วิสุทธิมรรค_08_อนุสสติกัมมัฏฐานนิทเทส

ความแตกต่าง

นี่เป็นการแสดงความแตกต่างระหว่างเพจสองรุ่น

Link to this comparison view

Both sides previous revision Previous revision
Next revision
Previous revision
วิสุทธิมรรค_08_อนุสสติกัมมัฏฐานนิทเทส [2020/08/18 10:48]
dhamma [ตายเพราะร่างกายมีหนอนมากมายอยู่ก่อนแล้ว]
วิสุทธิมรรค_08_อนุสสติกัมมัฏฐานนิทเทส [2021/01/02 20:14] (ฉบับปัจจุบัน)
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
-{{wst>วสธมฉปส head| }} +{{template:วสธมฉปส head| }} 
-{{wst>​วสธมฉปส ​sidebar}}+{{template:บับรับำนวน head|}}
 =มรณานุสสติกถา= =มรณานุสสติกถา=
  
บรรทัด 250: บรรทัด 250:
  
 ==คำบริกรรมกรรมฐาน== ==คำบริกรรมกรรมฐาน==
-ใน กายคตาสติกัมมัฏฐาน 14 บรรพะนั้น,​ เพราะเหตุที่ 3 บรรพะนี้ ทรงตรัสไว้ด้วยอำนาจวิปัสสนา คือ 1.อิริยาปถบรรพะ 2.จตุสัมปชัญญบรรพะ 3.ธาตุมนสิการบรรพะ. สิวัฏฐิกบรรพะ 9 ก็ตรัสไว้โดยเป็นอาทีนวานุปัสสนา ในวิปัสสนาญาณทั้งหลายเช่นกัน. และแม้สมาธิภาวนาที่พึงสำเร็จในอสุภมีอุทธุมาตกอสุภเป็นต้นในสิวัฏฐิกบรรพะเหล่านี้ ข้าพเจ้าก็อธิบายไปแล้วใน[[วิสุทธิมรรค_ฉบับปรับสำนวน_ปริจเฉท_6_อสุภกัมมัฏฐานนิทเทส|อสุภกัมมัฏฐานนิทเทส]]นั่นแล. ฉะนั้น ในกายคตาสติกัมมัฏฐาน 14 บรรพะนี้ บรรพะที่ทรงตรัสไว้ด้วยอำนาจสมาธิ (ที่ข้าพเจ้ายังไม่ได้อธิบายในสมาธินิทเทสนี้เลย) จึงเหลือเพียง 2  บรรพะนี้เท่านั้น ​ คือ อานาปานบรรพะและปฏิกูลมนสิการบรรพะ. ​  ​ใน 2 บรรพะนี้ ​ ข้าพเจ้าจะแยกอธิบาย[[วิสุทธิมรรค_ฉบับปรับสำนวน_ปริจเฉท_8_อนุสสติกัมมัฏฐานนิทเทส#​อานาปานสติกถา|อานาปานบรรพะ]]ออกไปเป็นอีกกัมมัฏฐานต่างหาก ด้วยอำนาจอานาปานสติ. ​ ส่วนกัมมัฏฐานมีอาการ 32  ที่พระผู้มีพระภาคทรงสงเคราะห์มันสมองเข้ากับเยื่อในกระดูกแล้ว ​  ​ตรัสกัมมัฏฐานไว้ใน ม.อุ.กายคตาสติสูตร ด้วยอำนาจมนสิการโดยความเป็นของปฏิกูล ​ อย่างนี้ว่า ​ "​ดูกรภิกษุทั้งหลาย และกายคตาสติอีกข้อหนึ่ง หลังจากทำกายคตาสติข้อก่อนนั้นแล้ว ​ กาย(ที่ประกอบมาจากธาตุ 4)นี้ใด ​ ที่ข้างบนนับแต่พื้นเท้าขึ้นไป ​ ข้างล่างนับแต่ปลายผมลงมา ​ ข้างๆล้อมด้วยผิวหนัง,​ ภิกษุเห็นกายนั้นแหละบรรจุเต็มไปด้วยส่วนต่างๆ ที่ไม่สะอาด อย่างนี้ว่า "​ผม(ที่ไม่สะอาด)มีอยู่ในกายนี้ ​ ขน... เล็บ... ​ ฟัน... ​ หนัง... ​ เนื้อ... ​ เอ็น... ​ กระดูก... ​ เยื่อในกระดูก... ​ ไต... ​ หัวใจ... ​ ตับ... ​ พังผืด... ​ ม้าม... ​ ปอด... ​ ไส้ใหญ่... ​ ไส้น้อย... ​ อาหารใหม่... ​ อาหารเก่า... ​ ดี... ​ เสลด... ​ หนอง... ​ เลือด... ​ เหงื่อ... ​ มันข้น... ​ น้ำตา... ​ เปลวมัน... ​ น้ำลาย... ​ น้ำมูก... ​ ไขข้อ... ​ มูตร..."​ ดังนี้. ​ เฉพาะกัมมัฏฐานนี้แหละ ที่ข้าพเจ้ามุ่งหมายในที่นี้ว่าเป็นกายคตาสติ.+ใน กายคตาสติกัมมัฏฐาน 14 บรรพะนั้น,​ เพราะเหตุที่ 3 บรรพะนี้ ทรงตรัสไว้ด้วยอำนาจวิปัสสนา คือ 1.อิริยาปถบรรพะ 2.จตุสัมปชัญญบรรพะ 3.ธาตุมนสิการบรรพะ. สิวัฏฐิกบรรพะ 9 ก็ตรัสไว้โดยเป็นอาทีนวานุปัสสนา ในวิปัสสนาญาณทั้งหลายเช่นกัน. และแม้สมาธิภาวนาที่พึงสำเร็จในอสุภมีอุทธุมาตกอสุภเป็นต้นในสิวัฏฐิกบรรพะเหล่านี้ ข้าพเจ้าก็อธิบายไปแล้วใน[[วิสุทธิมรรค_06_อสุภกัมมัฏฐานนิทเทส|อสุภกัมมัฏฐานนิทเทส]]นั่นแล. ฉะนั้น ในกายคตาสติกัมมัฏฐาน 14 บรรพะนี้ บรรพะที่ทรงตรัสไว้ด้วยอำนาจสมาธิ (ที่ข้าพเจ้ายังไม่ได้อธิบายในสมาธินิทเทสนี้เลย) จึงเหลือเพียง 2  บรรพะนี้เท่านั้น ​ คือ อานาปานบรรพะและปฏิกูลมนสิการบรรพะ. ​  ​ใน 2 บรรพะนี้ ​ ข้าพเจ้าจะแยกอธิบาย[[วิสุทธิมรรค_06_อนุสสติกัมมัฏฐานนิทเทส#​อานาปานสติกถา|อานาปานบรรพะ]]ออกไปเป็นอีกกัมมัฏฐานต่างหาก ด้วยอำนาจอานาปานสติ. ​ ส่วนกัมมัฏฐานมีอาการ 32  ที่พระผู้มีพระภาคทรงสงเคราะห์มันสมองเข้ากับเยื่อในกระดูกแล้ว ​  ​ตรัสกัมมัฏฐานไว้ใน ม.อุ.กายคตาสติสูตร ด้วยอำนาจมนสิการโดยความเป็นของปฏิกูล ​ อย่างนี้ว่า ​ "​ดูกรภิกษุทั้งหลาย และกายคตาสติอีกข้อหนึ่ง หลังจากทำกายคตาสติข้อก่อนนั้นแล้ว ​ กาย(ที่ประกอบมาจากธาตุ 4)นี้ใด ​ ที่ข้างบนนับแต่พื้นเท้าขึ้นไป ​ ข้างล่างนับแต่ปลายผมลงมา ​ ข้างๆล้อมด้วยผิวหนัง,​ ภิกษุเห็นกายนั้นแหละบรรจุเต็มไปด้วยส่วนต่างๆ ที่ไม่สะอาด อย่างนี้ว่า "​ผม(ที่ไม่สะอาด)มีอยู่ในกายนี้ ​ ขน... เล็บ... ​ ฟัน... ​ หนัง... ​ เนื้อ... ​ เอ็น... ​ กระดูก... ​ เยื่อในกระดูก... ​ ไต... ​ หัวใจ... ​ ตับ... ​ พังผืด... ​ ม้าม... ​ ปอด... ​ ไส้ใหญ่... ​ ไส้น้อย... ​ อาหารใหม่... ​ อาหารเก่า... ​ ดี... ​ เสลด... ​ หนอง... ​ เลือด... ​ เหงื่อ... ​ มันข้น... ​ น้ำตา... ​ เปลวมัน... ​ น้ำลาย... ​ น้ำมูก... ​ ไขข้อ... ​ มูตร..."​ ดังนี้. ​ เฉพาะกัมมัฏฐานนี้แหละ ที่ข้าพเจ้ามุ่งหมายในที่นี้ว่าเป็นกายคตาสติ.
  
  
บรรทัด 257: บรรทัด 257:
 *พระพุทธโฆสาจารย์จะบอกว่า คำว่ากายคตาสติในพระสูตรทั่วไป คือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน 14 บรรพะ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในกายคตาสติสูตร. แต่คำว่ากายคตาสติในที่นี้ มุ่งหมายเอาเฉพาะปฏิกูลมนสิการบรรพะ 1 บรรพะเท่านั้น ส่วนอีก 13 บรรพะนั้น บางบรรพะท่านได้อธิบายไปในลำดับก่อนๆ แล้ว และบางบรรพะก็ยังไม่ถึงลำดับที่จะอธิบาย. *พระพุทธโฆสาจารย์จะบอกว่า คำว่ากายคตาสติในพระสูตรทั่วไป คือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน 14 บรรพะ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในกายคตาสติสูตร. แต่คำว่ากายคตาสติในที่นี้ มุ่งหมายเอาเฉพาะปฏิกูลมนสิการบรรพะ 1 บรรพะเท่านั้น ส่วนอีก 13 บรรพะนั้น บางบรรพะท่านได้อธิบายไปในลำดับก่อนๆ แล้ว และบางบรรพะก็ยังไม่ถึงลำดับที่จะอธิบาย.
  
-*ท่านกล่าวว่า "​อิริยาถบรรพะและสัมปชัญญะบรรพะตรัสไว้เป็นวิปัสสนา"​ ท่านกล่ตามมหาอรรถกถของ[[มหาสติปัฏฐานสูตร_ฉบับปรับสำนวน|มหาสติปัฏฐานสูตร]] ​ซึ่งตานิทานของสูตรนี้ '''​ตรัสกับผู้ทีทำกรรมฐานมาก่อนแล้ว'''​ จึงสามารถทำวิปัสสนาทั้งนกรรมฐานที่ำนาญแล้ว ทั้งในอิริยาบถ 4 และทั้งในฐานะ 7 ได้โดยไมยาก. แต่เมื่อว่าตามคำอธิบายบทว่า "​วิหติ"​ ในปฏิัมภิทามรค สติปัฏฐนกถา,​ และเมื่อว่าตามสีหวิกกีฬิตนัยของ[[กายคตาสติสูตร_ฉบับปรับสำนวน|กายคตาสติสูตร]] ​ซึ่งตามนิทานขอสูตรนี้'''​ตรัสกับผู้เพิ่งเิ่มทำกรรมฐาน'''​ไวนั้น ​ อิริยบถบรรพะแะสมปชัญญะบรรพะ ​็คือบทว่า"​วิหรติ"​นั่นเอง ​ซึ่งบทว่"​วิหรติ"​นี้ต้องโยคตามไปในทุกกรรมฐานด้วย. กล่าวคือ ทำกรรมฐานแ่ละกองๆ ในทุกอิริยาบถ 4 และทุกฐานะ 7 ก่อน พอได้ฌานเป็นีตาที่ตรสไวยคตาสติสูตรแล้ว ก็ทำวิปัสสาในทุกๆ กรรมฐน ในทุกอิริยาบถ 4 แะทุฐานะ 7 ีกทีหนึ่ตามมหาสติปัฏฐานสูตรต่ไป. รายละเอียดให้ท่องจำบาลีของพระสูรนั้นๆ ให้ชำนาญ วิเคราะห์ามหักเนตติปกรณ์แล้ว จึง่านคำอธิบาในลิงก์ที่ข้าเจ้ทำไว้นั้นเถิด.+*ท่ว่า "1.อิริยาถบรรพะ ​2.จตุสัมปชัญญบรรพะ 3.ธาตุมนสิการบรรพะ ​ทรงตรัสไว้ด้วยอำาจวิปัสสนา" ​นี้ ​ท่านหมายเอาตามโคงสาง[[มหาสติปัฏฐานสูตร_ฉบับปรับสำนวน|มหาสติปัฏฐานสูตร]] ​ม่ใช่ตามครสรของ[[กายคตาสติสูตร_ฉบับปรับสำนวน|กายคตาสติสูตร]] เพราะโคงสร้างหลักองายคตาติสูตรเป็นสมถะถึงขั้นน 4 วิชชา วนโคงสงหองมหาสติปัฏฐานสูตร ​คือตั้งแ่พลวอุทพยญณขึ้นไป.
  
 +*ท่านกล่าวว่า "​อิริยาบถบรรพะและสัมปชัญญะบรรพะตรัสไว้เป็นวิปัสสนา"​ ท่านกล่าวตามมหาอรรถกถาของ[[มหาสติปัฏฐานสูตร_ฉบับปรับสำนวน|มหาสติปัฏฐานสูตร]] ซึ่งตามนิทานของสูตรนี้ '''​ตรัสกับผู้ที่ทำกรรมฐานมาก่อนแล้ว'''​ จึงสามารถทำวิปัสสนาทั้งในกรรมฐานที่ชำนาญแล้ว ทั้งในอิริยาบถ 4 และทั้งในฐานะ 7 ได้โดยไม่ยาก. แต่เมื่อว่าตามคำอธิบายบทว่า "​วิหรติ"​ ในปฏิสัมภิทามรรค สติปัฏฐานกถา,​ และเมื่อว่าตามสีหวิกกีฬิตนัยของ[[กายคตาสติสูตร_ฉบับปรับสำนวน|กายคตาสติสูตร]] ซึ่งตามนิทานขอสูตรนี้'''​ตรัสกับผู้เพิ่งเริ่มทำกรรมฐาน'''​ไว้นั้น ​ อิริยาบถบรรพะและสัมปชัญญะบรรพะ ก็คือบทว่า"​วิหรติ"​นั่นเอง ซึ่งบทว่า"​วิหรติ"​นี้ต้องโยคตามไปในทุกกรรมฐานด้วย. กล่าวคือ ทำกรรมฐานแต่ละกองๆ ในทุกอิริยาบถ 4 และทุกฐานะ 7 ก่อน พอได้ฌานเป็นวสีตามที่ตรัสไว้ในกายคตาสติสูตรแล้ว ก็ทำวิปัสสนาในทุกๆ กรรมฐาน ในทุกอิริยาบถ 4 และทุกฐานะ 7 อีกทีหนึ่งตามมหาสติปัฏฐานสูตรต่อไป. รายละเอียดให้ท่องจำบาลีของพระสูตรนั้นๆ ให้ชำนาญ วิเคราะห์ตามหลักเนตติปกรณ์แล้ว จึงอ่านคำอธิบายในลิงก์ที่ข้าพเจ้าทำไว้นั้นเถิด.
 ==อธิบายคำบริกรรมกรรมฐาน== ==อธิบายคำบริกรรมกรรมฐาน==
 พึงทราบการแสดงวิธีเจริญในกายคตาสตินั้น ​ มีการพรรณนาตามบาลีเป็นหลักดังต่อไปนี้ – พึงทราบการแสดงวิธีเจริญในกายคตาสตินั้น ​ มีการพรรณนาตามบาลีเป็นหลักดังต่อไปนี้ –
บรรทัด 269: บรรทัด 270:
 ==วิธีภาวนากายคตาสติกัมมัฏฐาน== ==วิธีภาวนากายคตาสติกัมมัฏฐาน==
  
-ก็กุลบุตรผู้ริเริ่มบำเพ็ญเพียรใคร่จะเจริญกัมมัฏฐานนี้ ​ พึงเข้าไปหากัลยาณมิตรด้วยวิธีการที่ข้าพเจ้าบอกไว้แล้วในกัมมัฏฐานคหณนิทเทส แล้วท่องจำเอากัมมัฏฐานนี้เถิด ​ ฝ่ายอาจารย์นั้น ​ เมื่อจะบอกกัมมัฏฐานพึงบอกอุคคหโกสัลละโดยอาการ 7  และมนสิการโกสัลละโดยส่วน 10+ก็กุลบุตรผู้ริเริ่มบำเพ็ญเพียรใคร่จะเจริญกัมมัฏฐานนี้  ​[[วิสุทธิมรรค_03_กัมมัฏฐานคหณนิทเทส#​คุณสมบัติอาจารย์กัมมัฏฐานที่เป็นกัลยาณมิตร|พึงเข้าไปหากัลยาณมิตร(อาจารย์)ด้วยวิธีการที่ข้าพเจ้าบอกไว้แล้วในกัมมัฏฐานคหณนิทเทส]] แล้วท่องจำเอากัมมัฏฐานนี้เถิด ​ ฝ่ายอาจารย์นั้น ​ เมื่อจะบอกกัมมัฏฐานพึงบอกอุคคหโกสัลละโดยอาการ 7  และมนสิการโกสัลละโดยส่วน 10
  
 ===อุคคหโกสัลละ 7=== ===อุคคหโกสัลละ 7===
บรรทัด 278: บรรทัด 279:
  
 ก็ในกัมมัฏฐานที่ต้องมนสิการโดยเป็นสิ่งปฏิกูลนี้ ​ พระโยคาวจรถึงแม้จะทรงพระไตรปิฏก ​ ในการมนสิการก็ควรทำการสาธยายด้วยวาจาก่อน ​ เพราะพระโยคาวจรบางท่าน ​ เพียงทำการสาธยายเท่านั้น ​ กัมมัฏฐานก็ย่อมปรากฏ ​ เหมือนพระเถระ 2 รูปผู้เรียนพระกัมมัฏฐานในสำนักของพระมหาเทวเถระผู้อยู่ในมลยวิหาร ​ เล่ากันมาว่า ​ พระเถระอันท่านทั้ง 2  นั้นขอกัมมัฏฐานแล้ว ​ ได้ให้คำบาลีในอาการ 32  โดยสั่งว่า ​ ท่านจงทำการสาธยายข้อนี้แหละตลอด 4  เดือน ​ ก็ท่านทั้ง 2  นั้นแม้ถึงท่านจะชำนาญตั้ง 2 – 3  นิกายนี้ก็จริงแล ​ แต่เพราะเหตุที่ท่านเป็นผู้มีปกติรับโอวาทโดยเบื้องขวา ​ จึงหมั่นสาธยายในอาการ 32  ตลอด 4 เดือน ​ ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบันแล้ว ​ เพราะฉะนั้น ​ อาจารย์เมื่อจะบอกกัมมัฏฐาน ​ จึงควรบอกอันเตวาสิกว่า ​ ชั้นต้นจงสาธยายด้วยวาจาเป็นอันดับแรก ก็ในกัมมัฏฐานที่ต้องมนสิการโดยเป็นสิ่งปฏิกูลนี้ ​ พระโยคาวจรถึงแม้จะทรงพระไตรปิฏก ​ ในการมนสิการก็ควรทำการสาธยายด้วยวาจาก่อน ​ เพราะพระโยคาวจรบางท่าน ​ เพียงทำการสาธยายเท่านั้น ​ กัมมัฏฐานก็ย่อมปรากฏ ​ เหมือนพระเถระ 2 รูปผู้เรียนพระกัมมัฏฐานในสำนักของพระมหาเทวเถระผู้อยู่ในมลยวิหาร ​ เล่ากันมาว่า ​ พระเถระอันท่านทั้ง 2  นั้นขอกัมมัฏฐานแล้ว ​ ได้ให้คำบาลีในอาการ 32  โดยสั่งว่า ​ ท่านจงทำการสาธยายข้อนี้แหละตลอด 4  เดือน ​ ก็ท่านทั้ง 2  นั้นแม้ถึงท่านจะชำนาญตั้ง 2 – 3  นิกายนี้ก็จริงแล ​ แต่เพราะเหตุที่ท่านเป็นผู้มีปกติรับโอวาทโดยเบื้องขวา ​ จึงหมั่นสาธยายในอาการ 32  ตลอด 4 เดือน ​ ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบันแล้ว ​ เพราะฉะนั้น ​ อาจารย์เมื่อจะบอกกัมมัฏฐาน ​ จึงควรบอกอันเตวาสิกว่า ​ ชั้นต้นจงสาธยายด้วยวาจาเป็นอันดับแรก
 +
 +(ผู้ปรับสำนวน:​ ที่ท่านผู้ทรงจำนิกายทั้งสองบรรลุด้วยการสาธยายนั้น เพราะธรรมดาผู้ทรงจำนิกายย่อมเข้าใจหลักเนตติปกรณ์ ซึ่งว่าโดยย่อก็คือ[[วิสุทธิมรรค_03_กัมมัฏฐานคหณนิทเทส#​โยคีบุคคลต้องจำให้แม่นยำ|วิธีท่องจำผูกใจในกรรมฐานที่ท่านกล่าวไว้ในกัมมัฏฐานคหณนิทเทส]]แล้วนั่นเองว่า "​ก็แหละ เมื่ออาจารย์สอนกัมมัฏฐานให้อยู่ด้วยอาการอย่างนี้ โยคีบุคคลนั้นพึงตั้งใจฟัง เพื่อท่องจำเอานิมิตนั้นให้ได้ คือ เอาอาการ 9 อย่างนั้นแต่ละอย่างๆ มาผูกไว้ในใจอย่างนี้ว่า "​คำนี้เป็นบทหลัง,​ คำนี้เป็นบทหน้า,​ ความหมายของบทนั้นๆ เป็นอย่างนี้,​ จุดมุ่งหมายของบทนั้นเป็นอย่างนี้,​ และบทนี้เป็นคำอุปมาอุปไมย"​ (จดจำได้ชำนาญนึกหัวถึงท้าย นึกท้ายถึงหัว เหมือนในบทธรรมคุณข้อว่า ความงาม 3 ของปริยัติธรรม ได้แสดงไว้),​ ฉะนั้น ท่านทั้งสองจึงบรรลุได้ในขณะสาธยาย.)"​
  
 <​sub><​fs smaller>''​(หน้าที่ 18)''</​fs></​sub>​ <​sub><​fs smaller>''​(หน้าที่ 18)''</​fs></​sub>​
บรรทัด 637: บรรทัด 640:
 '''​อานาปานสติสูตร'''​ '''​อานาปานสติสูตร'''​
  
-ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ​ อานาปานสติสมาธิแม้นี้แล อันพระโยคีเจริญแล้วทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นธรรมสงบประณีตเยือกเย็นและเป็นเครื่องอยู่เป็นสุข และยังอกุศลธรรมอันลามกที่เกิดขึ้นแล้ว ๆ ให้อันตรธานสงบระงับไปโดยพลัน ดังนี้ แล้วทรงแสดงไว้อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อานาปานสติสมาธิอันพระโยคีอบรมแล้วอย่างไร ? ทำให้มากแล้วอย่างไร ? จึงเป็นธรรมสงบประณีตเยือกเย็นและเป็นเครื่องอยู่เป็นสุข และยังอกุศลธรรมอันลามก ซึ่งเกิดขึ้นแล้ว ๆ ให้อันตรธานสงบระงับโดยพลัน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ผู้อยู่ป่าหรืออยู่ตามโคนไม้หรืออยู่ในเรือว่างเปล่านั่งคู่บัลลังก์ตั้งกายตรงดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า ​+"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ​ อานาปานสติสมาธิแม้นี้แล อันพระโยคีเจริญแล้วทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นธรรมสงบประณีตเยือกเย็นและเป็นเครื่องอยู่เป็นสุข และยังอกุศลธรรมอันลามกที่เกิดขึ้นแล้ว ๆ ให้อันตรธานสงบระงับไปโดยพลัน" ​ดังนี้ ​ 
 + 
 +แล้วทรงแสดงไว้อย่างนี้ว่า ​"​[[วิสุทธิมรรค_08_อนุสสติกัมมัฏฐานนิทเทส?​h=กถํ:​อานาปานสฺสติสมาธิ#​hl|ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อานาปานสติสมาธิอันพระโยคีอบรมแล้วอย่างไร]] ? ทำให้มากแล้วอย่างไร ? จึงเป็นธรรมสงบประณีตเยือกเย็นและเป็นเครื่องอยู่เป็นสุข และยังอกุศลธรรมอันลามก ซึ่งเกิดขึ้นแล้ว ๆ ให้อันตรธานสงบระงับโดยพลัน ​ 
 + 
 +ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ผู้อยู่ป่าหรืออยู่ตามโคนไม้หรืออยู่ในเรือว่างเปล่านั่งคู่บัลลังก์ตั้งกายตรงดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า ​
  
 จตุกกะ 4 วัตถุ 16 จตุกกะ 4 วัตถุ 16
บรรทัด 681: บรรทัด 688:
 15.    สำเหนียกว่าเราจักเป็นผู้พิจารณาเห็นความดับไปหายใจออก ​ สำเหนียกว่าเราจักพิจารณาเห็นความดับไปหายใจเข้า 15.    สำเหนียกว่าเราจักเป็นผู้พิจารณาเห็นความดับไปหายใจออก ​ สำเหนียกว่าเราจักพิจารณาเห็นความดับไปหายใจเข้า
  
-16.    สำเหนียกว่าเราจักเป็นผู้พิจารณาเห็นความสลัดทิ้งหายใจออก ​ สำเหนียกว่าเราจักเป็นผู้พิจาณาเห็นความสลัดทิ้งหายใจเข้า+16.    สำเหนียกว่าเราจักเป็นผู้พิจารณาเห็นความสลัดทิ้งหายใจออก ​ สำเหนียกว่าเราจักเป็นผู้พิจาณาเห็นความสลัดทิ้งหายใจเข้า"
  
 <​sub><​fs smaller>''​(หน้าที่ 47)''</​fs></​sub>​ <​sub><​fs smaller>''​(หน้าที่ 47)''</​fs></​sub>​
-==อธิบายคำบริกรรมกรรมฐาน== 
-ก็เพราะอานาปานสติสมาธินั้น ​ เมื่อกล่าวตามแนวของการพรรณนาพระบาลีนั้นแล ​ ย่อมบริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง ​ ฉะนั้น ​ ในอธิการอันว่า ​ อานาปานสติสมาธินั้น ​ จึงมีการแสดงอันมีการพรรณนาพระบาลีเป็นตัวนำดังต่อไปนี้  ​ 
  
 +==อธิบายคำบริกรรมกรรมฐาน==
 ===อธิบาย ​ จตุกกะที่ 1=== ===อธิบาย ​ จตุกกะที่ 1===
  
-อันดับแรกพึงวินิจฉัยในบาลีคำถามว่า ​ กถํ ​ ภาวิโต ​ จ  ภิกฺขเว ​ อานาปานสติสมาธิ ​ ดังต่อไปนี้+ก็เพราะอานาปานสติสมาธินั้น ​ เมื่อกล่าวตามแนวของการพรรณนาพระบาลีนั้นแล ​ ย่อมบริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง ​ ฉะนั้น ​ ในอธิการอันว่า ​ อานาปานสติสมาธินั้น ​ จึงมีการแสดงอันมีการพรรณนาพระบาลีเป็นตัวนำดังต่อไปนี้ ​  
 + 
 +อันดับแรกพึงวินิจฉัยในคำริกรรมกรรมฐนว่า "​ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อานาปานสติสาธิอันพระโยคีอบรมแล้อย่างไร ?  (กถํ ​ ภาวิโต ​ จ  ภิกฺขเว ​ อานาปานสฺสติสมาธิ)" ​ ​ดังต่อไปนี้
  
-คำว่า ​ กถํ ​ นี้เป็นคำถามด้วยความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะขยายอานาปานสติสมาธิภาวนา ​ ให้พิสดารโดยประการต่าง ๆ คำว่า ​ ภาวิโต ​ จ  ภิกฺขเว ​ อานาปานสติสมาธิ ​ นี้เป็นคำทรงแสดงไขธรรมที่ทรงตรัสถามไว้ด้วยความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะตรัสให้พิสดารโดยประการต่าง ๆ แม้ในคำว่า ​ กถํ ​ พหุลีกโต ​ ฯลฯ ​ วูปสเมติ ​ นี้ ​ ก็นัยนี้เหมือนกัน ​ บรรดาบทเหล่านั้น ​ บทว่า ​ ภาวิโต นี้ ได้แก่  ​ให้เกิดขึ้นแล้วหรือเจริญแล้ว ​ บทว่า ​ อานาปานสติสมาธิ ​ ได้แก่ สมาธิที่สัมปยุตด้วยสติอันกำหนดเอาลมหายใจออกและลมหายใจเข้า ​ หรือสมาธิในอานาปานสติ ​ ชื่อว่าอานาปานสติสมาธิ ​ บทว่า ​ พหุลีกโต ​ ได้แก่ ​ ทำบ่อย ๆ +คำว่า  ​"​อย่างไร ? (กถํ)" ​ ​นี้เป็นคำถามด้วยความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะขยายอานาปานสติสมาธิภาวนา ​ ให้พิสดารโดยประการต่าง ๆ คำว่า ​ "​ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อานาปานสติสมาธิอันพระโยคีอบรมแล้วอย่างไร ?  (กถํ ​ ​ภาวิโต ​ จ  ภิกฺขเว ​ อานาปานสฺสติสมาธิ)" ​ ​นี้เป็นคำทรงแสดงไขธรรมที่ทรงตรัสถามไว้ด้วยความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะตรัสให้พิสดารโดยประการต่าง ๆ แม้ในคำว่า  ​"​ทำให้มากแล้วอย่างไร ? ฯลฯ ให้อันตรธานสงบระงับโดยพลัน (กถํ ​ พหุลีกโต ​ ฯลฯ ​ วูปสเมติ)" ​ ​นี้ ​ ก็นัยนี้เหมือนกัน ​บรรดาบทเหล่านั้น ​ บทว่า  ​"​อบรมแล้ว (ภาวิโต)" ​นี้ ได้แก่ ​ เกิดขึ้นแล้วหรือเจริญแล้ว ​บทว่า ​ อานาปานสติสมาธิ ​ ได้แก่ สมาธิที่สัมปยุตด้วยสติอันกำหนดเอาลมหายใจออกและลมหายใจเข้า ​ หรือสมาธิในอานาปานสติ ​ ชื่อว่าอานาปานสติสมาธิ ​ บทว่า ​ พหุลีกโต ​ ได้แก่ ​ ทำบ่อย ๆ 
  
 คำว่า ​ สนฺโต ​ เจว ​ ปณีโต ​ จ  นี้ได้แก่สงบด้วยประณีตด้วย ​ พึงทราบการกำหนดความด้วย ​ เอว ​ ศัพท์ใน 2  บท ​ พระองค์ทรงอธิบายไว้อย่างไร ?  ทรงอธิบายไว้ว่า ​ อันอานาปานสติสมาธินี้จะได้เป็นธรรมสงบและประณีต ​ โดยปริยายไร ๆ เหมือนอย่างอสุภกัมมัฏฐาน ​ ซึ่งสงบและประณีตโดยปฏิเวธอย่างเดียว ​ แต่ไม่สงบและประณีตโดยอารมณ์เลย ​ เพราะมีอารมณ์หยาบและมีสิ่งปฏิกูลเป็นอารมณ์หามิได้ ​ โดยที่แท้ ​ เป็นธรรมชื่อว่าสงบคือเข้าไปสงบดับสนิท ​ เพราะทั้งสงบโดยอารมณ์ ​ เพราะทั้งสงบโดยองค์กล่าวคือปฏิเวธ ​ ชื่อว่า ​ ประณีต ​ คือไม่ทำให้เบื่อหน่ายเพราะทั้งประณีตโดยอารมณ์เพราะทั้งประณีตโดยองค์ ​ ดังนี้ ​ เพราะเหตุนั้น ​ จึงตรัสว่า ​ อานาปานสติสมาธินี้เป็นธรรมสงบทั้งประณีต  ​ คำว่า ​ สนฺโต ​ เจว ​ ปณีโต ​ จ  นี้ได้แก่สงบด้วยประณีตด้วย ​ พึงทราบการกำหนดความด้วย ​ เอว ​ ศัพท์ใน 2  บท ​ พระองค์ทรงอธิบายไว้อย่างไร ?  ทรงอธิบายไว้ว่า ​ อันอานาปานสติสมาธินี้จะได้เป็นธรรมสงบและประณีต ​ โดยปริยายไร ๆ เหมือนอย่างอสุภกัมมัฏฐาน ​ ซึ่งสงบและประณีตโดยปฏิเวธอย่างเดียว ​ แต่ไม่สงบและประณีตโดยอารมณ์เลย ​ เพราะมีอารมณ์หยาบและมีสิ่งปฏิกูลเป็นอารมณ์หามิได้ ​ โดยที่แท้ ​ เป็นธรรมชื่อว่าสงบคือเข้าไปสงบดับสนิท ​ เพราะทั้งสงบโดยอารมณ์ ​ เพราะทั้งสงบโดยองค์กล่าวคือปฏิเวธ ​ ชื่อว่า ​ ประณีต ​ คือไม่ทำให้เบื่อหน่ายเพราะทั้งประณีตโดยอารมณ์เพราะทั้งประณีตโดยองค์ ​ ดังนี้ ​ เพราะเหตุนั้น ​ จึงตรัสว่า ​ อานาปานสติสมาธินี้เป็นธรรมสงบทั้งประณีต  ​
บรรทัด 719: บรรทัด 727:
 '''​พระโยคาวจรในศาสนานี้ทรงผูกจิตของตนไว้ที่อารมณ์ให้มั่นด้วยสติ ฉันนั้นเถิด'''​ '''​พระโยคาวจรในศาสนานี้ทรงผูกจิตของตนไว้ที่อารมณ์ให้มั่นด้วยสติ ฉันนั้นเถิด'''​
  
-เสนาสนะนั้นย่อมเป็นสถานควรแก่การเจริญอานาปานสติสมาธินั้น ด้วยประการฉะนี้ เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า คำว่า อรญฺญคโต วา ไปสู่ป่าก็ตามเป็นต้น นี้เป็นคำแสดงการกำหนดเสนาสนะอันเหมาะสมแก่การเจริญอานาปานสติสมาธิของพระโยคาวจรนั้นอีกอย่างหนึ่ง เพราะเหตุที่อานาปานสติกัมมัฏฐานนี้ เป็นยอดในประเภทกรรมฐาน เป็นเหตุใกล้แห่งการบรรลุคุณพิเศษ และการอยู่เป็นสุขในภพปัจจุบัน ของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และสาวกของพระพุทธเจ้าทั้งปวง พระโยคาวจรจะไม่ละจากละแวกบ้านอันอื้ออึงไปด้วยเสียงหญิงชายช้างม้าเป็นต้น แล้วเจริญอานาปานสติ ไม่กระทำได้ง่ายเลยเพราะฌานมีเสียงเป็นข้าศึก แต่การที่พระโยคาวจรหนดเอากรรมฐานนี้้ว ​ยังจตุตถฌานอันมีลมหายใจเข้าออกอันเป็นอารมณ์ให้เกิด แล้วทำฌานนั้นนั่นแหละให้เป็นบาทพิจารณาสังขารแล้วบรรลุพระอรหันต์เป็นผลเลิศในป่าซึ่งหาบ้านมิได้ จึงกระทำได้ง่าย ​ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเมื่อจะแสดงเสนาสนะอันเหมาะสมแก่พระโยคาวจรผู้เจริญอานาปานสติสมาธินั้น จึงตรัสว่า อรญฺญคโต วา อยู่ป่าก็ตาม ดังนี้เป็นต้น+เสนาสนะนั้นย่อมเป็นสถานควรแก่การเจริญอานาปานสติสมาธินั้น ด้วยประการฉะนี้ เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า คำว่า อรญฺญคโต วา ไปสู่ป่าก็ตามเป็นต้น นี้เป็นคำแสดงการกำหนดเสนาสนะอันเหมาะสมแก่การเจริญอานาปานสติสมาธิของพระโยคาวจรนั้นอีกอย่างหนึ่ง เพราะเหตุที่อานาปานสติกัมมัฏฐานนี้ เป็นยอดในประเภทกรรมฐาน เป็นเหตุใกล้แห่งการบรรลุคุณพิเศษ และการอยู่เป็นสุขในภพปัจจุบัน ของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และสาวกของพระพุทธเจ้าทั้งปวง พระโยคาวจรจะไม่ละจากละแวกบ้านอันอื้ออึงไปด้วยเสียงหญิงชายช้างม้าเป็นต้น แล้วเจริญอานาปานสติ ไม่กระทำได้ง่ายเลยเพราะฌานมีเสียงเป็นข้าศึก แต่พระโยคาวจรจะท้ง่ายมื่เขอยู่ในป่าซึ่งไม่ใช่หมู่บ้าน แล้วจึงกำหนดกรรมฐานนี้ ​(ดูม) ยังจตุตถฌานอันมีลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์ให้เกิด แล้วทำฌานนั้นนั่นแหละให้เป็นบาท ​แล้วพิจารณาสังขารแล้วบรรลุพระอรหันต์เป็นผลเลิศ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเมื่อจะแสดงเสนาสนะอันเหมาะสมแก่พระโยคาวจรผู้เจริญอานาปานสติสมาธินั้น จึงตรัสว่า อรญฺญคโต วา อยู่ป่าก็ตาม ดังนี้เป็นต้น
  
 <​sub><​fs smaller>''​(หน้าที่ 50)''</​fs></​sub>​ <​sub><​fs smaller>''​(หน้าที่ 50)''</​fs></​sub>​
บรรทัด 755: บรรทัด 763:
 <​sub><​fs smaller>''​(หน้าที่ 52)''</​fs></​sub>​ <​sub><​fs smaller>''​(หน้าที่ 52)''</​fs></​sub>​
  
-บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงอาการอันเป็นเหตุให้ภิกษุนั้นได้ชื่อว่า สโตการี จึงตรัส คำว่า ทีฆํ วา อสฺสสนฺโต หรือหายใจออกยาว ดังนี้เป็นต้น สมจริงดังคำที่พระธรรมเสนาบดีเสรีบุตรกล่าวไว้ในปฏิสัมภิทาในวิภังค์แห่งปาฐะว่า โส สโตว อสฺสสติ สโต ปสฺสสติ นั้นนั่นแลว่า พระโยคาวจรย่อมเป็นผู้ชื่อว่า สโตการี ด้วยาการ 32 อย่ง เมื่อเธอรู้ชัดว่าจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่านด้วยอำนาจหายใจออกยาวอยู่ สติย่อมตั้งมั่น เธอเป็นผู้ชื่อว่า สโตการี ด้วยสตินั้นด้วยปัญญานั้น เมื่อเธอรู้ชัดว่าภาวะที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งม่ฟุ้งซ่าน ด้วยอำนาจแห่งการหายใจเข้ายาวอยู่ สติย่อมตั้งมั่น เธอย่อมเป็นผู้ชื่อว่า สโตการี ด้วยสตินั้น ด้วยปัญญานั้น ฯลฯ เมื่อเธอรู้ชัดว่าจิตอารมณ์เป็นหนึ่งไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยอำนาจความเป็นพิจารณาเห็นความสลัดทิ้งหายใจออกอยู่ ด้วยอำนาจความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสลัดทิ้งหายใจเข้าอยู่ สติย่อมตั้งมั่น เธอเป็นผู้ชื่อว่า สโตการี ด้วยสตินั้น ด้วยปัญญานั้น ดังนี้+บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงอาการอันเป็นเหตุให้ภิกษุนั้นได้ชื่อว่า สโตการี จึงตรัส คำว่า ทีฆํ วา อสฺสสนฺโต หรือหายใจออกยาว ดังนี้เป็นต้น สมจริงดังคำที่พระธรรมเสนาบดีเสรีบุตรกล่าวไว้ในปฏิสัมภิทาในวิภังค์คือคำอธิบายแห่งปาฐะว่า ​"โส สโตว อสฺสสติ สโต ปสฺสสติ-ภิกษุผู้นั่งคู้บัลลังก์นั้น มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก" ​นั้นนั่นแลว่า ​ 
 + 
 +<​blockquote>"​พระโยคาวจรย่อมเป็นผู้ชื่อว่า สโตการี ด้วย ​[[ปฏิสัมภิทมรรค_03_มหาวรรค#​สโตการิญาณนิทฺเทโส|32 อาการ]] (อานาปานัสสติ 16 x 2 = 32 ในปฏิสัมภิทามรรค) ​เมื่อเธอรู้ชัดว่าจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่านด้วยอำนาจหายใจออกยาวอยู่ สติย่อมตั้งมั่น เธอเป็นผู้ชื่อว่า สโตการี ด้วยสตินั้นด้วยปัญญานั้น เมื่อเธอรู้ชัดว่าภาวะที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งม่ฟุ้งซ่าน ด้วยอำนาจแห่งการหายใจเข้ายาวอยู่ สติย่อมตั้งมั่น เธอย่อมเป็นผู้ชื่อว่า สโตการี ด้วยสตินั้น ด้วยปัญญานั้น ฯลฯ เมื่อเธอรู้ชัดว่าจิตอารมณ์เป็นหนึ่งไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยอำนาจความเป็นพิจารณาเห็นความสลัดทิ้งหายใจออกอยู่ ด้วยอำนาจความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสลัดทิ้งหายใจเข้าอยู่ สติย่อมตั้งมั่น เธอเป็นผู้ชื่อว่า สโตการี ด้วยสตินั้น ด้วยปัญญานั้น" ​ดังนี้</​blockquote>​
  
 '''​อธิบาย อัสสาสะปัสสาสะ'''​ '''​อธิบาย อัสสาสะปัสสาสะ'''​
บรรทัด 1003: บรรทัด 1013:
 === อธิบายจตุกกะที่ 2 === === อธิบายจตุกกะที่ 2 ===
  
-บทว่า ​ ปีติปฏิสํเวที ​ แปลว่า ​ ภิกษุสำเหนียกว่าเราจักทำปีติให้เป็นอันตนรู้แจ้งแล้ว ​ คือทำให้ปรากฏแล้ว ​ หายใจออกหายใจเข้า ​ ในข้อนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า ​ ปีติย่อมเป็นธรรมชาติ ​ อันพระโยคาวจรรู้แจ้งแล้ว ​ โดยอาการ 2  อย่างคือ ​ โดยอารมณ์ 1  โดยการไม่หลงลืม 1  ถามว่า ปีติเป็นธรรมชาติอัภิกษุรู้แจ้งแล้วโดยอารมณ์อย่างไร ?  แก้ว่า ​ ภิกษุเข้าฌาน 2  ที่มีปีติ ​ ปีติย่อมเป็นธรรมชาติอันภิกษุนั้นรู้แจ้งแล้วโดยอารมณ์ ​ ด้วยการได้เฉพาะซึ่งฌานในขณะแห่งสมาบัติเพราะอารมณ์ท่านรู้แจ้งแล้ว ​ โดยไม่หลงลืมเป็นอย่างไร ?  ​คือ ​ ครั้นเธอเข้าฌาน 2  ที่มีปีติ ​ ออกแล้วพิจารณาเห็นปีติที่สัมปยุตด้วยฌานโดยความสิ้นไปเสื่อมไป ​ ปีติก็เป็นอันชื่อว่าเธอรู้แจ้งแล้วโดยไม่หลงลืม ​ เพราะรู้ลักษณะในขณะที่เห็นด้วยวิปัสสนาปัญญา ​ สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ในปฏิสัมภิทาว่า ​ เมื่อภิกษุรู้ชัดซึ่งภาวะแห่งจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ​ ไม่ฟุ้งซ่านด้วยอำนาจแห่งความหายใจออกยาว ​ สติย่อมตั้งมั่น ​ ปีตินั้นเป็นอันเธอรู้แจ้งแล้ว ​ ด้วยสตินั้นด้วยญานนั้น ​ เมื่อภิกษุรู้แจ้งอยู่ซึ่งภาวะที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งไม่ฟุ้งซ่าน ​ ด้วยอำนาจความหายใจออกยาว ​ ฯลฯ ​ ด้วยอำนาจความหายใจเข้าสั้น ​ ฯลฯ ​ ด้วยอำนาจหายใจออกสั้น ​ ด้วยสามารถรู้แจ้งกายทั้งสิ้นหายใจออกหายใจเข้า ฯลฯ ​ ด้วยอำนาจทำกายสังขารให้สงบ ​ หายใจออกเข้า ​ สติย่อมตั้งมั่น ​ ปีติเป็นธรรมชาติที่เธอรู้ได้ชัด ​ ด้วยสตินั้นด้วยปัญญานั้น ​ เมื่อภิกษุรำพึงถึงอยู่....เห็นอยู่.....ปัจจเวกขณ์อยู่.....อธิษฐานจิตอยู่.....น้อมใจเชื่อด้วยศรัทธาอยู่.....ประคองความเพียรอยู่ ​ ยังสติให้ตั้งมั่นอยู่.....เริ่มตั้งจิตมั่น ​ รู้ชัดอยู่ด้วยปัญญา ​ รู้ยิ่งอยู่ซึ่งสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง....ละสิ่งที่ควรละ ​ ทำให้เกิดสิ่งที่ควรทำให้เกิด ​ ทำให้แจ้งสิ่งที่ควรทำให้แจ้ง ​ ปีตินั้นก็เป็นสิ่งที่เธอรู้แจ้ง ​ ด้วยประการฉะนี้  ​+บทว่า ปีติปฏิสํเวที แปลว่า ภิกษุสำเหนียกว่าเราจักทำปีติให้เป็นอันตนรู้แจ้งแล้ว คือทำให้ปรากฏแล้ว หายใจออกหายใจ 
 +เข้า ในข้อนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า ปีติย่อมเป็นธรรมชาติ อันพระโยคาวจรรู้แจ้งแล้ว โดยอาการ 2 อย่างคือ โดยอารมณ์ 1 โดยการไม่หลงลืม 1 (อสัมโมหะ)  
 + 
 +ถามว่า ปีติเป็นธรรมชาติอัภิกษุรู้แจ้งแล้วโดยอารมณ์อย่างไร ?  
 + 
 +แก้ว่า ภิกษุเข้าฌาน 2 ที่มีปีติ ปีติย่อมเป็นธรรมชาติอันภิกษุนั้นรู้แจ้งแล้วโดยอารมณ์ ด้วยการได้เฉพาะซึ่งฌานในขณะแห่งสมาบัติเพราะอารมณ์ 
 + 
 +ท่านรู้แจ้งแล้ว โดยไม่หลงลืมเป็นอย่างไร ? 
  
-แมบทที่เหลืบัณฑิตพึงโดยความตามนัยนั้นนันแล ่ในที่นมีคามแลกกันดังนี้  ​ือ ​ พึงบภาว่ภิกษุรู้แจ้ึ่งด้วยอำนาจแห่งน 3  พึงทรบภาวะที่ภิกษุรู้แจ้งซึ่งจิตสังขารด้วยอำนาจ่งฌนทัง 4  บทา  "​ิตฺตสงฺขโร"​ ได้แก่ขันธ์ 2  มีเนานธ์เป็นต้น ​ ​ก็ในบรรบททั้ง ​้  ​บทา  "​ขปสํที"ทานกล่าวไว้นปฏิสมภิทาเื่อแสดงูมห่งวิปัสสนาว่า ​ ​สุขใบทวา  สุขํ  ​้มี 2  ​อยง  ​สุขทาาย ​1  ​ุขทางจิต ​1  บทวา  "สฺสมฺภํ  จตฺตสงฺขารํ"  ​ความวา ระงับือับิตขารที่หยาบ ๆ  ​แตมือวาโดย+คือ ครันเธอเข้าฌาน 2 ที่มีปีติ ​อกแล้วพจารณาเห็นปีี่สัมปยุตด้วยฌโดยความสิ้นไปเสื่อมไป ปีติก็เป็ันชื่อว่าเธอรู้จ้งล้วโดยไมหลงลืม เพราะรู้ลักษณะในขณะที่เห็้วยวิปัสสาปัญญา สมจริงดังคี่ท่นกล่าวไว้ในปฏิสัมภิาวา เมื่อภิกษุรู้ชัดซึ่งภาวะห่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ​ไม่ฟ้งซ่านด้วยอำนาจแห่งควมหยใจออกยาว ​สติย่อมตั้งมั่น ปตินั้นเป็นอันเธอรู้แจ้งแล้ว ด้วยสตินั้นด้วยญาณนั้น เมืภิกษุรู้แจ้งอยู่ซึ่งภาวะที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งไม่ฟุ้งซ่าน ​ด้วยอำนาจความหายใจออกยาว ฯลฯ ด้วยอำนาจควมหายใจเ้าสน ฯลฯ ด้ยอำนาจหายใจออกสั้น ​ด้วยสามาู้แจ้งกทั้งสิ้หายใจออกหายใจเข้า ฯลฯ ด้วยอำนจทำกายังารให้สงบ หายใจออกเข้า สติย่อมตั้งมั่น ​ีติเป็นธรรมชาติที่เธอรู้ด้ชัด ด้ยสตินั้นด้วยปัญญนั้น ​ื่อภิกษุรำพึงถึงอยู่….เ็นอยู…..ปัจจเกขณ์อยู…..อธิษฐานจิตอยู…..น้ใจเชื่ด้วศรัทธอยู่…..ประคองควมเพีรอยู่ ยังติให้ตั้งมั่นอยู่…..เริ่มตั้งจิตมัน รู้ชัดอยู่ด้วยัญญา รู้ยิ่งอยู่ซึ่งิ่ที่ควรรู้ยิง….ละสิ่งที่ควะ ทำให้เกิดสิ่ที่วรทำให้เกิด ทำให้แ้งิ่งที่ควรทำใจ้ง ปีินั้นก็ป็นสิงทีเธอรู้แจ้ง ​้วประการฉะนี้
  
-<​sub><​fs smaller>''​(หน้าที่ ​72)''</​fs></​sub>​+แม้บทที่เลือบัณฑิตพึงทราบโดยความตามัยนันนั่นแล แต่ในที่นี้มีควมแปลกกันดังนี้ คือ พึงทราบภาวะที่ภิกษุรู้แจ้งซึ่งสุขด้วยอำนาจแห่งฌาน 3 พึงทราบภาวะที่ภิกษุรู้แจ้งซึ่งจิตสังขารด้วยอำนาจแห่งฌานทั้ง 4 บทว่า "​จิตฺตสงฺขาโร"​ ได้แก่ขันธ์ 2 มีเวทนาขันธ์เป็นต้น ก็ในบรรดาบททั้ง 2 นี้ บทว่า "​สุขปฏิสํเวที"​ท่านกล่าวไว้ในปฏิสัมภิทาเพื่อแสดงภูมิแห่งวิปัสสนาว่า สุขในบทว่า สุขํ นี้มี 2 อย่าง คือสุขทางกาย 1 สุขทางจิต 1 บทว่า "​ปสฺสมฺภยํ จิตฺตสงฺขารํ"​ ความว่า ระงับคือดับจิตสังขารที่หยาบ ๆ แต่เมื่อว่าโดย
  
-'''​พิสดารความดับจิตสังขารนั้น ​ พึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วในกายสังขารนั่นแล ​ อนึ่ง ​ ในบทเล่าน  บทว่า ​ "​ปีติ" ​ ท่านกล่าวถึงเวทนาโดยยกเวทนาขึ้นเป็นประธาน ​ ในบทว่า ​ "​สุข" ​ ท่านกล่าวเวทนาโดยสรุปนั่นเอง ​ ในบทว่า ​ "​จิตฺตสงฺขาร" ​ ทั้ง 2  บท ​ พึงทราบว่าท่านกล่าวเวทนาที่สัมปยุตด้วยสัญญา ​ เพราะพระบาลีว่า ​ สัญญาและเวทนาเป็นเจตสิก ​ ธรรมเหล่านั้นนับเนื่องกับจิต ​ จัดเป็นจิตสังขาร ​ ดังนี้แล ​ '''​+(หน้าที่ ​72)
  
-ณฑิตพึงทราบว่า ​ จตุกกะนี้ทรัสโดยนัแห่งเวทนานุปัสนา ​ ด้วยระการฉะนี้+พิสดารความดบจิตสังขารนั้น ​พึงทราบโดยัยท่กล่าวแลวในกายสัขารนั่นล อนึ่ง ในบทเานั้น บทว่า "​ปีติ"​ ท่านกล่าวถึงเวทนาโดยยกเวทาขึ้นเป็นประธาน ในบทว่า "​สุข"​ ท่านกล่าวเวทนาโดยสรุป่นเอง ในบทว่า "​จิตฺตงฺขาร"​ ทั้ง 2 บท พึงทราบว่าท่ากล่วเวทนาที่สัมปยุตด้วยสัญญา เพพระบาลีว่า สัญญาและเวทนาเป็นเจตสิก ธรรมเหล่านั้นนับเนื่องกับจิต จัดเป็นจิตสังขาร ​ดังนี้แล
  
 +บัณฑิตพึงทราบว่า จตุกกะนี้ทรงตรัสโดยนัยแห่งเวทนานุปัสสนา ด้วยประการฉะนี้
 === อธิบายจตุกกะที่ 3 === === อธิบายจตุกกะที่ 3 ===