ความแตกต่าง
นี่เป็นการแสดงความแตกต่างระหว่างเพจสองรุ่น
Both sides previous revision Previous revision Next revision | Previous revision Next revision Both sides next revision | ||
วิสุทธิมรรค_08_อนุสสติกัมมัฏฐานนิทเทส [2020/08/13 21:42] dhamma |
วิสุทธิมรรค_08_อนุสสติกัมมัฏฐานนิทเทส [2020/10/17 09:38] dhamma [อธิบาย จตุกกะที่ 1] |
||
---|---|---|---|
บรรทัด 29: | บรรทัด 29: | ||
พระโยคาวจรยังมนสิการให้เป็นไปโดยไม่แยบคาย เวลาระลึกถึงความตายของคนที่ชอบกันจะเกิดความโศกเศร้า ดุจเวลามารดาผู้บังเกิดเกล้าระลึกถึงความตายของบุตรที่รักฉะนั้น เวลาที่ระลึกถึงความตายของคนที่ไม่ชอบกันจะเกิดความปราโมทย์ ดุจคนมีเวรกันระลึกถึงความตายของคนที่มีเวรกันฉะนั้น เวลาระลึกถึงความตายของคนที่เป็นกลาง ๆ จะไม่เกิดความสลดใจ ดุจสัปเหร่อเห็นซากคนตายฉะนั้น เวลาระลึกถึงคามตายของตนจะเกิดความสะดุ้งหวาดกลัว ดุจคนที่มีชาติขลาดเพราะเห็นเพชฌฆาตผู้เงื้อดาบฉะนั้น ความเกิดขึ้นแห่งความโศกเป็นต้นแม้ทั้งหมดนั้น ย่อมมีแก่ผู้ปราศจากสติ, ความสังเวช และญาณ เพราะเหตุนั้น พระโยคาวจรเห็นสัตว์ที่ถูกฆ่าตายและตายเองในที่นั้น ๆ แล้ว พึงพิจารณาถึงความตายของหมู่สัตว์ที่ตายไปซึ่งที่เป็นสมบัติที่ตนเคยเห็นมา ประกอบสติ, ความสังเวช และญาณ แล้วยังมนสิการให้เป็นไปโดยนัยมี อาทิว่า มรณํ ภวิสฺสติ ความตายจักมี ดังนี้ ด้วยว่าพระโยคาวจรเมื่อให้มนสิการเป็นไปอย่างนั้น ชื่อว่าให้เป็นไปโดยแยบคาย อธิบายว่าให้เป็นไปโดยอุบาย จริงอยู่สำหรับพระโยคาวจรบางพวกที่ยังมนสิการให้เป็นไปอยู่อย่างนั้นนั่นแล นิวรณกิเลสทั้งหลายย่อมระงับลง สติมีมรณะเป็นอารมณ์ย่อมตั้งมั่น กัมมัฏฐานขึ้นถึงอุปจารฌานทีเดียวก็เป็นได้ | พระโยคาวจรยังมนสิการให้เป็นไปโดยไม่แยบคาย เวลาระลึกถึงความตายของคนที่ชอบกันจะเกิดความโศกเศร้า ดุจเวลามารดาผู้บังเกิดเกล้าระลึกถึงความตายของบุตรที่รักฉะนั้น เวลาที่ระลึกถึงความตายของคนที่ไม่ชอบกันจะเกิดความปราโมทย์ ดุจคนมีเวรกันระลึกถึงความตายของคนที่มีเวรกันฉะนั้น เวลาระลึกถึงความตายของคนที่เป็นกลาง ๆ จะไม่เกิดความสลดใจ ดุจสัปเหร่อเห็นซากคนตายฉะนั้น เวลาระลึกถึงคามตายของตนจะเกิดความสะดุ้งหวาดกลัว ดุจคนที่มีชาติขลาดเพราะเห็นเพชฌฆาตผู้เงื้อดาบฉะนั้น ความเกิดขึ้นแห่งความโศกเป็นต้นแม้ทั้งหมดนั้น ย่อมมีแก่ผู้ปราศจากสติ, ความสังเวช และญาณ เพราะเหตุนั้น พระโยคาวจรเห็นสัตว์ที่ถูกฆ่าตายและตายเองในที่นั้น ๆ แล้ว พึงพิจารณาถึงความตายของหมู่สัตว์ที่ตายไปซึ่งที่เป็นสมบัติที่ตนเคยเห็นมา ประกอบสติ, ความสังเวช และญาณ แล้วยังมนสิการให้เป็นไปโดยนัยมี อาทิว่า มรณํ ภวิสฺสติ ความตายจักมี ดังนี้ ด้วยว่าพระโยคาวจรเมื่อให้มนสิการเป็นไปอย่างนั้น ชื่อว่าให้เป็นไปโดยแยบคาย อธิบายว่าให้เป็นไปโดยอุบาย จริงอยู่สำหรับพระโยคาวจรบางพวกที่ยังมนสิการให้เป็นไปอยู่อย่างนั้นนั่นแล นิวรณกิเลสทั้งหลายย่อมระงับลง สติมีมรณะเป็นอารมณ์ย่อมตั้งมั่น กัมมัฏฐานขึ้นถึงอุปจารฌานทีเดียวก็เป็นได้ | ||
- | ส่วนพระโยคาวจรผู้ไม่มีกัมมัฏฐานถึงอุปจารฌานด้วยอาการเพียงเท่านี้ พึงระลึกถึงความตาย ด้วย 8 อาการเหล่านี้ | + | ส่วนพระโยคาวจรผู้ไม่มีกัมมัฏฐานถึงอุปจารฌานด้วยอาการเพียงเท่านี้ พึงระลึกถึงความตาย ด้วย 8 อาการเหล่านี้ ((ผู้ปรับสำนวน: ตรงนี้ต้องย้อนกลับไปพิจารณานิทเทสที่ 1-4 ตั้งแต่สีลนิทเทสจนถึงปถวีกสิณนิทเทสใหม่ด้วยว่า "บกพร่องข้อใด" เว้นแต่มีอาจารย์กรรมฐานที่มีคุณสมบัติ ก็ให้อาจารย์ดูแลให้แทน)) |
- | 1. อาการที่ความตายนั้น "ตายแน่นอนเหมือนเพชฌฆาต" | + | 1. อาการที่ความตายนั้น "ต้องฆ่าแน่นอนเหมือนเพชฌฆาต" |
2. อาการที่ความตายนั้น "ตายแล้ววิบัติจากสมบัติแน่นอน" | 2. อาการที่ความตายนั้น "ตายแล้ววิบัติจากสมบัติแน่นอน" | ||
บรรทัด 37: | บรรทัด 37: | ||
3. อาการที่ความตายนั้น "ตายเท่าเทียมกันแน่นอน" | 3. อาการที่ความตายนั้น "ตายเท่าเทียมกันแน่นอน" | ||
- | 4. อาการที่ความตายนั้น "เป็นเพราะร่างกายสาธารณะแก่หมู่หนอนมากมายอยู่แล้ว" | + | 4. อาการที่ความตายนั้น "เป็นเพราะร่างกายสาธารณะแก่สัตว์มากมากยอยู่แล้ว" |
5. อาการที่ความตายนั้น "เป็นเพราะอายุอ่อนแออยู่แล้ว" | 5. อาการที่ความตายนั้น "เป็นเพราะอายุอ่อนแออยู่แล้ว" | ||
บรรทัด 43: | บรรทัด 43: | ||
6. อาการที่ความตายนั้น "กำหนดแน่นอนไม่ได้" | 6. อาการที่ความตายนั้น "กำหนดแน่นอนไม่ได้" | ||
- | 7. อาการที่ความตายนั้น "มีกำหนดเวลาแน่นอน"((ผู้ปรับสำนวน: พระพุทธเจ้ากำหนดเวลาตายแน่นอนได้ก็จริง แต่ตัวความตายของพระพุทธเจ้าก็ไม่แน่นอน คือ จริงๆ จะตายตอนอายุครบอายุกัปป์ (100 ปีก็ได้) แต่ก็ตายตอน 80 ปี, และถ้าไม่ได้รับทีปังกรพุทธพยากรณ์ ชาตินี้ก็อาจไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ ก็ยิ่งกำหนดเวลาตายได้ยากยิ่งขึ้นไปอีก. โดยนัยนี้ แม้พระพุทธเจ้าทรงกำหนดเวลาตายได้ก็จริง แต่ตัวความตายนั้นก็ยังคงกำหนดแน่นอนไม่ได้จริงๆ เช่นกัน)) | + | 7. อาการที่ความตายนั้น "ตายทุกชาติแน่นอน"((ผู้ปรับสำนวน: พระพุทธเจ้ากำหนดเวลาตายแน่นอนได้ก็จริง แต่ตัวความตายของพระพุทธเจ้าก็ไม่แน่นอน คือ จริงๆ จะตายตอนอายุครบอายุกัปป์ (100 ปีก็ได้) แต่ก็ตายตอน 80 ปี, และถ้าไม่ได้รับทีปังกรพุทธพยากรณ์ ชาตินี้ก็อาจไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ ก็ยิ่งกำหนดเวลาตายได้ยากยิ่งขึ้นไปอีก. โดยนัยนี้ แม้พระพุทธเจ้าทรงกำหนดเวลาตายได้ก็จริง แต่ตัวความตายนั้นก็ยังคงกำหนดแน่นอนไม่ได้จริงๆ เช่นกัน)) |
- | 8. อาการที่ความตายนั้น "ว่องไวเพียงชั่วขณะจิต" | + | 8. อาการที่ความตายนั้น "ตายทุกขณะจิตแน่นอน" |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 3)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 3)''</fs></sub> | ||
บรรทัด 79: | บรรทัด 79: | ||
อีกอย่างหนึ่ง ความไม่มีโรคแม้ทั้งหมดมีความเจ็บไข้เป็นที่สุด ความเป็นหนุ่มทั้งหมดมีความแก่เป็นที่สุด ชีวิตทั้งหมดมีความตายเป็นที่สุด โลกสันนิวาสทั้งหมดนั่นแลถูกชาติติดตาม ถูกชราไล่ตาม ถูกพยาธิครองำ ถูกมรณะดักสังหาร เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า – | อีกอย่างหนึ่ง ความไม่มีโรคแม้ทั้งหมดมีความเจ็บไข้เป็นที่สุด ความเป็นหนุ่มทั้งหมดมีความแก่เป็นที่สุด ชีวิตทั้งหมดมีความตายเป็นที่สุด โลกสันนิวาสทั้งหมดนั่นแลถูกชาติติดตาม ถูกชราไล่ตาม ถูกพยาธิครองำ ถูกมรณะดักสังหาร เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า – | ||
- | ภูเขาใหญ่อันล้วนแล้วด้วยหินสูงจรดฟ้ากลิ้งบดมาทั้ง 4 ทิศโดยรอบแม้ฉันใด ความแก่และความตายก็ฉันนั้น ย่อมครอบงำสัตว์ทั้งหลาย คือพวกกษัตริย์ พวกพรหมณ์ พวกแพศย์ พวกศูทร พวกคนจัณฑาล และพวกปุกกุสะ ไม่เว้นใคร ๆ ย่อมย่ำยีทั่วไปทั้งหมดเลย ณ ที่นั้น พื้นที่สำหรับพลช้างก็ไม่มี สำหรับพลม้าก็ไม่มี สำหรับพลรถก็ไม่มี สำหรับพลเดินเท้าก็ไม่มี และใครๆ ไม่อาจชนะได้ด้วยมนต์หรือด้วยทรัพย์ วิบัติคือความตายเป็นที่สุดแห่งสมบัติคือชีวิต พระโยคาวจรเมื่อจะกำหนดถึงภาวะที่ชีวิตมีความตายเป็นที่สุดนั้น พึงระลึกถึงความตายโดยอาการวิบัติแห่งสมบัติ ด้วยประการฉะนี้ | + | <blockquote>ภูเขาใหญ่อันล้วนแล้วด้วยหินสูงจรดฟ้ากลิ้งบดมาทั้ง 4 ทิศโดยรอบแม้ฉันใด ความแก่และความตายก็ฉันนั้น ย่อมครอบงำสัตว์ทั้งหลาย คือพวกกษัตริย์ พวกพรหมณ์ พวกแพศย์ พวกศูทร พวกคนจัณฑาล และพวกปุกกุสะ ไม่เว้นใคร ๆ ย่อมย่ำยีทั่วไปทั้งหมดเลย ณ ที่นั้น พื้นที่สำหรับพลช้างก็ไม่มี สำหรับพลม้าก็ไม่มี สำหรับพลรถก็ไม่มี สำหรับพลเดินเท้าก็ไม่มี และใครๆ ไม่อาจชนะได้ด้วยมนต์หรือด้วยทรัพย์ วิบัติคือความตายเป็นที่สุดแห่งสมบัติคือชีวิต </blockquote> |
+ | |||
+ | พระโยคาวจรเมื่อจะกำหนดถึงภาวะที่ชีวิตมีความตายเป็นที่สุดนั้น พึงระลึกถึงความตายโดยอาการวิบัติแห่งสมบัติ ด้วยประการฉะนี้ | ||
==ตายเท่าเทียมกันแน่นอน== | ==ตายเท่าเทียมกันแน่นอน== | ||
บรรทัด 159: | บรรทัด 161: | ||
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 9)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 9)''</fs></sub> | ||
- | ==ตายเพราะร่างกายมีหนอนมากมายอยู่ก่อนแล้ว== | + | ==ตายเพราะร่างกายสาธารณะแก่สัตว์มากมากยอยู่แล้ว== |
คำว่า โดยเป็นกายสาธารณะแก่หมูหนอนจำนวนมาก มีอธิบายว่า กายนี้สาธารณะทั่วไปแก่สัตว์ทุกจำพวก คืออันดับแรกก็เป็นกายทั่วไปแก่หมูหนอน 80 ครอก ในหมู่หนอนเหล่านั้น พวกสัตว์ที่อาศัยผิวหนังก็กัดกินผิวหนัง จำพวกที่อาศัยหนังกัดกินหนัง จำพวกที่อาศัยเนื้อก็กัดกินเนื้อ จำพวกที่อาศัยเอ็นก็กัดกินเอ็น จำพวกที่อาศัยกระดูกก็กัดกินกระดูก จำพวกที่อาศัยเยื่อในกระดูกก็กัดกินเยื่อในกระดูก มันเกิด, แก่, ตาย, ถ่ายอุจจาระ, ปัสสาวะอยู่ในกายนั้นเอง และร่างกายก็นับว่าเป็นเรือนคลอด เป็นโรงพยาบาล เป็นสุสาน เป็นส้วม เป็นรางปัสสาวะ ของพวกมัน อันว่าร่างกายนี้นั้น เพราะความกำเริบแห่งหมู่หนอนแม้เหล่านั้น ก็ถึงซึ่งความตายได้ประการหนึ่งเป็นแท้ | คำว่า โดยเป็นกายสาธารณะแก่หมูหนอนจำนวนมาก มีอธิบายว่า กายนี้สาธารณะทั่วไปแก่สัตว์ทุกจำพวก คืออันดับแรกก็เป็นกายทั่วไปแก่หมูหนอน 80 ครอก ในหมู่หนอนเหล่านั้น พวกสัตว์ที่อาศัยผิวหนังก็กัดกินผิวหนัง จำพวกที่อาศัยหนังกัดกินหนัง จำพวกที่อาศัยเนื้อก็กัดกินเนื้อ จำพวกที่อาศัยเอ็นก็กัดกินเอ็น จำพวกที่อาศัยกระดูกก็กัดกินกระดูก จำพวกที่อาศัยเยื่อในกระดูกก็กัดกินเยื่อในกระดูก มันเกิด, แก่, ตาย, ถ่ายอุจจาระ, ปัสสาวะอยู่ในกายนั้นเอง และร่างกายก็นับว่าเป็นเรือนคลอด เป็นโรงพยาบาล เป็นสุสาน เป็นส้วม เป็นรางปัสสาวะ ของพวกมัน อันว่าร่างกายนี้นั้น เพราะความกำเริบแห่งหมู่หนอนแม้เหล่านั้น ก็ถึงซึ่งความตายได้ประการหนึ่งเป็นแท้ | ||
บรรทัด 185: | บรรทัด 187: | ||
ในสภาวธรรม 5 ประการนั้น ธรรมดาว่าชีวิต ชื่อว่าไม่มีเครื่องหมาย เพราะไม่มีกำหนดว่า จะพึงเป็นอยู่เท่านี้ปี ไม่เกินจากนี้ไปได้ จริงอยู่ สัตว์ทั้งหลายย่อมตายเสียแต่ในเวลาแรกเกิด เป็นกลละน้ำขุ่นก็มี ในเวลาเป็นอัมพุทะน้ำที่ใส เป็นชิ้นเนื้อเป็นแท่งอยู่ในครรภ์ได้ 1 เดือน 2 เดือน 3 เดือน 4 เดือน 5เดือน 10 เดือนก็มี ในสมัยที่คลอดจากท้องก็มี เลยนั้นไปย่อมตายภายในร้อยปีบ้าง เกินร้อยปีไปบ้าง อย่างแน่แท้ แม้พยาธิก็ชื่อว่า ไม่มีเครื่องหมาย เพราะความไม่มีกำหนดว่า สัตว์ทั้งหลายจะต้องตายด้วยความเจ็บป่วยชนิดนี้เท่านั้น จะไม่ตายด้วยความเจ็บป่วยชนิดอื่น ด้วยว่า สัตว์ทั้งหลายตายด้วยโรคตาก็มี ตายด้วยโรคหูเป็นต้นชนิดใดชนิดหนึ่งก็มี แม้กาลเวลาก็ชื่อว่าไม่มีเครื่องหมาย เพราะไม่มีกำหนดอย่างนี้ว่า จะต้องตายในเวลานี้เท่านั้น ไม่ตายในเวลาอื่น ด้วยว่าสัตว์ทั้งหลายตายในเวลาเช้าก็มี ตายในเวลาเที่ยงเป็นต้นเวลาใดเวลาหนึ่งก็มี แม้สถานที่ทอดทิ้งกายก็ชื่อว่าไม่มีเครื่องหมาย เพราะไม่มีกำหนดอย่างนี้ว่า สัตว์ทั้งหลายเมื่อจะตายจะต้องทอดทิ้งร่างกายไว้ในที่นี้เท่านั้น ไม่ทอดทิ้งไปในที่อื่น ด้วยว่าอัตภาพของบุคคลซึ่งเกิดภายในบ้านตกอยู่นอกบ้านก็มี ของผู้ที่เกิดนอกบ้านตกอยู่ภายในบ้านก็มี โดยประการนั้น บัณฑิตพึงให้พิสดารโดยประการเป็นอันมาก อัตภาพของเหล่าสัตว์ที่เกิดบนบกตกไปในน้ำ หรืออัตภาพของสัตว์ที่เกิดในน้ำตกไปบนบกดังนี้เป็นต้น แม้คติก็ชื่อว่าไม่มีเครื่องหมาย เพราะไม่มีกำหนดอย่างนี้ว่า อันสัตว์ที่จุติจากคตินี้แล้ว จะต้องไปบังเกิดในคตินี้ ด้วยว่า สัตว์ทั้งหลายจุติจากเทวโลก แล้วไปบังเกิดเป็นพวกมนุษย์ก็มี จุติจากมนุษย์โลกแล้วไปบังเกิดในเทวโลกเป็นต้นโลกใดโลกหนึ่งก็มี ชาวโลกย่อมหมุนเวียนไปในคติทั้ง 5 เหมือนโคที่เราเทียมไว้ในยนต์ ฉะนั้น ด้วยประการฉะนี้แล พึงระลึกถึงความตายโดยไม่มีนิมิตเครื่องหมาย ดังที่ว่ามานี้แล. | ในสภาวธรรม 5 ประการนั้น ธรรมดาว่าชีวิต ชื่อว่าไม่มีเครื่องหมาย เพราะไม่มีกำหนดว่า จะพึงเป็นอยู่เท่านี้ปี ไม่เกินจากนี้ไปได้ จริงอยู่ สัตว์ทั้งหลายย่อมตายเสียแต่ในเวลาแรกเกิด เป็นกลละน้ำขุ่นก็มี ในเวลาเป็นอัมพุทะน้ำที่ใส เป็นชิ้นเนื้อเป็นแท่งอยู่ในครรภ์ได้ 1 เดือน 2 เดือน 3 เดือน 4 เดือน 5เดือน 10 เดือนก็มี ในสมัยที่คลอดจากท้องก็มี เลยนั้นไปย่อมตายภายในร้อยปีบ้าง เกินร้อยปีไปบ้าง อย่างแน่แท้ แม้พยาธิก็ชื่อว่า ไม่มีเครื่องหมาย เพราะความไม่มีกำหนดว่า สัตว์ทั้งหลายจะต้องตายด้วยความเจ็บป่วยชนิดนี้เท่านั้น จะไม่ตายด้วยความเจ็บป่วยชนิดอื่น ด้วยว่า สัตว์ทั้งหลายตายด้วยโรคตาก็มี ตายด้วยโรคหูเป็นต้นชนิดใดชนิดหนึ่งก็มี แม้กาลเวลาก็ชื่อว่าไม่มีเครื่องหมาย เพราะไม่มีกำหนดอย่างนี้ว่า จะต้องตายในเวลานี้เท่านั้น ไม่ตายในเวลาอื่น ด้วยว่าสัตว์ทั้งหลายตายในเวลาเช้าก็มี ตายในเวลาเที่ยงเป็นต้นเวลาใดเวลาหนึ่งก็มี แม้สถานที่ทอดทิ้งกายก็ชื่อว่าไม่มีเครื่องหมาย เพราะไม่มีกำหนดอย่างนี้ว่า สัตว์ทั้งหลายเมื่อจะตายจะต้องทอดทิ้งร่างกายไว้ในที่นี้เท่านั้น ไม่ทอดทิ้งไปในที่อื่น ด้วยว่าอัตภาพของบุคคลซึ่งเกิดภายในบ้านตกอยู่นอกบ้านก็มี ของผู้ที่เกิดนอกบ้านตกอยู่ภายในบ้านก็มี โดยประการนั้น บัณฑิตพึงให้พิสดารโดยประการเป็นอันมาก อัตภาพของเหล่าสัตว์ที่เกิดบนบกตกไปในน้ำ หรืออัตภาพของสัตว์ที่เกิดในน้ำตกไปบนบกดังนี้เป็นต้น แม้คติก็ชื่อว่าไม่มีเครื่องหมาย เพราะไม่มีกำหนดอย่างนี้ว่า อันสัตว์ที่จุติจากคตินี้แล้ว จะต้องไปบังเกิดในคตินี้ ด้วยว่า สัตว์ทั้งหลายจุติจากเทวโลก แล้วไปบังเกิดเป็นพวกมนุษย์ก็มี จุติจากมนุษย์โลกแล้วไปบังเกิดในเทวโลกเป็นต้นโลกใดโลกหนึ่งก็มี ชาวโลกย่อมหมุนเวียนไปในคติทั้ง 5 เหมือนโคที่เราเทียมไว้ในยนต์ ฉะนั้น ด้วยประการฉะนี้แล พึงระลึกถึงความตายโดยไม่มีนิมิตเครื่องหมาย ดังที่ว่ามานี้แล. | ||
- | ==มีกำหนดเวลาแน่นอน== | + | ==ตายทุกชาติแน่นอน== |
คำว่า มีกำหนดเวลาแน่นอน อธิบายว่า ระยะกาลแห่งชีวิตมนุษย์ทั้งหลายในบัดนี้น้อยนัก ผู้ใดเป็นอยู่ได้นาน ผู้นั้นก็เป็นอยู่ได้เพียง 100 ปี หรือเลย (100ปี) ไปบ้าง แต่เป็นส่วนน้อย เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อายุของมนุษย์ทั้งหลายนี้น้อยนัก พวกเขาจำต้องไปยังสัมปรายภพ พวกเขาควรทำกุศล ควร | คำว่า มีกำหนดเวลาแน่นอน อธิบายว่า ระยะกาลแห่งชีวิตมนุษย์ทั้งหลายในบัดนี้น้อยนัก ผู้ใดเป็นอยู่ได้นาน ผู้นั้นก็เป็นอยู่ได้เพียง 100 ปี หรือเลย (100ปี) ไปบ้าง แต่เป็นส่วนน้อย เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อายุของมนุษย์ทั้งหลายนี้น้อยนัก พวกเขาจำต้องไปยังสัมปรายภพ พวกเขาควรทำกุศล ควร | ||
บรรทัด 217: | บรรทัด 219: | ||
พระโยคาวจรพึงระลึกถึงความตายโดยมีกำหนดระยะกาล ด้วยประการฉะนี้. | พระโยคาวจรพึงระลึกถึงความตายโดยมีกำหนดระยะกาล ด้วยประการฉะนี้. | ||
- | ==ว่องไวเพียงชั่วขณะจิต== | + | ==ตายทุกขณะจิตแน่นอน== |
ในคำว่า โดยมีขณะเล็กน้อย มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ จริงอยู่ เมื่อว่าโดยปรมัตถ์ ขณะแห่งชีวิตของสัตว์ทั้งหลายน้อยนักชั่วความเป็นไปแห่งจิตขณะเดียวเท่านั้น เปรียบเหมือนล้อรถแม้เมื่อหมุนไปก็หมุนด้วยส่วนแห่งกงส่วนหนึ่งเท่านั้น แม้เมื่อหยุดก็หยุดด้วยส่วนแห่งกงส่วนหนึ่งเท่านั้น ฉันใด ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็เป็นไปชั่วขณะแห่งจิตขณะเดียว ฉันนั้นเหมือนกัน ในเมื่อจิตนั้นดับแล้ว สัตว์ก็ถูกเรียกว่าดับแล้ว ดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า ในขณะแห่งจิตเป็นอดีตสัตว์เป็นแล้วไม่ใช่กำลังเป็นอยู่ ไม่ใช่จักเป็น ในขณะแห่งจิตเป็นอนาคต ไม่ใช่เป็นแล้ว ไม่ใช่กำลังเป็น แต่จักเป็น ในขณะแห่งจิตเป็นปัจจุบัน สัตว์ไม่ใช่เป็นแล้ว แต่กำลังเป็น ไม่ใช่จักเป็น | ในคำว่า โดยมีขณะเล็กน้อย มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ จริงอยู่ เมื่อว่าโดยปรมัตถ์ ขณะแห่งชีวิตของสัตว์ทั้งหลายน้อยนักชั่วความเป็นไปแห่งจิตขณะเดียวเท่านั้น เปรียบเหมือนล้อรถแม้เมื่อหมุนไปก็หมุนด้วยส่วนแห่งกงส่วนหนึ่งเท่านั้น แม้เมื่อหยุดก็หยุดด้วยส่วนแห่งกงส่วนหนึ่งเท่านั้น ฉันใด ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็เป็นไปชั่วขณะแห่งจิตขณะเดียว ฉันนั้นเหมือนกัน ในเมื่อจิตนั้นดับแล้ว สัตว์ก็ถูกเรียกว่าดับแล้ว ดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า ในขณะแห่งจิตเป็นอดีตสัตว์เป็นแล้วไม่ใช่กำลังเป็นอยู่ ไม่ใช่จักเป็น ในขณะแห่งจิตเป็นอนาคต ไม่ใช่เป็นแล้ว ไม่ใช่กำลังเป็น แต่จักเป็น ในขณะแห่งจิตเป็นปัจจุบัน สัตว์ไม่ใช่เป็นแล้ว แต่กำลังเป็น ไม่ใช่จักเป็น | ||
บรรทัด 635: | บรรทัด 637: | ||
'''อานาปานสติสูตร''' | '''อานาปานสติสูตร''' | ||
- | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติสมาธิแม้นี้แล อันพระโยคีเจริญแล้วทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นธรรมสงบประณีตเยือกเย็นและเป็นเครื่องอยู่เป็นสุข และยังอกุศลธรรมอันลามกที่เกิดขึ้นแล้ว ๆ ให้อันตรธานสงบระงับไปโดยพลัน ดังนี้ แล้วทรงแสดงไว้อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อานาปานสติสมาธิอันพระโยคีอบรมแล้วอย่างไร ? ทำให้มากแล้วอย่างไร ? จึงเป็นธรรมสงบประณีตเยือกเย็นและเป็นเครื่องอยู่เป็นสุข และยังอกุศลธรรมอันลามก ซึ่งเกิดขึ้นแล้ว ๆ ให้อันตรธานสงบระงับโดยพลัน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ผู้อยู่ป่าหรืออยู่ตามโคนไม้หรืออยู่ในเรือว่างเปล่านั่งคู่บัลลังก์ตั้งกายตรงดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า | + | "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติสมาธิแม้นี้แล อันพระโยคีเจริญแล้วทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นธรรมสงบประณีตเยือกเย็นและเป็นเครื่องอยู่เป็นสุข และยังอกุศลธรรมอันลามกที่เกิดขึ้นแล้ว ๆ ให้อันตรธานสงบระงับไปโดยพลัน" ดังนี้ |
+ | |||
+ | แล้วทรงแสดงไว้อย่างนี้ว่า "[[วิสุทธิมรรค_08_อนุสสติกัมมัฏฐานนิทเทส?h=กถํ:อานาปานสฺสติสมาธิ#hl|ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อานาปานสติสมาธิอันพระโยคีอบรมแล้วอย่างไร]] ? ทำให้มากแล้วอย่างไร ? จึงเป็นธรรมสงบประณีตเยือกเย็นและเป็นเครื่องอยู่เป็นสุข และยังอกุศลธรรมอันลามก ซึ่งเกิดขึ้นแล้ว ๆ ให้อันตรธานสงบระงับโดยพลัน | ||
+ | |||
+ | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ผู้อยู่ป่าหรืออยู่ตามโคนไม้หรืออยู่ในเรือว่างเปล่านั่งคู่บัลลังก์ตั้งกายตรงดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า | ||
จตุกกะ 4 วัตถุ 16 | จตุกกะ 4 วัตถุ 16 | ||
บรรทัด 679: | บรรทัด 685: | ||
15. สำเหนียกว่าเราจักเป็นผู้พิจารณาเห็นความดับไปหายใจออก สำเหนียกว่าเราจักพิจารณาเห็นความดับไปหายใจเข้า | 15. สำเหนียกว่าเราจักเป็นผู้พิจารณาเห็นความดับไปหายใจออก สำเหนียกว่าเราจักพิจารณาเห็นความดับไปหายใจเข้า | ||
- | 16. สำเหนียกว่าเราจักเป็นผู้พิจารณาเห็นความสลัดทิ้งหายใจออก สำเหนียกว่าเราจักเป็นผู้พิจาณาเห็นความสลัดทิ้งหายใจเข้า | + | 16. สำเหนียกว่าเราจักเป็นผู้พิจารณาเห็นความสลัดทิ้งหายใจออก สำเหนียกว่าเราจักเป็นผู้พิจาณาเห็นความสลัดทิ้งหายใจเข้า" |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 47)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 47)''</fs></sub> | ||
- | ==อธิบายคำบริกรรมกรรมฐาน== | ||
- | ก็เพราะอานาปานสติสมาธินั้น เมื่อกล่าวตามแนวของการพรรณนาพระบาลีนั้นแล ย่อมบริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง ฉะนั้น ในอธิการอันว่า อานาปานสติสมาธินั้น จึงมีการแสดงอันมีการพรรณนาพระบาลีเป็นตัวนำดังต่อไปนี้ | ||
+ | ==อธิบายคำบริกรรมกรรมฐาน== | ||
===อธิบาย จตุกกะที่ 1=== | ===อธิบาย จตุกกะที่ 1=== | ||
- | อันดับแรกพึงวินิจฉัยในบาลีคำถามว่า กถํ ภาวิโต จ ภิกฺขเว อานาปานสติสมาธิ ดังต่อไปนี้ | + | ก็เพราะอานาปานสติสมาธินั้น เมื่อกล่าวตามแนวของการพรรณนาพระบาลีนั้นแล ย่อมบริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง ฉะนั้น ในอธิการอันว่า อานาปานสติสมาธินั้น จึงมีการแสดงอันมีการพรรณนาพระบาลีเป็นตัวนำดังต่อไปนี้ |
+ | |||
+ | อันดับแรกพึงวินิจฉัยในคำบริกรรมกรรมฐานว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อานาปานสติสมาธิอันพระโยคีอบรมแล้วอย่างไร ? (กถํ ภาวิโต จ ภิกฺขเว อานาปานสฺสติสมาธิ)" ดังต่อไปนี้ | ||
- | คำว่า กถํ นี้เป็นคำถามด้วยความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะขยายอานาปานสติสมาธิภาวนา ให้พิสดารโดยประการต่าง ๆ คำว่า ภาวิโต จ ภิกฺขเว อานาปานสติสมาธิ นี้เป็นคำทรงแสดงไขธรรมที่ทรงตรัสถามไว้ด้วยความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะตรัสให้พิสดารโดยประการต่าง ๆ แม้ในคำว่า กถํ พหุลีกโต ฯลฯ วูปสเมติ นี้ ก็นัยนี้เหมือนกัน บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภาวิโต นี้ ได้แก่ ให้เกิดขึ้นแล้วหรือเจริญแล้ว บทว่า อานาปานสติสมาธิ ได้แก่ สมาธิที่สัมปยุตด้วยสติอันกำหนดเอาลมหายใจออกและลมหายใจเข้า หรือสมาธิในอานาปานสติ ชื่อว่าอานาปานสติสมาธิ บทว่า พหุลีกโต ได้แก่ ทำบ่อย ๆ | + | คำว่า "อย่างไร ? (กถํ)" นี้เป็นคำถามด้วยความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะขยายอานาปานสติสมาธิภาวนา ให้พิสดารโดยประการต่าง ๆ คำว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อานาปานสติสมาธิอันพระโยคีอบรมแล้วอย่างไร ? (กถํ ภาวิโต จ ภิกฺขเว อานาปานสฺสติสมาธิ)" นี้เป็นคำทรงแสดงไขธรรมที่ทรงตรัสถามไว้ด้วยความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะตรัสให้พิสดารโดยประการต่าง ๆ แม้ในคำว่า "ทำให้มากแล้วอย่างไร ? ฯลฯ ให้อันตรธานสงบระงับโดยพลัน (กถํ พหุลีกโต ฯลฯ วูปสเมติ)" นี้ ก็นัยนี้เหมือนกัน. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า "อบรมแล้ว (ภาวิโต)" นี้ ได้แก่ เกิดขึ้นแล้วหรือเจริญแล้ว. บทว่า อานาปานสติสมาธิ ได้แก่ สมาธิที่สัมปยุตด้วยสติอันกำหนดเอาลมหายใจออกและลมหายใจเข้า หรือสมาธิในอานาปานสติ ชื่อว่าอานาปานสติสมาธิ บทว่า พหุลีกโต ได้แก่ ทำบ่อย ๆ |
คำว่า สนฺโต เจว ปณีโต จ นี้ได้แก่สงบด้วยประณีตด้วย พึงทราบการกำหนดความด้วย เอว ศัพท์ใน 2 บท พระองค์ทรงอธิบายไว้อย่างไร ? ทรงอธิบายไว้ว่า อันอานาปานสติสมาธินี้จะได้เป็นธรรมสงบและประณีต โดยปริยายไร ๆ เหมือนอย่างอสุภกัมมัฏฐาน ซึ่งสงบและประณีตโดยปฏิเวธอย่างเดียว แต่ไม่สงบและประณีตโดยอารมณ์เลย เพราะมีอารมณ์หยาบและมีสิ่งปฏิกูลเป็นอารมณ์หามิได้ โดยที่แท้ เป็นธรรมชื่อว่าสงบคือเข้าไปสงบดับสนิท เพราะทั้งสงบโดยอารมณ์ เพราะทั้งสงบโดยองค์กล่าวคือปฏิเวธ ชื่อว่า ประณีต คือไม่ทำให้เบื่อหน่ายเพราะทั้งประณีตโดยอารมณ์เพราะทั้งประณีตโดยองค์ ดังนี้ เพราะเหตุนั้น จึงตรัสว่า อานาปานสติสมาธินี้เป็นธรรมสงบทั้งประณีต | คำว่า สนฺโต เจว ปณีโต จ นี้ได้แก่สงบด้วยประณีตด้วย พึงทราบการกำหนดความด้วย เอว ศัพท์ใน 2 บท พระองค์ทรงอธิบายไว้อย่างไร ? ทรงอธิบายไว้ว่า อันอานาปานสติสมาธินี้จะได้เป็นธรรมสงบและประณีต โดยปริยายไร ๆ เหมือนอย่างอสุภกัมมัฏฐาน ซึ่งสงบและประณีตโดยปฏิเวธอย่างเดียว แต่ไม่สงบและประณีตโดยอารมณ์เลย เพราะมีอารมณ์หยาบและมีสิ่งปฏิกูลเป็นอารมณ์หามิได้ โดยที่แท้ เป็นธรรมชื่อว่าสงบคือเข้าไปสงบดับสนิท เพราะทั้งสงบโดยอารมณ์ เพราะทั้งสงบโดยองค์กล่าวคือปฏิเวธ ชื่อว่า ประณีต คือไม่ทำให้เบื่อหน่ายเพราะทั้งประณีตโดยอารมณ์เพราะทั้งประณีตโดยองค์ ดังนี้ เพราะเหตุนั้น จึงตรัสว่า อานาปานสติสมาธินี้เป็นธรรมสงบทั้งประณีต | ||
บรรทัด 717: | บรรทัด 724: | ||
'''พระโยคาวจรในศาสนานี้ทรงผูกจิตของตนไว้ที่อารมณ์ให้มั่นด้วยสติ ฉันนั้นเถิด''' | '''พระโยคาวจรในศาสนานี้ทรงผูกจิตของตนไว้ที่อารมณ์ให้มั่นด้วยสติ ฉันนั้นเถิด''' | ||
- | เสนาสนะนั้นย่อมเป็นสถานควรแก่การเจริญอานาปานสติสมาธินั้น ด้วยประการฉะนี้ เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า คำว่า อรญฺญคโต วา ไปสู่ป่าก็ตามเป็นต้น นี้เป็นคำแสดงการกำหนดเสนาสนะอันเหมาะสมแก่การเจริญอานาปานสติสมาธิของพระโยคาวจรนั้นอีกอย่างหนึ่ง เพราะเหตุที่อานาปานสติกัมมัฏฐานนี้ เป็นยอดในประเภทกรรมฐาน เป็นเหตุใกล้แห่งการบรรลุคุณพิเศษ และการอยู่เป็นสุขในภพปัจจุบัน ของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และสาวกของพระพุทธเจ้าทั้งปวง พระโยคาวจรจะไม่ละจากละแวกบ้านอันอื้ออึงไปด้วยเสียงหญิงชายช้างม้าเป็นต้น แล้วเจริญอานาปานสติ ไม่กระทำได้ง่ายเลยเพราะฌานมีเสียงเป็นข้าศึก แต่การที่พระโยคาวจรกำหนดเอากรรมฐานนี้แล้ว ยังจตุตถฌานอันมีลมหายใจเข้าออกอันเป็นอารมณ์ให้เกิด แล้วทำฌานนั้นนั่นแหละให้เป็นบาทพิจารณาสังขารแล้วบรรลุพระอรหันต์เป็นผลเลิศในป่าซึ่งหาบ้านมิได้ จึงกระทำได้ง่าย ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเมื่อจะแสดงเสนาสนะอันเหมาะสมแก่พระโยคาวจรผู้เจริญอานาปานสติสมาธินั้น จึงตรัสว่า อรญฺญคโต วา อยู่ป่าก็ตาม ดังนี้เป็นต้น | + | เสนาสนะนั้นย่อมเป็นสถานควรแก่การเจริญอานาปานสติสมาธินั้น ด้วยประการฉะนี้ เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า คำว่า อรญฺญคโต วา ไปสู่ป่าก็ตามเป็นต้น นี้เป็นคำแสดงการกำหนดเสนาสนะอันเหมาะสมแก่การเจริญอานาปานสติสมาธิของพระโยคาวจรนั้นอีกอย่างหนึ่ง เพราะเหตุที่อานาปานสติกัมมัฏฐานนี้ เป็นยอดในประเภทกรรมฐาน เป็นเหตุใกล้แห่งการบรรลุคุณพิเศษ และการอยู่เป็นสุขในภพปัจจุบัน ของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และสาวกของพระพุทธเจ้าทั้งปวง พระโยคาวจรจะไม่ละจากละแวกบ้านอันอื้ออึงไปด้วยเสียงหญิงชายช้างม้าเป็นต้น แล้วเจริญอานาปานสติ ไม่กระทำได้ง่ายเลยเพราะฌานมีเสียงเป็นข้าศึก แต่พระโยคาวจรจะทำได้ง่ายเมื่อเขาอยู่ในป่าซึ่งไม่ใช่หมู่บ้าน แล้วจึงกำหนดกรรมฐานนี้ (ดูลม) ยังจตุตถฌานอันมีลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์ให้เกิด แล้วทำฌานนั้นนั่นแหละให้เป็นบาท แล้วพิจารณาสังขารแล้วบรรลุพระอรหันต์เป็นผลเลิศ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเมื่อจะแสดงเสนาสนะอันเหมาะสมแก่พระโยคาวจรผู้เจริญอานาปานสติสมาธินั้น จึงตรัสว่า อรญฺญคโต วา อยู่ป่าก็ตาม ดังนี้เป็นต้น |
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 50)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 50)''</fs></sub> | ||
บรรทัด 753: | บรรทัด 760: | ||
<sub><fs smaller>''(หน้าที่ 52)''</fs></sub> | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 52)''</fs></sub> | ||
- | บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงอาการอันเป็นเหตุให้ภิกษุนั้นได้ชื่อว่า สโตการี จึงตรัส คำว่า ทีฆํ วา อสฺสสนฺโต หรือหายใจออกยาว ดังนี้เป็นต้น สมจริงดังคำที่พระธรรมเสนาบดีเสรีบุตรกล่าวไว้ในปฏิสัมภิทาในวิภังค์แห่งปาฐะว่า โส สโตว อสฺสสติ สโต ปสฺสสติ นั้นนั่นแลว่า พระโยคาวจรย่อมเป็นผู้ชื่อว่า สโตการี ด้วยอาการ 32 อย่าง เมื่อเธอรู้ชัดว่าจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่านด้วยอำนาจหายใจออกยาวอยู่ สติย่อมตั้งมั่น เธอเป็นผู้ชื่อว่า สโตการี ด้วยสตินั้นด้วยปัญญานั้น เมื่อเธอรู้ชัดว่าภาวะที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งม่ฟุ้งซ่าน ด้วยอำนาจแห่งการหายใจเข้ายาวอยู่ สติย่อมตั้งมั่น เธอย่อมเป็นผู้ชื่อว่า สโตการี ด้วยสตินั้น ด้วยปัญญานั้น ฯลฯ เมื่อเธอรู้ชัดว่าจิตอารมณ์เป็นหนึ่งไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยอำนาจความเป็นพิจารณาเห็นความสลัดทิ้งหายใจออกอยู่ ด้วยอำนาจความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสลัดทิ้งหายใจเข้าอยู่ สติย่อมตั้งมั่น เธอเป็นผู้ชื่อว่า สโตการี ด้วยสตินั้น ด้วยปัญญานั้น ดังนี้ | + | บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงอาการอันเป็นเหตุให้ภิกษุนั้นได้ชื่อว่า สโตการี จึงตรัส คำว่า ทีฆํ วา อสฺสสนฺโต หรือหายใจออกยาว ดังนี้เป็นต้น สมจริงดังคำที่พระธรรมเสนาบดีเสรีบุตรกล่าวไว้ในปฏิสัมภิทาในวิภังค์คือคำอธิบายแห่งปาฐะว่า "โส สโตว อสฺสสติ สโต ปสฺสสติ-ภิกษุผู้นั่งคู้บัลลังก์นั้น มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก" นั้นนั่นแลว่า |
+ | |||
+ | <blockquote>"พระโยคาวจรย่อมเป็นผู้ชื่อว่า สโตการี ด้วย [[ปฏิสัมภิทามรรค_03_มหาวรรค#สโตการิญาณนิทฺเทโส|32 อาการ]] (อานาปานัสสติ 16 x 2 = 32 ในปฏิสัมภิทามรรค) เมื่อเธอรู้ชัดว่าจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่านด้วยอำนาจหายใจออกยาวอยู่ สติย่อมตั้งมั่น เธอเป็นผู้ชื่อว่า สโตการี ด้วยสตินั้นด้วยปัญญานั้น เมื่อเธอรู้ชัดว่าภาวะที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยอำนาจแห่งการหายใจเข้ายาวอยู่ สติย่อมตั้งมั่น เธอย่อมเป็นผู้ชื่อว่า สโตการี ด้วยสตินั้น ด้วยปัญญานั้น ฯลฯ เมื่อเธอรู้ชัดว่าจิตอารมณ์เป็นหนึ่งไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยอำนาจความเป็นพิจารณาเห็นความสลัดทิ้งหายใจออกอยู่ ด้วยอำนาจความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสลัดทิ้งหายใจเข้าอยู่ สติย่อมตั้งมั่น เธอเป็นผู้ชื่อว่า สโตการี ด้วยสตินั้น ด้วยปัญญานั้น" ดังนี้</blockquote> | ||
'''อธิบาย อัสสาสะปัสสาสะ''' | '''อธิบาย อัสสาสะปัสสาสะ''' | ||
บรรทัด 1001: | บรรทัด 1010: | ||
=== อธิบายจตุกกะที่ 2 === | === อธิบายจตุกกะที่ 2 === | ||
- | บทว่า ปีติปฏิสํเวที แปลว่า ภิกษุสำเหนียกว่าเราจักทำปีติให้เป็นอันตนรู้แจ้งแล้ว คือทำให้ปรากฏแล้ว หายใจออกหายใจเข้า ในข้อนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า ปีติย่อมเป็นธรรมชาติ อันพระโยคาวจรรู้แจ้งแล้ว โดยอาการ 2 อย่างคือ โดยอารมณ์ 1 โดยการไม่หลงลืม 1 ถามว่า ปีติเป็นธรรมชาติอันภิกษุรู้แจ้งแล้วโดยอารมณ์อย่างไร ? แก้ว่า ภิกษุเข้าฌาน 2 ที่มีปีติ ปีติย่อมเป็นธรรมชาติอันภิกษุนั้นรู้แจ้งแล้วโดยอารมณ์ ด้วยการได้เฉพาะซึ่งฌานในขณะแห่งสมาบัติเพราะอารมณ์ท่านรู้แจ้งแล้ว โดยไม่หลงลืมเป็นอย่างไร ? คือ ครั้นเธอเข้าฌาน 2 ที่มีปีติ ออกแล้วพิจารณาเห็นปีติที่สัมปยุตด้วยฌานโดยความสิ้นไปเสื่อมไป ปีติก็เป็นอันชื่อว่าเธอรู้แจ้งแล้วโดยไม่หลงลืม เพราะรู้ลักษณะในขณะที่เห็นด้วยวิปัสสนาปัญญา สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ในปฏิสัมภิทาว่า เมื่อภิกษุรู้ชัดซึ่งภาวะแห่งจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่านด้วยอำนาจแห่งความหายใจออกยาว สติย่อมตั้งมั่น ปีตินั้นเป็นอันเธอรู้แจ้งแล้ว ด้วยสตินั้นด้วยญานนั้น เมื่อภิกษุรู้แจ้งอยู่ซึ่งภาวะที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยอำนาจความหายใจออกยาว ฯลฯ ด้วยอำนาจความหายใจเข้าสั้น ฯลฯ ด้วยอำนาจหายใจออกสั้น ด้วยสามารถรู้แจ้งกายทั้งสิ้นหายใจออกหายใจเข้า ฯลฯ ด้วยอำนาจทำกายสังขารให้สงบ หายใจออกเข้า สติย่อมตั้งมั่น ปีติเป็นธรรมชาติที่เธอรู้ได้ชัด ด้วยสตินั้นด้วยปัญญานั้น เมื่อภิกษุรำพึงถึงอยู่....เห็นอยู่.....ปัจจเวกขณ์อยู่.....อธิษฐานจิตอยู่.....น้อมใจเชื่อด้วยศรัทธาอยู่.....ประคองความเพียรอยู่ ยังสติให้ตั้งมั่นอยู่.....เริ่มตั้งจิตมั่น รู้ชัดอยู่ด้วยปัญญา รู้ยิ่งอยู่ซึ่งสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง....ละสิ่งที่ควรละ ทำให้เกิดสิ่งที่ควรทำให้เกิด ทำให้แจ้งสิ่งที่ควรทำให้แจ้ง ปีตินั้นก็เป็นสิ่งที่เธอรู้แจ้ง ด้วยประการฉะนี้ | + | บทว่า ปีติปฏิสํเวที แปลว่า ภิกษุสำเหนียกว่าเราจักทำปีติให้เป็นอันตนรู้แจ้งแล้ว คือทำให้ปรากฏแล้ว หายใจออกหายใจ |
+ | เข้า ในข้อนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า ปีติย่อมเป็นธรรมชาติ อันพระโยคาวจรรู้แจ้งแล้ว โดยอาการ 2 อย่างคือ โดยอารมณ์ 1 โดยการไม่หลงลืม 1 (อสัมโมหะ) | ||
+ | |||
+ | ถามว่า ปีติเป็นธรรมชาติอัภิกษุรู้แจ้งแล้วโดยอารมณ์อย่างไร ? | ||
+ | |||
+ | แก้ว่า ภิกษุเข้าฌาน 2 ที่มีปีติ ปีติย่อมเป็นธรรมชาติอันภิกษุนั้นรู้แจ้งแล้วโดยอารมณ์ ด้วยการได้เฉพาะซึ่งฌานในขณะแห่งสมาบัติเพราะอารมณ์ | ||
+ | |||
+ | ท่านรู้แจ้งแล้ว โดยไม่หลงลืมเป็นอย่างไร ? | ||
- | แม้บทที่เหลือบัณฑิตพึงทราบโดยความตามนัยนั้นนั่นแล แต่ในที่นี้มีความแปลกกันดังนี้ คือ พึงทราบภาวะที่ภิกษุรู้แจ้งซึ่งสุขด้วยอำนาจแห่งฌาน 3 พึงทราบภาวะที่ภิกษุรู้แจ้งซึ่งจิตสังขารด้วยอำนาจแห่งฌานทั้ง 4 บทว่า "จิตฺตสงฺขาโร" ได้แก่ขันธ์ 2 มีเวทนาขันธ์เป็นต้น ก็ในบรรดาบททั้ง 2 นี้ บทว่า "สุขปฏิสํเวที"ท่านกล่าวไว้ในปฏิสัมภิทาเพื่อแสดงภูมิแห่งวิปัสสนาว่า สุขในบทว่า สุขํ นี้มี 2 อย่าง คือสุขทางกาย 1 สุขทางจิต 1 บทว่า "ปสฺสมฺภยํ จิตฺตสงฺขารํ" ความว่า ระงับคือดับจิตสังขารที่หยาบ ๆ แต่เมื่อว่าโดย | + | คือ ครั้นเธอเข้าฌาน 2 ที่มีปีติ ออกแล้วพิจารณาเห็นปีติที่สัมปยุตด้วยฌานโดยความสิ้นไปเสื่อมไป ปีติก็เป็นอันชื่อว่าเธอรู้แจ้งแล้วโดยไม่หลงลืม เพราะรู้ลักษณะในขณะที่เห็นด้วยวิปัสสนาปัญญา สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ในปฏิสัมภิทาว่า เมื่อภิกษุรู้ชัดซึ่งภาวะแห่งจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่านด้วยอำนาจแห่งความหายใจออกยาว สติย่อมตั้งมั่น ปีตินั้นเป็นอันเธอรู้แจ้งแล้ว ด้วยสตินั้นด้วยญาณนั้น เมื่อภิกษุรู้แจ้งอยู่ซึ่งภาวะที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยอำนาจความหายใจออกยาว ฯลฯ ด้วยอำนาจความหายใจเข้าสั้น ฯลฯ ด้วยอำนาจหายใจออกสั้น ด้วยสามารถรู้แจ้งกายทั้งสิ้นหายใจออกหายใจเข้า ฯลฯ ด้วยอำนาจทำกายสังขารให้สงบ หายใจออกเข้า สติย่อมตั้งมั่น ปีติเป็นธรรมชาติที่เธอรู้ได้ชัด ด้วยสตินั้นด้วยปัญญานั้น เมื่อภิกษุรำพึงถึงอยู่….เห็นอยู่…..ปัจจเวกขณ์อยู่…..อธิษฐานจิตอยู่…..น้อมใจเชื่อด้วยศรัทธาอยู่…..ประคองความเพียรอยู่ ยังสติให้ตั้งมั่นอยู่…..เริ่มตั้งจิตมั่น รู้ชัดอยู่ด้วยปัญญา รู้ยิ่งอยู่ซึ่งสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง….ละสิ่งที่ควรละ ทำให้เกิดสิ่งที่ควรทำให้เกิด ทำให้แจ้งสิ่งที่ควรทำให้แจ้ง ปีตินั้นก็เป็นสิ่งที่เธอรู้แจ้ง ด้วยประการฉะนี้ |
- | <sub><fs smaller>''(หน้าที่ 72)''</fs></sub> | + | แม้บทที่เหลือบัณฑิตพึงทราบโดยความตามนัยนั้นนั่นแล แต่ในที่นี้มีความแปลกกันดังนี้ คือ พึงทราบภาวะที่ภิกษุรู้แจ้งซึ่งสุขด้วยอำนาจแห่งฌาน 3 พึงทราบภาวะที่ภิกษุรู้แจ้งซึ่งจิตสังขารด้วยอำนาจแห่งฌานทั้ง 4 บทว่า "จิตฺตสงฺขาโร" ได้แก่ขันธ์ 2 มีเวทนาขันธ์เป็นต้น ก็ในบรรดาบททั้ง 2 นี้ บทว่า "สุขปฏิสํเวที"ท่านกล่าวไว้ในปฏิสัมภิทาเพื่อแสดงภูมิแห่งวิปัสสนาว่า สุขในบทว่า สุขํ นี้มี 2 อย่าง คือสุขทางกาย 1 สุขทางจิต 1 บทว่า "ปสฺสมฺภยํ จิตฺตสงฺขารํ" ความว่า ระงับคือดับจิตสังขารที่หยาบ ๆ แต่เมื่อว่าโดย |
- | '''พิสดารความดับจิตสังขารนั้น พึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วในกายสังขารนั่นแล อนึ่ง ในบทเหล่านั้น บทว่า "ปีติ" ท่านกล่าวถึงเวทนาโดยยกเวทนาขึ้นเป็นประธาน ในบทว่า "สุข" ท่านกล่าวเวทนาโดยสรุปนั่นเอง ในบทว่า "จิตฺตสงฺขาร" ทั้ง 2 บท พึงทราบว่าท่านกล่าวเวทนาที่สัมปยุตด้วยสัญญา เพราะพระบาลีว่า สัญญาและเวทนาเป็นเจตสิก ธรรมเหล่านั้นนับเนื่องกับจิต จัดเป็นจิตสังขาร ดังนี้แล ''' | + | (หน้าที่ 72) |
- | บัณฑิตพึงทราบว่า จตุกกะนี้ทรงตรัสโดยนัยแห่งเวทนานุปัสสนา ด้วยประการฉะนี้ | + | พิสดารความดับจิตสังขารนั้น พึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วในกายสังขารนั่นแล อนึ่ง ในบทเหล่านั้น บทว่า "ปีติ" ท่านกล่าวถึงเวทนาโดยยกเวทนาขึ้นเป็นประธาน ในบทว่า "สุข" ท่านกล่าวเวทนาโดยสรุปนั่นเอง ในบทว่า "จิตฺตสงฺขาร" ทั้ง 2 บท พึงทราบว่าท่านกล่าวเวทนาที่สัมปยุตด้วยสัญญา เพราะพระบาลีว่า สัญญาและเวทนาเป็นเจตสิก ธรรมเหล่านั้นนับเนื่องกับจิต จัดเป็นจิตสังขาร ดังนี้แล |
+ | บัณฑิตพึงทราบว่า จตุกกะนี้ทรงตรัสโดยนัยแห่งเวทนานุปัสสนา ด้วยประการฉะนี้ | ||
=== อธิบายจตุกกะที่ 3 === | === อธิบายจตุกกะที่ 3 === | ||