มหาสติปัฏฐานสูตร_ฉบับปรับสำนวน

ความแตกต่าง

นี่เป็นการแสดงความแตกต่างระหว่างเพจสองรุ่น

Link to this comparison view

Both sides previous revision Previous revision
มหาสติปัฏฐานสูตร_ฉบับปรับสำนวน [2020/12/25 10:17]
dhamma [สัมปชัญญบรรพ]
มหาสติปัฏฐานสูตร_ฉบับปรับสำนวน [2020/12/25 10:23]
dhamma
บรรทัด 129: บรรทัด 129:
  
 ===คำอธิบายผู้ปรับสำนวน=== ===คำอธิบายผู้ปรับสำนวน===
 +สำหรับท่านที่อ่านอรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตรอย่างเดียว ไม่ได้ท่องจำในระบบมุขปาฐะ อาจสงสัยในคำแปลตรงนี้ว่าทำไมจึงต่างจากอรรถกถา ข้อนั้นมีอธิบายดังนี้.-
 +
 ในกายคตาสติสูตร แสดงอิริยาบถบรรพะเป็นการฝึกฌานวสี ต่อจากบรรพะอื่นๆ มีอานาปานบรรพะและปฏิกูลมนสิการบรรพะ เป็นต้น เพราะแสดงแก่ผู้เพิ่งสนใจกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน จึงไม่มีพยัญชนะว่า "​ภิกษุตามอนุปัสสนาดังกล่าวข้างต้น แยกกายสังขารคือลมหายใจ ในกองกรัชกายคืออิริยาบถนั่งของตนเองอยู่บ้าง ... ภิกษุตามอนุปัสสนาเหตุเกิดในกายสังขารคือลมหายใจดังกล่าวข้างต้นอยู่บ้าง"​ เป็นต้น. แต่ในมหาสติปัฏฐานสูตร อรรถกถาท่านแสดงอิริยาบถบรรพะเป็นวิปัสสนา เพราะสูตรนี้ทรงแสดงแก่ผู้ทำภาวนามาก่อนแล้ว จึงให้ทำพลววิปัสสนาทั้งในอารมณ์กรรมฐานและในนามรูปที่ทำกรรมฐานในอารมณ์อยู่ ด้วยพยัญชนะว่า "​ภิกษุตามอนุปัสสนาเหตุเกิดในกายสังขารคือลมหายใจดังกล่าวข้างต้นอยู่บ้าง"​ และบทว่า "​ภิกษุไม่ใช้อิริยาบถ 4 ฐานะ 7 อาศัยอยู่กับตัณหาและทิฐิแล้ว"​ เป็นต้น. ในกายคตาสติสูตร แสดงอิริยาบถบรรพะเป็นการฝึกฌานวสี ต่อจากบรรพะอื่นๆ มีอานาปานบรรพะและปฏิกูลมนสิการบรรพะ เป็นต้น เพราะแสดงแก่ผู้เพิ่งสนใจกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน จึงไม่มีพยัญชนะว่า "​ภิกษุตามอนุปัสสนาดังกล่าวข้างต้น แยกกายสังขารคือลมหายใจ ในกองกรัชกายคืออิริยาบถนั่งของตนเองอยู่บ้าง ... ภิกษุตามอนุปัสสนาเหตุเกิดในกายสังขารคือลมหายใจดังกล่าวข้างต้นอยู่บ้าง"​ เป็นต้น. แต่ในมหาสติปัฏฐานสูตร อรรถกถาท่านแสดงอิริยาบถบรรพะเป็นวิปัสสนา เพราะสูตรนี้ทรงแสดงแก่ผู้ทำภาวนามาก่อนแล้ว จึงให้ทำพลววิปัสสนาทั้งในอารมณ์กรรมฐานและในนามรูปที่ทำกรรมฐานในอารมณ์อยู่ ด้วยพยัญชนะว่า "​ภิกษุตามอนุปัสสนาเหตุเกิดในกายสังขารคือลมหายใจดังกล่าวข้างต้นอยู่บ้าง"​ และบทว่า "​ภิกษุไม่ใช้อิริยาบถ 4 ฐานะ 7 อาศัยอยู่กับตัณหาและทิฐิแล้ว"​ เป็นต้น.
  
-ในที่นี้แปลไว้กลางๆ ใช้ได้กับทั้ง 2 สูตร เพราะครึ่งแรกของอิริยาบถและสัมปชัญญะบรรพะ ปฏิบัติแบบเดียวกันทั้ง 2 สูตรจึงใช้ร่วมกันได้ ต่างกันที่ครึ่งหลัง ตามประเภทอินทรีย์อ่อนและกล้าของผู้ฟัง.+ในที่นี้แปลไว้กลางๆ ใช้ได้กับทั้ง 2 สูตร เพราะครึ่งแรกของอิริยาบถและสัมปชัญญะบรรพะ ปฏิบัติแบบเดียวกันทั้ง 2 สูตรจึงใช้ร่วมกันได้ ต่างกันที่ครึ่งหลัง ตามประเภทอินทรีย์อ่อนและกล้าของผู้ฟัง. ฉะนั้น ผมจึงต้องแปลอย่างนั้น ไม่สามารถแปลแต่เพียงว่า "​อิริยาบถและสัมปชัญญบรรพะ คือการทำวิปัสสนาในอิริยาบถและสัมปชัญญบรรพะ"​ เพราะต้องแปลให้สอดคล้องกับพระสูตรอื่นๆ อรรถกถาอื่นๆ ด้วย โดยอาศัยวิธีการในระบบมุขปาฐะ มีเตติปกรณ์เป็นต้น ในที่อื่นๆ ก็นัยเดียวกันนี้.
  
 อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร แสดงอิริยาบถเป็นธาตุไว้ อาศัยบทในสูตรว่า "​ปรํ",​ "​ยถา ยถา วา กาโย ปณิหิโต",​ และ "​ยถา ฐิตํ ยถา ปณิหิตํ"​ โดย ในอรรถกถา ขยายโดยใช้บทว่า "​ฐิตํ"​ ร่วมด้วย. ฉะนั้น บรรพะที่ขยายอิริยาบถบรรพะ ก็คือ ธาตุบรรพะ (จตุธาตุววัตถาน) นั่นเอง. อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร แสดงอิริยาบถเป็นธาตุไว้ อาศัยบทในสูตรว่า "​ปรํ",​ "​ยถา ยถา วา กาโย ปณิหิโต",​ และ "​ยถา ฐิตํ ยถา ปณิหิตํ"​ โดย ในอรรถกถา ขยายโดยใช้บทว่า "​ฐิตํ"​ ร่วมด้วย. ฉะนั้น บรรพะที่ขยายอิริยาบถบรรพะ ก็คือ ธาตุบรรพะ (จตุธาตุววัตถาน) นั่นเอง.
บรรทัด 137: บรรทัด 139:
 ฏี-ปณิหิโตติ ยถา ยถา '''​ปจฺจเยหิ'''​ ปกาเรหิ นิหิโต ฐปิโตฯ ในที่อื่นที่แสดงสภาวะธรรมอยู่ก็เช่นกัน ให้แปลคำว่า "​อาการ"​ เป็นปัจจัยปัจจยุปบัน หรือ ปฏิจจสมุปปาทปฏิจจสมุปปันนะ ทั้งหมด. ฏี-ปณิหิโตติ ยถา ยถา '''​ปจฺจเยหิ'''​ ปกาเรหิ นิหิโต ฐปิโตฯ ในที่อื่นที่แสดงสภาวะธรรมอยู่ก็เช่นกัน ให้แปลคำว่า "​อาการ"​ เป็นปัจจัยปัจจยุปบัน หรือ ปฏิจจสมุปปาทปฏิจจสมุปปันนะ ทั้งหมด.
  
-=แต่นี้ไปยังไม่ได้ปรับสำนวน=+
 ===สัมปชัญญบรรพ=== ===สัมปชัญญบรรพ===
  
บรรทัด 160: บรรทัด 162:
 '''​จบสัมปชัญญบรรพ'''​ '''​จบสัมปชัญญบรรพ'''​
  
 +====คำอธิบายผู้ปรับสำนวน====
 +
 +
 +=แต่นี้ไปยังไม่ได้ปรับสำนวน=
 ===ปฏิกูลมนสิการบรรพ=== ===ปฏิกูลมนสิการบรรพ===