโสมนัส พอวันที่ 2 เมื่อจะถ่ายออกย่อมปิดจมูกสยิ้วหน้าสะอิดสะเอียนเก้อเขิน อนึ่ง ในวันแรกเขากำหนัดแล้วชอบใจจดจ่อ แม้สยบหมกมุ่นกลืนกินอาหารนั้น ครั้นวันที่ 2 ค้างอยู่เพียงคืนเดียวก็เบื่อหน่ายอึดอัดระอารังเกียจจึงต้องถ่ายออก เพราะเหตุนั้นท่านอาจารย์ดึกดำบรรพ์จึงกล่าวว่า | + | จะพิจารณาความเป็นของปฏิกูลเพราะไหลออกมาก็สกปรก (นิสฺสนฺทโต) อย่างไร? คือพิจารณาว่า ก็อาหารนี้อันบุคคลกลืนกินอยู่ เข้าไปโดยทวารช่องเดียว เมื่อจะหลั่งออกย่อมออกโดยทวารเป็นอเนก โดยประการเป็นต้นว่า ขี้ตาไหลจากตา ขี้หูไหลจากหู อนึ่ง อาหารนี้ในเวลาที่กลืนกิน บุคคลย่อมกลืนกินแม้ด้วยทั้งบริวารมาก แต่ในเวลาที่ถ่ายออก เข้าถึงความเป็นอุจจาระและปัสสาวะ เป็นต้น เฉพาะคน ๆ เดียวย่อมถ่ายออก ก็เมื่อบริโภคอาหารนั้นในวันแรกทั้งยินดีทั้งร่าเริง ปลื้มจิตโปร่งใจเกิดปีติโสมนัส พอวันที่ 2 เมื่อจะถ่ายออกย่อมปิดจมูกสยิ้วหน้าสะอิดสะเอียนเก้อเขิน อนึ่ง ในวันแรกเขากำหนัดแล้วชอบใจจดจ่อ แม้สยบหมกมุ่นกลืนกินอาหารนั้น ครั้นวันที่ 2 ค้างอยู่เพียงคืนเดียวก็เบื่อหน่ายอึดอัดระอารังเกียจจึงต้องถ่ายออก เพราะเหตุนั้นท่านอาจารย์ดึกดำบรรพ์จึงกล่าวว่า |
อาหารเครื่องดื่มของเคี้ยวและโภชนะซึ่งมีค่ามาก เข้าโดยทวารช่องเดียว แต่หลั่งออกโดยทวารตั้ง 9 ช่อง อาหารเครื่องดื่มของเคี้ยวและโภชนะซึ่งมีค่ามาก บุคคลมีบริวารแวดล้อมบริโภคอยู่ แต่เวลาเขาจะถ่ายออกย่อมแอบแฝง อาหารเครื่องดื่มของเคี้ยวและโภชนะซึ่งมีค่ามาก บุคคลชื่นชมบริโภคอยู่แต่เมื่อ | อาหารเครื่องดื่มของเคี้ยวและโภชนะซึ่งมีค่ามาก เข้าโดยทวารช่องเดียว แต่หลั่งออกโดยทวารตั้ง 9 ช่อง อาหารเครื่องดื่มของเคี้ยวและโภชนะซึ่งมีค่ามาก บุคคลมีบริวารแวดล้อมบริโภคอยู่ แต่เวลาเขาจะถ่ายออกย่อมแอบแฝง อาหารเครื่องดื่มของเคี้ยวและโภชนะซึ่งมีค่ามาก บุคคลชื่นชมบริโภคอยู่แต่เมื่อ | ||
บรรทัด 133: | บรรทัด 133: | ||
พระโยคีพึงพิจารณาความเป็นของปฏิกูลโดยหลั่งไหลออกอย่างนี้ | พระโยคีพึงพิจารณาความเป็นของปฏิกูลโดยหลั่งไหลออกอย่างนี้ | ||
- | ===10. โดยเปื้อน=== | + | ===แตะอะไรก็เปรอะเปื้อน=== |
- | จะพิจารณาความเป็นของปฏิกูลโดยการเปื้อนอย่างไร ? คือพิจารณาว่า ก็อาหารนี้ แม้ในเวลาบริโภค ย่อมยังมือปากลิ้นและเพดานให้เปื้อน เพราะถูกอาหารนั้นเปื้อน อวัยะเหล่านั้นจึงเป็นของปฏิกูล ซึ่งแม้จะล้างแล้วก็จำต้องล้างบ่อย ๆ เพื่อขจัดกลิ่น อาหารเมื่อบริโภคเข้าไปแล้ว เช่นเดียวกับเมื่อหุงข้าวสุกแกลบรำปลายข้าวเป็นต้นเดือดปุดขึ้นแล้ว ย่อมเปื้อนขอบปากหม้อและฝาหม้อ ฉันใด อาหารอันไฟประจำกายซึ่งไปตามสรีระทั้งร่าง เผาให้เดือดปุดเป็นฟองฟูดขึ้นมาอยู่ ย่อมยังฟันให้เปื้อนโดยความเป็นมลทินฟัน ย่อมยังอวัยวะมีลิ้นและเพดานเป็นต้นให้เปื้อนโดยความเป็นน้ำลายและเสมหะเป็นต้น ยัง ตา หู จมูก ทวารหนักเป็นต้นให้เปื้อนโดยความเป็นขี้ตา ขี้หู น้ำมูก ปัสสาวะ และอุจจาระเป็นต้น อันเป็นเหตุให้บรรดาทวารที่ถูกเปื้อนแล้ว แม้บุคคลล้างอยู่ทุก ๆ วันก็ไม่เป็นของสะอาด ไม่เป็นของน่าฟูใจ ซึ่งเป็นที่ ๆ บุคคลล้างทวารบางทวารแล้วจำต้องล้างมือด้วยน้ำอีก บุคคลล้างทวารบางทวารแล้ว ล้างมือด้วยโคมัยก็ดี ดินเหนียวก็ดี จุณหอมก็ดี ตั้ง 2 ครั้ง ความเป็นของปฏิกูลก็ยังไม่ไปปราศ พระโยคีพึงพิจารณาความเป็นของปฏิกูลโดยการเปื้อนอย่างนี้ | + | จะพิจารณาความเป็นของปฏิกูลเพราะแตะอะไรก็เปรอะเปื้อน (สมฺมกฺขนโต) อย่างไร ? คือพิจารณาว่า ก็อาหารนี้ แม้ในเวลาบริโภค ย่อมยังมือปากลิ้นและเพดานให้เปื้อน เพราะถูกอาหารนั้นเปื้อน อวัยะเหล่านั้นจึงเป็นของปฏิกูล ซึ่งแม้จะล้างแล้วก็จำต้องล้างบ่อย ๆ เพื่อขจัดกลิ่น อาหารเมื่อบริโภคเข้าไปแล้ว เช่นเดียวกับเมื่อหุงข้าวสุกแกลบรำปลายข้าวเป็นต้นเดือดปุดขึ้นแล้ว ย่อมเปื้อนขอบปากหม้อและฝาหม้อ ฉันใด อาหารอันไฟประจำกายซึ่งไปตามสรีระทั้งร่าง เผาให้เดือดปุดเป็นฟองฟูดขึ้นมาอยู่ ย่อมยังฟันให้เปื้อนโดยความเป็นมลทินฟัน ย่อมยังอวัยวะมีลิ้นและเพดานเป็นต้นให้เปื้อนโดยความเป็นน้ำลายและเสมหะเป็นต้น ยัง ตา หู จมูก ทวารหนักเป็นต้นให้เปื้อนโดยความเป็นขี้ตา ขี้หู น้ำมูก ปัสสาวะ และอุจจาระเป็นต้น อันเป็นเหตุให้บรรดาทวารที่ถูกเปื้อนแล้ว แม้บุคคลล้างอยู่ทุก ๆ วันก็ไม่เป็นของสะอาด ไม่เป็นของน่าฟูใจ ซึ่งเป็นที่ ๆ บุคคลล้างทวารบางทวารแล้วจำต้องล้างมือด้วยน้ำอีก บุคคลล้างทวารบางทวารแล้ว ล้างมือด้วยโคมัยก็ดี ดินเหนียวก็ดี จุณหอมก็ดี ตั้ง 2 ครั้ง ความเป็นของปฏิกูลก็ยังไม่ไปปราศ พระโยคีพึงพิจารณาความเป็นของปฏิกูลโดยการเปื้อนอย่างนี้ |
==การบรรลุอุปจารฌาน== | ==การบรรลุอุปจารฌาน== | ||
บรรทัด 149: | บรรทัด 149: | ||
นี้เป็นถ้อยแถลงอย่างพิสดารในการเจริญอาหาเรปฏิกูลสัญญา | นี้เป็นถ้อยแถลงอย่างพิสดารในการเจริญอาหาเรปฏิกูลสัญญา | ||
- | =2. จตุธาตุววัฏฐานกถา= | + | =จตุธาตุววัฏฐานกถา= |
คำที่ข้าพเจ้า[[วิสุทธิมรรค_ฉบับปรับสำนวน_ปริจเฉท_3_กัมมัฏฐานคหณนิทเทส#โดยอธิบายวิธีนับจำนวน|กล่าวไว้]]เคยกล่าวไว้ต่อจากอาหารเรปฏิกูลสัญญากัมมัฏฐานว่า | คำที่ข้าพเจ้า[[วิสุทธิมรรค_ฉบับปรับสำนวน_ปริจเฉท_3_กัมมัฏฐานคหณนิทเทส#โดยอธิบายวิธีนับจำนวน|กล่าวไว้]]เคยกล่าวไว้ต่อจากอาหารเรปฏิกูลสัญญากัมมัฏฐานว่า |