มหาสติปัฏฐานสูตร_ฉบับปรับสำนวน

ความแตกต่าง

นี่เป็นการแสดงความแตกต่างระหว่างเพจสองรุ่น

Link to this comparison view

Both sides previous revision Previous revision
Next revision
Previous revision
มหาสติปัฏฐานสูตร_ฉบับปรับสำนวน [2020/12/25 08:25]
dhamma [คำอธิบายผู้ปรับสำนวน]
มหาสติปัฏฐานสูตร_ฉบับปรับสำนวน [2021/01/02 20:14] (ฉบับปัจจุบัน)
บรรทัด 90: บรรทัด 90:
 ปชานาติ (ปญฺญา) ในบรรพะนี้ รู้ 4 "ป (ปการ)"​ คือ 1. ลมยาว 2. ลมสั้น 3. ลมสั้นหรือยาวตลอดสาย 4. ลมสั้นหรือยาวที่เบาลงๆ. ปชานาติ (ปญฺญา) ในบรรพะนี้ รู้ 4 "ป (ปการ)"​ คือ 1. ลมยาว 2. ลมสั้น 3. ลมสั้นหรือยาวตลอดสาย 4. ลมสั้นหรือยาวที่เบาลงๆ.
  
-รู้ลม ไม่ใช่รู้ธาตุ 4 ไม่ใช่เย็น ไม่ใช่แข็ง ไม่ใช่กระทบ ลมเป็นอัฏฐกกลาปบัญญัติที่จิตคิดขึ้นจากปฐวีธาตุ ​ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ที่เกิดพร้อมกันอยู่ ธาตุเหล่านี้จึงกระทบกายปสาทะได้ แต่ผู้ปฏิบัติต้องรู้ลมบัญญัติที่ยาวหรือสั้น โดยอาศัยธาตุเหล่านั้นที่จุดกระทบปลายจมูก คือ เมื่อกระทบกู็รู้ลมยาว ลมสั้น ไม่ใช่รู้เย็น ร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหว หรือ กระทบ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นธาตุ ไม่ใช่ลมหายใจยาวสั้น. ลมชัดที่สุด จะไม่ย้ายจุดสัมผัส ไม่เช่นนั้นสมาธิจะไม่ตั้งมั่น เพราะไปเน้นรู้กระทบปรมัตถ์แทนลมบัญญัติ (วิวิจฺเจว กาเมหิ) ผู้ปฏิบัติจึงต้องกำหนดอยู่แถวที่ใดที่หนึ่งที่ปลายจมูก ไม่ตามลมเข้าไปข้างในจากปลายจมูกและไม่ตามออกไปนอกจากปลายจมูก. และสำคัญที่สุด คือ ​**รู้ลมเพื่อเจริญกุศลจิตให้ต่อเนื่อง ไม่ใช่รู้ลมเพื่อเจริญลม.**+รู้ลม ไม่ใช่รู้ธาตุ 4 ไม่ใช่เย็น ไม่ใช่แข็ง ไม่ใช่กระทบ ลมเป็นอัฏฐกกลาปบัญญัติที่จิตคิดขึ้นจากปฐวีธาตุ ​ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ที่เกิดพร้อมกันอยู่ ธาตุเหล่านี้จึงกระทบกายปสาทะได้ แต่ผู้ปฏิบัติต้องรู้ลมบัญญัติที่ยาวหรือสั้น โดยอาศัยธาตุเหล่านั้นที่จุดกระทบปลายจมูก คือ เมื่อกระทบกู็รู้ลมยาว ลมสั้น ไม่ใช่รู้เย็น ร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหว หรือ กระทบ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นธาตุ ไม่ใช่ลมหายใจยาวสั้น. ลมชัดที่สุด จะไม่ย้ายจุดสัมผัส ไม่เช่นนั้นสมาธิจะไม่ตั้งมั่น เพราะไปเน้นรู้กระทบปรมัตถ์แทนลมบัญญัติ (วิวิจฺเจว กาเมหิ) ผู้ปฏิบัติจึงต้องกำหนดอยู่แถวที่ใดที่หนึ่งที่ปลายจมูก ไม่ตามลมเข้าไปข้างในจากปลายจมูกและไม่ตามออกไปนอกจากปลายจมูก. และสำคัญที่สุด คือ ​''​รู้ลมเพื่อเจริญกุศลจิตให้ต่อเนื่อง ไม่ใช่รู้ลมเพื่อเจริญลม.''​
  
 ที่อาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า "​รู้ลมธรรมชาติ ไม่บังคับลม"​ แต่ในบรรพะนี้กล่าวว่า "​ฝึกอยู่ว่า (สิกฺขติ)"​ ทั้ง 2 คำมีความหมายเดียวกัน เพราะลมธรรมชาติ คือ ลมที่เบาลงๆ (ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ) ซึ่งเป็นอารมณ์ของ ปชานาติ,​ ส่วนการฝึกนั้น คือ "​ปชานาติ"​ที่พยายามฝึกให้เกิดต่อเนื่องตลอดกองลมเข้า/​ออก และ ปชานาติที่พยายามฝึกรู้ลมที่เบาลงๆ (ลมธรรมชาติ). อีกอย่างหนึ่ง ที่อาจารย์ทั้งหลายไม่ให้บังคับลมก็เพราะผู้ปฏิบัติใหม่บางท่านพยายามจะหายใจให้กระทบชัดๆ การทำเช่นนี้เป็นการดูธาตุ ไม่ใช่การดูลมหายใจบัญญัติ ซึ่งจะทำให้ฟุ้งซ่าน เพราะธาตุเป็นกามธรรมที่พัฒนาเป็นปฏิภาคนิมิตไม่ได้ จึงเป็นปฏิปักข์ต่อสมาธิ แต่ลมหายใจเป็นบัญญัติที่สามารถพัฒนาเป็นปฏิภาคนิมิตได้,​ นอกจากนี้ การบังคับลมจะทำให้เครียด ซึ่งเป็นปฏิปักข์ต่อโพชฌงค์และองค์ฌาน คือ ปัสสัทธิ-สมาธิ-อุเปกขา-ปีติ-สุข ดังนั้น อาจารย์ทั้งหลายจึงแนะนำไม่ให้บังคับลม. แต่การไม่บังคับลมนั้น ก็ต้องฝึกรู้ลมตลอดสาย และฝึกรู้ลมที่เบาลงๆ ด้วย. ที่อาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า "​รู้ลมธรรมชาติ ไม่บังคับลม"​ แต่ในบรรพะนี้กล่าวว่า "​ฝึกอยู่ว่า (สิกฺขติ)"​ ทั้ง 2 คำมีความหมายเดียวกัน เพราะลมธรรมชาติ คือ ลมที่เบาลงๆ (ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ) ซึ่งเป็นอารมณ์ของ ปชานาติ,​ ส่วนการฝึกนั้น คือ "​ปชานาติ"​ที่พยายามฝึกให้เกิดต่อเนื่องตลอดกองลมเข้า/​ออก และ ปชานาติที่พยายามฝึกรู้ลมที่เบาลงๆ (ลมธรรมชาติ). อีกอย่างหนึ่ง ที่อาจารย์ทั้งหลายไม่ให้บังคับลมก็เพราะผู้ปฏิบัติใหม่บางท่านพยายามจะหายใจให้กระทบชัดๆ การทำเช่นนี้เป็นการดูธาตุ ไม่ใช่การดูลมหายใจบัญญัติ ซึ่งจะทำให้ฟุ้งซ่าน เพราะธาตุเป็นกามธรรมที่พัฒนาเป็นปฏิภาคนิมิตไม่ได้ จึงเป็นปฏิปักข์ต่อสมาธิ แต่ลมหายใจเป็นบัญญัติที่สามารถพัฒนาเป็นปฏิภาคนิมิตได้,​ นอกจากนี้ การบังคับลมจะทำให้เครียด ซึ่งเป็นปฏิปักข์ต่อโพชฌงค์และองค์ฌาน คือ ปัสสัทธิ-สมาธิ-อุเปกขา-ปีติ-สุข ดังนั้น อาจารย์ทั้งหลายจึงแนะนำไม่ให้บังคับลม. แต่การไม่บังคับลมนั้น ก็ต้องฝึกรู้ลมตลอดสาย และฝึกรู้ลมที่เบาลงๆ ด้วย.
บรรทัด 97: บรรทัด 97:
  
 กาเย ในบรรพะนี้โยคเข้ากับ อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ > นิสีทติ อุชุํ (กรช)กายํ ปณิธาย > อสฺสสามิ,​ ส่วน กาย ใน กายานุปสฺสี โยคเข้ากับ ทีฆํ/​รสฺสํ กายสงฺขารํ,​ ส่วน กายสฺมึ โยค กายสงฺขารํ ใน กายานุปสฺสี อีกทีหนึ่ง. ส่วน อตฺถิ กาโยติ นี้ เข้ากับ กายสฺมึ อีกทีหนึ่ง เช่นกัน. ทั้งหมดดูได้จากความต่างของวิภัติ และความต่างของ วา/จ ศัพท์. กาเย ในบรรพะนี้โยคเข้ากับ อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ > นิสีทติ อุชุํ (กรช)กายํ ปณิธาย > อสฺสสามิ,​ ส่วน กาย ใน กายานุปสฺสี โยคเข้ากับ ทีฆํ/​รสฺสํ กายสงฺขารํ,​ ส่วน กายสฺมึ โยค กายสงฺขารํ ใน กายานุปสฺสี อีกทีหนึ่ง. ส่วน อตฺถิ กาโยติ นี้ เข้ากับ กายสฺมึ อีกทีหนึ่ง เช่นกัน. ทั้งหมดดูได้จากความต่างของวิภัติ และความต่างของ วา/จ ศัพท์.
 +
 +----
 +ที่ว่า "​ภิกษุตามอนุปัสสนาดังกล่าวข้างต้น (อิติ) แยกกายสังขารคือลมหายใจ (กาเย) ในกองกรัชกายคืออิริยาบถนั่งของตนเองอยู่บ้าง (อชฺฌตฺตํ วา ​ กายานุปสฺสี วิหรติ)"​ เพราะ อิติ โยค ปฐมจตุกฺก ของอานาปานบรรพะ กาย ศัพท์ ก็ต้องโยค "​ลมหายใจ"​ เช่นกัน. ส่วนที่กล่าวเฉพาะอิริยาบถนั่ง เพราะตามหลักปุพฺพาปรสนฺธิด้วยอำนาจสีหวิกฺกีฬิตนัยนั้น เมื่อตอนต้นบรรพะ กล่าวว่า "​นิทฺสีทติ"​ และบรรพะถัดไปเป็นอิริยาบถบรรพะและสัมปชัญญะบรรพะ ที่ตรงกับคำขยายของ "​วิหรติ"​ ในปฏิสัมภิทามรรค,​ วิภังค์,​ และอรรถกถาของสูตรนี้,​ รวมถึงตรงกับกายคตาสติสูตรส่วนที่ต่อจาก อิติ ของทุกบรรพะ และที่มูลบาลี,​อรรถกถา,​[https://​sutta.men/?​th.r.129.105.0.0.วสีภูโต#​hl ฏีกา]ขยายการทำกายคตาสติ 14 ให้ถึงอัปปนาฌานที่เป็นวสีไว้ด้วย. ​
 +
 +ที่ว่า "​ภิกษุนั่งตามอนุปัสสนาเห็นเหตุเกิดในกายสังขารคือลมหายใจดังกล่าวข้างต้นอยู่บ้าง (สมุทยธมฺมานุปสฺสี วา กายสฺมึ วิหรติ)"​ ฏีกาขยาย สมุทยธมฺมานุปสฺสี ไว้ 2 นัย ซึ่งสมควรทั้งคู่ โดยนัยที่แปลว่า "​ผู้ตามเห็นเหตุเกิด"​ นี้กล่าวตามหลักปุพฺพาปรสนฺธิโดยสีหวิกฺกีฬิตนัย คือ เพราะได้กล่าวสมถะจนถึงวิชชา 8 ไว้ในกายคตาสติสูตรแล้ว นำ วิชชาที่ 1 และ 8 ในสูตรนั้น ซึ่งขยายไว้ในสีลักขันธวรรค มีสามัญญผลสูตรเป็นต้น แล้วมาอธิบายให้ละเอียดด้วยอำนาจขยญาณพลววิปัสสนาเป็นต้นไปไว้ในสูตรนี้. ​
 +
 +กาเย ในอุทเทส องค์ธรรม คือ กรชกาย เป็นต้น (ดูอรรถกถา),​ กาย ในกายานุปสฺสี อุทเทส องค์ธรรม คือ กาย ที่ถูกทำฆนวินิพฺโภคะ ละเอียดลงๆ จนถึง ขณะปัจจุบัน (ดู ปฏิ.สติปฏฺฐานกถา,​ วิภังค. สติปัฏฐานวิภังค์,​ อรรถกถาสูตรนี้,​ ปฏิ.อ. สัมมสนญาณนิทฺเทส และ อุทยัพพยญาณนิทเทส [บาลีเท่านั้น] รวมถึง วิสุทฺธิ.มหาฏี. อุทยัพพยญาณกถาวณฺณนา ด้วย.),​ ส่วน กาเย และ กายานุปสฺสี ในนิทเทส 14 บรรพะ ก็คือส่วนขยายของอุทเทสนั่นเอง. อรรถกถาอุทเทสตรงที่ขยายไว้โดยใช้ศัพท์ที่ปรากฎในสูตรนี้ นั่นคือ ปุพฺพาปรสนฺธิ สีหวิกฺกีฬิตนัย. ส่วนขยายอื่นๆ ก็นัยอื่นๆ (เป็นสภาคะ ฆฏนา กัน, ไม่ได้ขัดแย้งกัน). กายสฺมึ องค์ธรรมคือ ส่วนที่แยก ฆนวินิพฺโภค จาก กาเย ของบรรพะแล้ว นำมาเห็นเหตุเกิดเหตุดับต่อ เช่น ล่มหายใจ ใน ขุ.ปฏิ. [https://​sutta.men/?​th.n.45.170.. อานาปานกถา] ปฐมจตุกฺก ก็อธิบายในทำนองให้แยกออกเป็นสภาวะ ซึ่งก็ตรงกับจตุกฺกวิมุตฺต ใน วิสุทฺธิ. อานาปานกถา ที่แสดงการแยกนามรูปและการกำหนดไตรลักษณ์ไว้ ก่อนจะแสดงจตุกฺกที่ 2-4. 
 +
 +"​ส่วนสติของภิกษุนั้นที่ตั้งมั่นอยู่ว่า '​มีกายสังขารคือลมหายใจ(เป็นต้น)อยู่(ไม่มีสัตว์บุคคลใดๆ ในกรัชกายนี้)'​ ก็เพียงเพื่อให้ปัญญา(ปชานาติ)พัฒนาเป็นญาณเท่านั้น เพียงเพื่ออบรมสติให้ตั้งมั่นในอารมณ์เท่านั้น (อตฺถิ กาโยติ วา ปนสฺส สติ ปจฺจุปฏฺฐิตา โหติ ยาวเทว ญาณมตฺตาย ปฏิสฺสติมตฺตาย)"​ คือ เมื่อตามแยกสภาวะจนเหลือแต่ปรมัตถธรรมที่เกิดได้จริง โดยปัจจัย 4 โดยขณปัจจุบัน 1 ในแต่ละขันธ์ จนทำลายฆนสัญญาได้แล้ว ด้วยบทว่า "​สมุทยธมฺมานุปสฺสี วา"​ เป็นต้น ก็จะเห็นเป็นเพียงสภาวะไม่มีสัตว์บุคคลที่บังคับบัญชาได้. เมื่อเห็นขณปัจจุบัน ก็เห็นคาหะ 3 ในอุปักกิเลส 10 ได้ จึงละคาหะ 3 นั้นในวิปัสสนาจารจิตที่เพิ่งดับไปได้ ปชานาติ ก็จะกลายเป็น ญาณํ. ​ คาหะ 3 ในสูตรนี้ ทรงตรัสขยายให้ละเอียดไว้ด้วยอำนาจอุปาทานและสมุทยสัจในสัจจบรรพะแล้ว แต่ในที่นี้ยังแสดงไว้โดยย่อ จึงตรัสว่า '​ภิกษุไม่ใช้อิริยาบถ 4 ฐานะ 7 อาศัยอยู่กับตัณหาและทิฐิแล้ว และไม่มีอุปาทาน 4 ยึดติดโลกใดๆ ในโลกคือปิยรูปสาตรูป 60 ทั้งสิ้น. (อนิสฺสิโต จ วิหรติ น จ กิญฺจิ โลเก อุปาทิยติ)'​ฯ
  
 ===อิริยาปถบรรพ=== ===อิริยาปถบรรพ===
บรรทัด 120: บรรทัด 129:
  
 ===คำอธิบายผู้ปรับสำนวน=== ===คำอธิบายผู้ปรับสำนวน===
 +สำหรับท่านที่อ่านอรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตรอย่างเดียว ไม่ได้ท่องจำในระบบมุขปาฐะ อาจสงสัยในคำแปลตรงนี้ว่าทำไมจึงต่างจากอรรถกถา ข้อนั้นมีอธิบายดังนี้.-
 +
 ในกายคตาสติสูตร แสดงอิริยาบถบรรพะเป็นการฝึกฌานวสี ต่อจากบรรพะอื่นๆ มีอานาปานบรรพะและปฏิกูลมนสิการบรรพะ เป็นต้น เพราะแสดงแก่ผู้เพิ่งสนใจกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน จึงไม่มีพยัญชนะว่า "​ภิกษุตามอนุปัสสนาดังกล่าวข้างต้น แยกกายสังขารคือลมหายใจ ในกองกรัชกายคืออิริยาบถนั่งของตนเองอยู่บ้าง ... ภิกษุตามอนุปัสสนาเหตุเกิดในกายสังขารคือลมหายใจดังกล่าวข้างต้นอยู่บ้าง"​ เป็นต้น. แต่ในมหาสติปัฏฐานสูตร อรรถกถาท่านแสดงอิริยาบถบรรพะเป็นวิปัสสนา เพราะสูตรนี้ทรงแสดงแก่ผู้ทำภาวนามาก่อนแล้ว จึงให้ทำพลววิปัสสนาทั้งในอารมณ์กรรมฐานและในนามรูปที่ทำกรรมฐานในอารมณ์อยู่ ด้วยพยัญชนะว่า "​ภิกษุตามอนุปัสสนาเหตุเกิดในกายสังขารคือลมหายใจดังกล่าวข้างต้นอยู่บ้าง"​ และบทว่า "​ภิกษุไม่ใช้อิริยาบถ 4 ฐานะ 7 อาศัยอยู่กับตัณหาและทิฐิแล้ว"​ เป็นต้น. ในกายคตาสติสูตร แสดงอิริยาบถบรรพะเป็นการฝึกฌานวสี ต่อจากบรรพะอื่นๆ มีอานาปานบรรพะและปฏิกูลมนสิการบรรพะ เป็นต้น เพราะแสดงแก่ผู้เพิ่งสนใจกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน จึงไม่มีพยัญชนะว่า "​ภิกษุตามอนุปัสสนาดังกล่าวข้างต้น แยกกายสังขารคือลมหายใจ ในกองกรัชกายคืออิริยาบถนั่งของตนเองอยู่บ้าง ... ภิกษุตามอนุปัสสนาเหตุเกิดในกายสังขารคือลมหายใจดังกล่าวข้างต้นอยู่บ้าง"​ เป็นต้น. แต่ในมหาสติปัฏฐานสูตร อรรถกถาท่านแสดงอิริยาบถบรรพะเป็นวิปัสสนา เพราะสูตรนี้ทรงแสดงแก่ผู้ทำภาวนามาก่อนแล้ว จึงให้ทำพลววิปัสสนาทั้งในอารมณ์กรรมฐานและในนามรูปที่ทำกรรมฐานในอารมณ์อยู่ ด้วยพยัญชนะว่า "​ภิกษุตามอนุปัสสนาเหตุเกิดในกายสังขารคือลมหายใจดังกล่าวข้างต้นอยู่บ้าง"​ และบทว่า "​ภิกษุไม่ใช้อิริยาบถ 4 ฐานะ 7 อาศัยอยู่กับตัณหาและทิฐิแล้ว"​ เป็นต้น.
  
-ในที่นี้แปลไว้กลางๆ ใช้ได้กับทั้ง 2 สูตร เพราะครึ่งแรกของอิริยาบถและสัมปชัญญะบรรพะ ปฏิบัติแบบเดียวกันทั้ง 2 สูตรจึงใช้ร่วมกันได้ ต่างกันที่ครึ่งหลัง ตามประเภทอินทรีย์อ่อนและกล้าของผู้ฟัง.+ในที่นี้แปลไว้กลางๆ ใช้ได้กับทั้ง 2 สูตร เพราะครึ่งแรกของอิริยาบถและสัมปชัญญะบรรพะ ปฏิบัติแบบเดียวกันทั้ง 2 สูตรจึงใช้ร่วมกันได้ ต่างกันที่ครึ่งหลัง ตามประเภทอินทรีย์อ่อนและกล้าของผู้ฟัง. ฉะนั้น ผมจึงต้องแปลอย่างนั้น ไม่สามารถแปลแต่เพียงว่า "​อิริยาบถและสัมปชัญญบรรพะ คือการทำวิปัสสนาในอิริยาบถและสัมปชัญญบรรพะ"​ เพราะต้องแปลให้สอดคล้องกับพระสูตรอื่นๆ อรรถกถาอื่นๆ ด้วย โดยอาศัยวิธีการในระบบมุขปาฐะ มีเตติปกรณ์เป็นต้น ในที่อื่นๆ ก็นัยเดียวกันนี้.
  
 อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร แสดงอิริยาบถเป็นธาตุไว้ อาศัยบทในสูตรว่า "​ปรํ",​ "​ยถา ยถา วา กาโย ปณิหิโต",​ และ "​ยถา ฐิตํ ยถา ปณิหิตํ"​ โดย ในอรรถกถา ขยายโดยใช้บทว่า "​ฐิตํ"​ ร่วมด้วย. ฉะนั้น บรรพะที่ขยายอิริยาบถบรรพะ ก็คือ ธาตุบรรพะ (จตุธาตุววัตถาน) นั่นเอง. อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร แสดงอิริยาบถเป็นธาตุไว้ อาศัยบทในสูตรว่า "​ปรํ",​ "​ยถา ยถา วา กาโย ปณิหิโต",​ และ "​ยถา ฐิตํ ยถา ปณิหิตํ"​ โดย ในอรรถกถา ขยายโดยใช้บทว่า "​ฐิตํ"​ ร่วมด้วย. ฉะนั้น บรรพะที่ขยายอิริยาบถบรรพะ ก็คือ ธาตุบรรพะ (จตุธาตุววัตถาน) นั่นเอง.
บรรทัด 128: บรรทัด 139:
 ฏี-ปณิหิโตติ ยถา ยถา '''​ปจฺจเยหิ'''​ ปกาเรหิ นิหิโต ฐปิโตฯ ในที่อื่นที่แสดงสภาวะธรรมอยู่ก็เช่นกัน ให้แปลคำว่า "​อาการ"​ เป็นปัจจัยปัจจยุปบัน หรือ ปฏิจจสมุปปาทปฏิจจสมุปปันนะ ทั้งหมด. ฏี-ปณิหิโตติ ยถา ยถา '''​ปจฺจเยหิ'''​ ปกาเรหิ นิหิโต ฐปิโตฯ ในที่อื่นที่แสดงสภาวะธรรมอยู่ก็เช่นกัน ให้แปลคำว่า "​อาการ"​ เป็นปัจจัยปัจจยุปบัน หรือ ปฏิจจสมุปปาทปฏิจจสมุปปันนะ ทั้งหมด.
  
-=แต่นี้ไปยังไม่ได้ปรับสำนวน=+
 ===สัมปชัญญบรรพ=== ===สัมปชัญญบรรพ===
  
-[276]   ​ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุย่อมทำความรู้สึวใร  ​ก้าว ในารอย ​แล ในการเหลียว ​ในการคู้เข้า ในการเหยียดออกในการทรงผ้าสังฆาฏิบาตรและจีวร ​ในการัน ​ดื่ม ​การเคี้ยว ​การลิ้ม ​ในการถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ย่อมทำความรู้สึว ใเดิน ​การยืน ​การนั่งการหลับ ​การตื่น ​การพูด ​การนิ่ง ดังพรรณนฉะนี้ ภิษุอมพิจารณาเ็นกายในกายภานบ้าง ​รณเห็นกายในกายภายนอบ้าง ​รณาเห็นกายในกายายในทั้งายนอบ้าง ​รณาเห็นรมคือควาเกิดข้นในายบ้างรณาเห็นธรคือควาเสือมในายบ้าง ​รณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้ควมเสอมใกายบ้าง ​ย่อยู่ ​อีกอย่างหนึง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมอยู่ ก็เพียงสักว่าควมรู้ เพียงสักวอาศัยะลึกเท่านั้น ​เธเป็ผู้อัตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือั่นะไรๆ ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แลภิกษุชื่อว่าพิจรณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ+[276]   ​ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ​ 
 +#ภิกษุย่อมรู้(อารมณ์รรมฐาน)ชดเจอย่งชำนาญในขณะก้าว ในขณะถอย  
 +#​ย่อมรู้(อารมณ์กรรมฐาน)ชัดเจนอย่างชำนาญในขณะแล ในขณะเหลียว ​ 
 +#​ย่อมรู้(อารมณ์กรรมฐาน)ชัดเจนอย่างชำนาญในขณะคู้เข้า ในขณะเหยียดออก 
 +#​ย่อมรู้(อารมณ์กรรมฐาน)ชัดเจนอย่างชำนาญในขณะทรงผ้าสังฆาฏิบาตรและจีวร ​ 
 +#​ย่อมรู้(อารมณ์กรรมฐาน)ชดเจอย่งชำนาญในขณะกิน ขณะดื่ม ​ขณะเคี้ยว ​ขณะลิ้ม ​ 
 +#​ย่อมรู้(อารมณ์กรรมฐาน)ชัดเจนอย่างชำนาญในขณะถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ​ 
 +#ย่อมรู้(อารมณ์รรมฐาน)ชดเจอย่งชำนาญในขณะเดิน ​ขณะยืน ​ขณะนั่งขณะหลับ ​ขณะตื่น ​ขณะพูด ​ขณะนิ่ง ​ 
 + 
 +#​ภิกษุตามอนุปัสสนาดังกล่วข้งตน แยกาสังขารคืยใจ (็นต้น) ​ในกองกรัชกายคืออิริาบถ 4 ของตเองอยู่บ้าง 
 +#ภกษุตมอนุปัสสนดังกล่าวข้างต้น แยกายสังขารคือลมหายใจ (เป็ต้น) ในกองกรัชกายคืออิริาบถ 4 ของคนอื่นอยู่บ้าง ​ 
 +#ภกษุตมอุปัสสนาดังล่วข้างต้น แยกกายังขารคือลมหายใจ (เป็น) ในกอกรัชกายคืออิริยาบถ 4 ทั้งของตงและของคนอื่นอยู่บ้าง ​ 
 +#ภกษุตมอนุปัสสนาเห็นเหตุเกิดในกายสังขารคือหายใจังกล่าว้างต้นในอิริยบถ 4 อู่บ้าง ​ 
 +#ภกษุตมอนุปัสสนาเห็นเหตุดับในกายสังขารคือหายใจดังกลาวข้างต้นในอิริยบถ 4 อู่บ้าง ​ 
 +#ภกษุตมอนุปัสสนาเห็นเหตุเกิดและเหตุดับใกายสังรคือหายจดังล่วข้างต้นในิริยาบถ 4 อยู่บ้าง ​ 
 + 
 +วนสติของภิกษุนั้นที่ตั้งมั่นอยู่ว่า ​"​มีกายสังขารคือลหายใจ(เป็นต้น)อยู่(ไม่มีสัตว์บุคคลใดๆ ในกรัชกายนี้)" ​ก็เพียงเพือให้ปัญญ(ปชนาติ)พัฒนาเป็นญาณเท่านัน เพียงเพื่ออบรมติให้ตั้งมั่นในอารมณ์เท่านั้น ​ภิกษุไม่ใช้ิริยาบถ 4 ฐาะ 7 าศยอยู่กับตัณหาและทิฐิแล้ว และไม่มุปาทาน 4 ยึดติดโลกใดๆ ในโลกคือปิยรูปสาตรูป 60 ทั้งสิ้น. ​ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า ​"ตมอุปัสสนา 7 แยกกายในกองกรัชกายออกเป็นส่วนๆ ดำรงอยู่อย่างนี้ในอิริยาบถ 4 ฐานะ 7"
  
 '''​จบสัมปชัญญบรรพ'''​ '''​จบสัมปชัญญบรรพ'''​
  
 +====คำอธิบายผู้ปรับสำนวน====
 +
 +
 +=แต่นี้ไปยังไม่ได้ปรับสำนวน=
 ===ปฏิกูลมนสิการบรรพ=== ===ปฏิกูลมนสิการบรรพ===