ฟุตโน้ต:10:17-เสขสุตฺตํ

ความแตกต่าง

นี่เป็นการแสดงความแตกต่างระหว่างเพจสองรุ่น

Link to this comparison view

Next revision
Previous revision
ฟุตโน้ต:10:17-เสขสุตฺตํ [2020/09/13 05:57]
dhamma ถูกสร้าง
ฟุตโน้ต:10:17-เสขสุตฺตํ [2021/01/02 20:14] (ฉบับปัจจุบัน)
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
-'''​. เสขปฏิปทาสูตร'''​+'''​3. เสขปฏิปทาสูตร'''​ 
 ''​ว่าด้วยผู้มีเสขปฏิปทา''​ ''​ว่าด้วยผู้มีเสขปฏิปทา''​
  
- [๒๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:​-+[24] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:​- 
 + 
 +สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิโครธาราม เขตเมืองกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ.ก็สมัยนั้น สัณฐาคารใหม่ที่พวกเจ้าศากยะเมืองกบิลพัสดุ์ให้สร้างแล้วไม่นาน อันสมณพราหมณ์หรือมนุษย์ผู้ใดผู้หนึ่งยังมิได้เคยอยู่เลย. ครั้งนั้น พวกเจ้าศากยะเมืองกบิลพัสดุ์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอประทานพระวโรกาส สัณฐาคารใหม่อันพวกเจ้าศากยะเมืองกบิลพัสดุ์ให้สร้างแล้วไม่นาน อันสมณพราหมณ์หรือมนุษย์ผู้ใดผู้หนึ่งยังมิได้เคยอยู่เลย ขอเชิญพระผู้มีพระภาคทรงบริโภคสัณฐาคารนั้นเป็นปฐมฤกษ์ พระผู้มีพระภาคทรงบริโภคเป็นปฐมฤกษ์แล้ว พวกเจ้าศากยะเมืองกบิลพัสดุ์จักบริโภคภายหลัง ข้อนั้น พึงมีเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่พวกเจ้าศากยะเมืองกบิลพัสดุ์สิ้นกาลนาน. พระผู้มีพระภาคทรงรับด้วยดุษณีภาพ. 
 + 
 +ลำดับนั้น พวกเจ้าศากยะเมืองกบิลพัสดุ์ ทราบการรับของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลุกขึ้นจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้วเข้าไปยังสัณฐาคารใหม่ แล้วสั่งให้ปูลาดสัณฐาคารให้มีเครื่องลาดทุกแห่ง ให้แต่งตั้งอาสนะ ให้ตั้งหม้อน้ำ ให้ตามประทีปน้ำมันแล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายปูลาดสัณฐาคาร ให้มีเครื่องลาดทุกแห่ง แต่งตั้งอาสนะ ตั้งหม้อน้ำ ตามประทีปน้ำมันแล้ว บัดนี้ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงทราบกาลอันควรเถิด. 
 + 
 +[25] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวรพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จเข้าไปยังสัณฐาคาร ทรงชำระพระบาทยุคลแล้ว เสด็จเข้าไปสู่สัณฐาคาร ประทับนั่งพิงเสากลาง ทรงผินพระพักตร์ตรงทิศบูรพา. แม้ภิกษุสงฆ์ชำระเท้าแล้ว เข้าไปสู่สัณฐาคารแล้วนั่งพิงฝาด้านทิศปัศจิม ผินหน้าเฉพาะทิศบูรพาแวดล้อมพระผู้มีพระภาค. แม้พวกเจ้าศากยะเมืองกบิลพัสดุ์ ชำระพระบาทแล้ว เสด็จเข้าไปสู่สัณฐาคาร ประทับนั่งพิงฝาด้านทิศบูรพาผินพักตร์เฉพาะทิศปัศจิม แวดล้อมพระผู้มีพระภาค. 
 + 
 +ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงยังพวกเจ้าศากยะเมืองกบิลพัสดุ์ ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทานให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถาตลอดราตรีเป็นอันมาก แล้วตรัสเรียกท่านพระอานนท์มาว่าดูกรอานนท์ ปฏิปทาของเสขบุคคลจงแจ่มแจ้งกะเธอ เพื่อพวกเจ้าศากยะเมืองกบิลพัสดุ์ เถิดเราเมื่อยหลัง เราจักเหยียดหลังนั้น ท่านพระอานนท์ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคโปรดให้ปูลาดผ้าสังฆาฏิเป็น 4 ชั้น สำเร็จสีหไสยาสน์ ด้วยพระปรัสเบื้องขวา ทรงซ้อนพระบาทเหลื่อมพระบาท มีพระสติสัมปชัญญะ ทรงมนสิการสัญญาในอันเสด็จลุกขึ้น. 
 + 
 +[26] ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์เชิญท้าวมหานามศากยะมาว่า ดูกรมหานาม อริยสาวกในพระธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้ประมาณในโภชนะ ประกอบความเพียรเครื่องตื่น ประกอบด้วยสัปปุริสธรรม 7 ประการ เป็นผู้ได้ฌาน 4 อันเป็นธรรมอาศัยซึ่งจิตอันยิ่งเป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม ตามความปรารถนา เป็นผู้ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก. 
 + 
 +[27] ดูกรมหานาม อย่างไร อริยสาวกจึงจะชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล  
 + 
 +อริยสาวกในพระธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล สำรวมระวังในพระปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจรมีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย  
 + 
 +ดูกรมหานามอย่างนี้แล อริยสาวกชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล. 
 + 
 +[28] ดูกรมหานาม อย่างไร อริยสาวกจึงจะชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย 
 + 
 +อริยสาวกในพระธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษาจักขุนทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์ฟังเสียงด้วยโสตแล้ว ... ดมกลิ่นด้วยฆานะแล้ว ... ลิ้มรสด้วยชิวหาแล้ว ... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว ... รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมมนินทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษามนินทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมในมนินทรีย์  
 + 
 +ดูกรมหานาม อย่างนี้แลอริยสาวกชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย. 
 + 
 +[29] ดูกรมหานาม อย่างไร อริยสาวกจึงจะชื่อว่าเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ  
 + 
 +อริยสาวกในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้วกลืนกินอาหาร ไม่ใช่เพื่อจะเล่น เพื่อจะมัวเมาเพื่อความผ่องใส เพื่อความงดงาม เพียงเพื่อความดำรงอยู่แห่งกายนี้ เพื่อให้กายนี้เป็นไปได้เพื่อบำบัดความอยากอาหาร เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ ด้วยคิดว่า จักกำจัดเวทนาเก่าเสียด้วยจักไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้นด้วย ความเป็นไปแห่งอิริยาบถ ความเป็นผู้ไม่มีโทษ และความอยู่เป็นผาสุกจักมีแก่เรา  
 + 
 +ดูกรมหานาม อย่างนี้แล อริยสาวกชื่อว่าเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ. 
 + 
 +[30] ดูกรมหานาม อย่างไร อริยสาวกจึงจะชื่อว่าเป็นผู้ประกอบความเพียรเครื่องตื่น
  
- มัยหึ่ง ​พระผู้มีพะภาคปะทบอู่ ณ ิโครธม เขตเมือกบิลพัสดุ์ แค้นสกกะ.ก็สมัยั้น สัณฐาคารใหม่ที่พวกเจาศากยะเมืองกบิลพัุ์ให้สร้งแล้วไม่นาน อันสมณพาหณ์หรือมนุษย์ผูใดผู้หึ่งยังมด้เคอยู่ลย. ครันั้น พกเจ้าศากยะเมืองกบิพัสดุ์ เข้เฝ้ระผูมีพะภาคถึงี่ประทับ ถวยบังคมพะผู้ีพระภาแล้วปะทับนั่ง ​ณ ที่ควรส่วนขางหึ่ง.ได้กบทูลพะผู้มีพระภาคว่า พระพุทธจ้ข้า ขอปะทาพระโรกาส สัณฐาาร่อนพวกเจศากยะเมืองกบิลพัสดุ์ให้สร้างแล้วไม่นน สมณพราหมณ์หรือมนุษย์ผูใดผู้หนึ่งยิได้เคยอยู่เลย ขอเพรผู้ีพระภคทงบริโภคสัณฐคารนั้นเป็นปฐมฤษ์ พระผู้มีพระภคทรบริโภเป็นปษ์แล้ว ​พวกเจ้าศากยะเมืองกบิลพัุ์จิโภคภายหลัง ข้อนั้น พึงื่อประโยชน์เอกูล เพื่อคามสุขแ่พวกเจ้ศากยะมืองกบิลพัสุ์สนกาาน. พระผู้มีพระภาคทรรับด้วยดุษณีภาพ.+อริยาวกในพระรรมวินัยนี้ เวลกลางวันชำะจิตให้บิสุทธิกธรรมเครืงกั้นต ด้การดินกาง ากลางคืน ในฐมยม ชำระจิตใหิสุธิ์จกธรรมครกั้นจิต ​ด้วยการเดินการนั่ง เลาืน ​มัชฌิมยาม สำร็สีหไสยาสน์โยข้างเบืองขวา ​ซ้อนเท้อมเทามีสติสัมัญญะ มนสิการสัญญนที่จะลุกขึ้น เวลาางคืน ในปัจฉิยาม ลุขึ้นแล้วชำระิตให้บิสุทธิ์จธรรมเครื่อั้นจิต ด้วกาเดิน กาั่ง 
  
- ลำับนั้น พวเจ้กยะเงกบิลพัสดุ์ ทรบการรับขอพระผูมีพระภาคแล้ว ลุกขึ้นจากาสนะ ถวายบังคมพะผู้มีพระภาค ทำประทักษณแล้วเข้าไปังัณฐคารใหม่ แล้สั่งให้ปูลาดสัณฐาคารให้มีเครื่องลาดทุกแหง ให้แต่งตั้งอสนะ ให้ตั้งหม้อน้ำ ให้ตามประทีปน้ำมันแล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังมพระผู้มีพระภาคแล้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้งหนึ่ง แล้วได้กราบทูลพระผู้ีพระภาคว่า พระพุทธจ้าข้า ข้าระพุทธเจ้าทั้งหลาปูลาดสัณฐาคาร ให้มีเครื่องลาดทุกแห่ง แต่งตั้งอาสะ ตั้งหม้อน้ำ ตามประทีปน้ำมันแล้ว บัดนี้ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงทราบกาลอันควรเถิด.+รมหาม อย่างนี้แลอริยสาวกชื่อ่านผู้ประกอบความเพยรเครื่องต่น.
  
- [๒๕ลำับนั้น พะผู้ีพระภคทรงุ่งแล้ว ทรงถือบตรและจีวรพร้มด้วภิกษุสงฆ์เสด็จเข้ไปยัสัณฐาคาร ทรงชำระพระบาทยุคลแล้ว เสด็จเข้าปสู่สัณฐาคาร ะทับนั่งพงเสากลาง ทรงผินพระพักตร์ตรงทิศบูรพา. แม้ภิกษุสฆ์ำระเท้าแล้ว เข้าไปสูสัณฐาคารแล้นังพิงฝด้านทิศัศจิม ผิหน้าเฉพาะทิศบูรพาแวดล้อมพระผู้มีพระภาค. แม้พวเจ้าศากยะเมืงกิลพัสุ์ ชำระพระบาทแล้ว ​เสด็จเข้าไปสู่สัณฐาคาร ​ประทับนั่งพงฝาด้านทิศบูพาผินพักต์เฉพาะทิศัศจิม แวดล้อมพระผู้มีพะภา.+[31] ดูกรมานาม อยางไร ​ริสาจึงชว่านผู้ระกอบด้วสัปปุริสธรรม 7 ประการ คือ
  
- ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงยังพวกเจ้าศากยะเมืงกบิลพัสดุ์ ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทานให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วธรรมีกถตลอดราตรีเป็นอันมาก แล้ตรัสเรียท่านพระอานนท์มาว่าดูกรอานนท์ ปฏิปทาของเสขบุคคลจงแจ่มแจ้งกะเอ เพื่อพวกเจ้าศากยะเมืองกบิลพัสดุ์ เถิดเาเมื่อยหลัง เาจักเหยียดหลังนั้น ท่านพระอานนท์ทูลรับพระผู้ีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคโปรดให้ปูลาดผ้าสังฆาฏเป็น ๔ ช้น สำเร็จสีหไสาส์ ด้วยพระปรัสเบื้องขวา ทรงซ้อนพระบาทเหลื่อมพระบาท มพระสติสัมปชัญญะ ทรงมนสิการสัญญาในอันเสด็จลุกขึน.+อริยาวกนพระธรรมวินัยนี้
  
- [๒๖] ลำดับน นพระานนท์เชิญท้ามหานามศากยาว่า ​ดูกรานม ิยสวกในพระธรรมวินัี้ ​เป็นู้ถึงพร้อมด้วยีล ​คุมครองทารในอินทรีย์ทั้หลาย ​รู้ประมณในโภชนะ ปบควเพยรเครื่งตื่น ​ประกอบด้วสัปปุรสธรรม ๗ ประการ เป็นผู้ไ้ฌน ๔ันป็ธรรมอาศยซึ่จิตอันิ่งเป็นเครื่องอยป็นสุขในทฏฐธรรม ตมคามปรารถนา ​เป็นผู้ได้โดยไม่ยาก ่ลำบาก.+1. เป็ผูมีศรัา คือเชื่อความตรัสรู้ของพรตถคตว่า ​้เพระเหตุี้ๆ พระผู้ีพะภพระองค์นันเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ​ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เ็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งว่า เป็นศาสดาทวดาและมุษย์ทหลาย เป็นกบนแล้ว เป็นผู้จำแนพระธรรม.
  
- [๒๗] ดูกรมหานาม อย่างไร อริยสาวกจึงจะชื่อว่าเป็นผู้ถึงพมด้วยศีล อริวกในพะธรรมินัยน้ เป็นผู้มีศีล สำระวังใระาติโมข์ ​ถึงพร้อมด้วยมารยาทละโคจรมีปกติเ็นภัยในโทษเพียเล็น้อย สมาทานึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหาย ดูกมหานามอย่างี้แล อริยสชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล.+2. เป็นผู้มีหิิ คือ ลยทุจิต ​ทุจิต ​ทุจิต ล่อารถึงพร้อมแหศลธรรมอนลาก.
  
- [๒๘] ดูกรมหานาม อย่างไร อริยสาวกจึงจะชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรย์ทั้งหลายริยสาวกในพระธรรมวินยนี้ เห็นรูด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติเพอสำรวมจักขุนทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จเป็นเหตใหุศธรรมอนลามก คืออภิชฌและโมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษาจักขนทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมในักขุนทีย์ฟังเสียงด้วยโสตแล้ว ... ดมกล่นด้วยฆานะแล้ว ... ลิ้มรสด้วยชิวหาแล้ว ... ถูก้องโผฏฐัพพะด้ยกายแล้ว ... รู้แ้งธรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ไม่ถือนิมิต ​่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏบัิเพื่อำรวมมนินทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จเป็นเหตใหุศธรรมอนลามก คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารัมนินทีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมในมนินทรีย์ ดูกรมหานาม อยนี้แลริยสาวชื่อว่าเป็นผู้ค้มคองทวาในทรีย์ทั้งหลา.+3. เป็นผู้มีตตัปะ ือ สะุ้กลักาทุจริต วจีทุจริต มจริต สะุ้กลัวต่อการถึง้อห่งอกุศลธรรนลามก.
  
- [๒๙] ดูกรมหานาม อย่างไร อริยสาวกจึงจะชื่อว่าเป็น้ร้ปาณในโภชนะ อริยกในพระธรรมวินัยนี้ ​พิจารณาโยแยคายแล้วกลืนกินอาหาร ่ใช่เพื่อจะเล่น เพื่อจะมัวเมเพื่อความผ่องส ความงาม ​เพียงเพือความดำรอยู่แห่ยนี้ เพื่อห้กายนี้เป็นไปได้เพือบำบัความอยาหาร เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ ​วยคิดว่า จกกำจัดเวทนาเก่าเสียดวยจักไ่ให้เวนาใหม่เกิดขึนด้วย ความเป็ไปแห่งอิริยาถ ความเป็นผู้่มีโษ แะควมอู่็นาสุกจีแก่เรา ดูกรมาม ​อยนี้แล อริสากชื่อาเ็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ.+4. เป็นพหต ทรงธรรมที่ได้ดับแล้ว สั่งสมธรรม่ไดบแล้ว ​ธรรมเล่าใดงามใองต้น ​งามในท่ามกลาง งาในี่สุด ประกาพรหมจรรย์พรอมทั้งอรรถ พร้อมทงพัญชะบรสุทธิ์ บริบูรณ์สินเชิง ธรรมทั้งหลายเ็นนนั้น อันท่านได้บมามาก ​งจำไว้ได้สั่งสด้วยวจา ตามเพ่งวยใจ ​ทงตลอดด้วดี ด้ยควา็น.
  
- [๓๐] ดูกรมหานาม อย่างไร อริยสาวกจึงจะชื่อว่าเป็นผู้ประกอบความเพียรเครื่องตื่นริยสาวในพระธรรมวินัยนี้ เวากลางวันชำระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมเครื่องกันจิต ด้วยการเดินการนั่ง ​เวลากลางคืน ในปฐมยาม ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมรื่องกั้นจิต ด้ยการเดินการนั่ง เวลากลางคืน ในมัชฌิมยาม ​สำร็จสีหไสยาสน์โดยข้เบื้องขวา ​ซ้อนเท้าเหลื่อเท้มีสติสัมปชัญญะ มนสิารสญญาในทีจะลุกขึ้น เวลากลาคืน ในปัจฉิยาม ลกขึ้นแล้วชำระจิตห้บริสทธิ์จากธรรมเครื่องกั้นจิต ด้วยการเดิน การนั่ง ดูกรมานาม อย่างนี้แอริยสวกชื่อว่าเป็นผู้ประกอบความเพีรเครื่องตื่น.+5. เป็นผู้ปรารภความเพียร เื่อละอกุศลธรรม เื่อถึพรอมแห่งกุศลธรรม ​มีความเข้มแข็ง มีความากั่นง ่ทอดธุระในกศลธรรมั้งหลาย.
  
- [๓๑] ดูกรมหานาม อย่างไร อริยสาวกจึงชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยสัปปุรสธรรม ๗ระการ ​ือิยสาวระธรรมินัยนี้+6. เป็นผู้มีสติ คือ ​ประกอบด้วยสและัญญเครืษาตอย่างยิ่ง ​ระลึกได้ตามะลึกได้ แ้ซึ่งกจการที่ทำไว้แล้วน แม้ซึ่งถ้อยคำท่พูดไวแล้วนาน.
  
-. เป็นผู้มีศรทธา คือเชื่วามตรสรู้ของพระตถาา พระเหตุนี้ๆ พระผู้ีพระภาคพระงค์นนเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพ้อมด้วยวชชาแะจรณะ เด็จไปดีแลว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารีฝกบุรุษที่ควรฝึก ไ่มีผูอื่ยิ่งว่า เป็นศาสดาองเทวาและมนุษ์ทั้งหลาย เป็นผู้เิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม.+7. เป็นผู้มีญญา คือ ​ประกบด้ยปัญญา นเห็นความเกิดและความดับ ​อันเป็นอระ ำแกกลส ​ให้ถึควสิ้นทุกข์โดยชอบ 
  
- ๒. เป็นผิริ คือ ละอยกยทุจริต วจีทุจริต ​โนทุจริต ละอกรถึพร้อมแหอกุศลธรรมอันลมก.+กรมหาาม อย่างนีแล ​ริยสาวกชื่อว่าเป็นผู้ประอบด้วยสัปปริสธรรม ​7 ประก.
  
- ๓. เป็นผู้มีโอตัปปะ ​คือ ​สะดุ้กลัวกาจริต วจีทุจริต มโนทุจต สะดุ้งกลัต่อการถึงพร้แหงอุศลธรรอันลา.+[32] ดูกรมหานาม อย่างไร อริยสาวกจึงจะชื่อว่าเป็นผู้ได้ฌานทั้ง 4 อันเป็นธรรมอาศัยซึ่งจินยิ่ง เ็นเองู่เป็นสขในทิฏฐธรม ​ามความปถนา เป็นผูได้โดยไม่ยาำบาก ​
  
- ๔. เป็นพหูสูต ทธรรม่ได้สดับว สั่งสธรรม่ได้สดับล้ว รรมเหใดงามในเบื้องตน ในท่ามกลาง งามในทุด ​ะกาศพรหมจรรพร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนบริสุทธ์ บริบูณ์สเชิง ธรรทั้งหลายเห็นปานน้น ​อันท่านไดสดับมามาก ทรงจำไว้ได้มด้วยวาา ตามเพ่งด้วยใจ แงตดด้วยดี ด้วยคว็น.+อริยสาวกในพรธรรมวินัยนี้ สงัจากกาม สงดจากอกุศลธรรม ​รรุปฐมฌานมีิตก ​ีวิจาร มีปีติและุขเกิดแต่ิเวกอยู่ บรรลุทุติยฌน มีความผ่องใสแห่งจิในมีอุเบา มีสติสัมชัญญะ และเสวยสุขด้วยนามกายพรปีติสิ้นไป ​บรรลุตตยฌาที่พะอิยทั้งหลายสรรสริญว่า ผู้ได้ฌานน้ เป็ผู้มีอุเบกขา มติอยูเป็นุข บรรลุจตุตถฌน ไ่มีทุกข์ไม่มีสุข ​เพราะละสุขละุกข์ แับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ ​อุเบกขาเ็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่  ​
  
- ๕. เป็นผ้ปรารภความเพียร ​เพื่อละกุศลธรรม เื่อถึพร้มแหงกศลธรรม ​มีความเข้มแข็ง มีความกบั่มั่คง ​ไม่ทอดธุระในุศลธรรทั้งหลา.+มหาม ​่างนี้แล อิยสาวกชื่อว่าเป็นผู้ได้ฌานทั้ง 4 ันเป็นธรรมอาศัยซึ่งจิตอันยิ่ง ​ป็นเครื่องอยูเป็นสขในทิฏฐธรรมามความปรรถา เป็ผู้ได้โดยไม่ยาก ำบ.
  
- ๖. เป็นผู้มีสติ ​อ ประกอบด้ยสติและปัญญาเครื่องรักษาตนอย่างยิ่ง ​ระลึกได้ตามระลึกได้ ​้ซึกิจการที่ทำไ้แล้วาน ​แม้อยคที่พูดไวแล้วนาน.+[33] ดูกรมหานาม เพราะอริยสาวกเป็นผู้ถึงพร้อด้วยศลอย่างนี้ ​ุ้มครงทวารในอินทรีย์ทั้งหลายอย่างนี้ รู้จักประมาณในโภชนะอย่างนี้ ​ประกอบวามเพียรเครื่องตื่นอย่างนี้ประกอบด้วสัปปุรสธรรม 7 อยนี้ เป็นผู้ได้ฌานทั้ง 4 อันเป็นธรรมอาศัยซึ่งจิตอันยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม ​ตามความปารถนาเป็นผู้ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก อย่างนี้บัณฑึงล่วอิยสากนี้วเป็ผูมีเสขปฏิปทา ถึงพร้อมด้วยคุณธรรมซึ่งเป็นดุจฟองไข่ที่ไม่เน่าครจะชำรกกิเส ควรจะตรัสรู้ รจะบรรลุธรรมอัปลอดโปร่งจกกิเลสเครื่องประกอบไม่มีธรรมอื่ยิ่งกว่า.
  
- ๗. เปผู้มีญญา ​ือ ​ปรกอบด้วยปัญญา อันเห็นคเกและคามดับ อันเป็นอริยะ ชำแรกกิเลส ​ห้ถึงความสิ้นทุกข์โดยบ ดรมานาม อย่างนี้ล อริยสาวกชื่อว่าเป็นผู้ประกด้วยสัปปุริสธรรม ​๗ ประกร.+ดูกรมหานาม ​เปรียบเหมือฟองไข่ 8 ฟอง 10 ฟอง หรือ 12 ฟอง ฟองไข่เหล่านันแ่ไก่นอนทับ กก อบให้ได้ไออุ่นดแล้ว ถึงแม่ไก่น้นจะไม่เกิดวามปรารถนาอย่างนี้ว่าขอลูไก่เหล่านี้พึงทำลายเปลืกไข่ด้วยปลายเล็เท้าหรือด้วยจะงอยปาก อกได้โดยสะดวกเถิดดงนี้ ลูกไก่ภายในเปลือกไข่ั้นก็งทำลปลือไข่ออกไ้โดยสัสี ฉนใด ดูกรมหานามริยสาวกก็ฉนนั้นเพราะท่านเป็นผู้ถึงพร้มด้วยศีลอย่างนี้ คุ้มคองทวารในอนทรี์ทั้งหลายอย่างนีู้้จัประมาณนโภชนะอย่านี้ ประกอบความเพียรเครื่องตื่นอย่างนี้ ประกอบด้วยัปปุรสธรรม 7อย่างนี้ เป็ผู้ไ้ฌานทั้ง 4 อันเป็นธรรมอาศัซึ่งจิตันยิ่งเป็นเครื่องอย่เป็นสุขในทิฏฐธรรมมความปรารถนา ​เป็นผู้ได้โดยไ่ยาก ไม่ลำบากอย่างนี้ ​บัณฑิตจึงก่าวอริยสาวกนี้ว่าเป็นผู้มีเสขฏิปทา ถึงพด้วยคุณธรรมซึ่งเ็นดจฟองไข่ที่ไม่เน่า ควจะชำแรกกเลส ควรจะตรัสรู้ ควรจะบรรลุธรรมอันปลอดโปร่งจากกิเลสเครื่องประกอบ ไม่มีธรมอื่นยิ่งกว่า.
  
- [๓๒] ​ดูกรมหานาม ​อย่างไร ​อริยสาวกจึงจะชื่อว่าเป็ผู้ได้ฌานทั้ง ๔ อัเป็นธรรมอาศัยซึ่งตอันยิ่ง ​เป็นเื่องอยู่เป็นสุขในิฏฐรรม ตาวามรารถา เป็นผู้ได้โดยไ่ยากไลำบาก สาวกในพระธรรนัยนี้ สงัดจกกม สัดจกอกุศลธรรม ​รรลุปฐมฌนมิตก มีาร ​มีปีติแลุขเกิดแวิวกอยู่ ​รรลุทุติยฌาน มีควมผ่อใสแหงจิตในภายนมีอุเบกขา มีสตัมปชญญะ และเสวยสุขด้วยามกายเพราะปติสิ้นไป บรลติยฌนที่ระอริยทั้งหายสรรเสริญ่า ผู้ได้ฌานน้ เนผู้มีอุเบกขา มีอยเป็สุข บรรลุจตุตถฌาน ​ไม่มีทุกข์ไมมีสุข เพราะละุขละทุกข์ ​และดบโสมัสโทนัส่อๆ ไ้ มีอุเบกขเป็เหตุใหสติบิสทธ์อยู่ ​ ดูกรมหานม อย่นี้แล ​ริสาวกช่อว่าเป็นผูไดทั้ง ​๔ ันเป็นธรราศัยซึ่งจิตอัยิ่ง ​เป็นรืงอยูเป็สุในทิฏฐธรมตมคามปรารถา เปด้โดยไมาก ไลำบาก.+ดูกรมหานาม อริยสาวกนั้นอาศัยจตุตถฌาน มีุเบกขาเป็นเหตุให้สติบสุทธิ์ ไีสิ่งอื่นยิ่งกนี้อย่างเดียว ย่อมระลึกชติก่อได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึง สงชาตบ้าง ​สามชาตาง ​ี่ชาติบ้าง ห้ชาติบ้าง ​สิบชติง ย่สบชาิบ้าง สาสิบชาติบ้างส่สบชติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ​้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง ​สนชาติบ้าง ตอดังวัฏฏกัปป็นอันมาบ้าง ​ลอดวิวัฏฏัปเป็นันมาก้าง ​ลอดสังวัฏฏววัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ในภพโน้นเรมีชื่ออ่างนั้น มีโคตรย่งนั้น ​มีวพรรณอย่างน้น  ​ีอาหารอย่างน้น ​เสวยสุขเสวยทุกข์อย่งนั้นๆ ​ำหนดอายเพียงเท่านั้น ​ั้นจุติกภั้นแว ได้ไปเกิในภพโน้น ​แม้ใภพนัรากได้มีชื่อย่งนั้น ​มีโคอย่างั้น มีผิวพรรณอย่งนั้น มีอาหารอยางนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนๆ ำหนดอายุเพียงเท่านน คั้นจกภพั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ ​เธอย่อมระลึถึงาติก่อนได้เป็นอันมาก พรอมทังอการ พร้อมทั้งอทศ ด้วยประกาฉะนี้ ข้อนี้เป็นความแตกฉานแห่งฌานข้ทีึ่งองอิยสาวกนั้น เปรียบเหมือเจะเปลือกไออก ฉะนั้น.
  
- [๓๓] ​ดูกรมหานาม ​เพราะอริยสาวกเป็นผูถึงพมด้วอย่งนี้ ​คุ้มครองารในทรีย์ทัลายย่งนี้ ​รู้ปรมาณในโภชนะอย่านี้ ประกอบวามเียรเรืองตนอย่างนี้ประกอบด้วยสัปปุริสรรม ​๗ อยางนี้ เป็นผู้ไ้ฌง ๔ นเป็รมอศัซึ่งจิอันยง เป็นเครื่องอย่เ็นสุขในทฏฐธรม ​ถนเป็นผู้ได้ยไม่ยาก ไม่ลำบาก องนีบัณฑึงล่าวอริวกนาเป็นผู้มีสขฏิา ถึงพ้อมด้วยคุณธรรมซึ่งเป็นดุจฟอที่ไม่เน่าควจะชำแรกกเลส รจะตรสรู้ ควจะรรลุธรรมออดโปรจากกิเลสเครงประอบมีธรรมื่ยิ่งกว่า.+ดูกรมหานาม อริยสาวกนั้นอาศัยจตุตถฌาน มีอุเบกขาเป็นเหตุใหสติบิสุทธิ์อยู่ ไม่มสิ่งื่น่งกว่านี้อย่าเดียว เธเห็หมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดีมีผิวพรรณทรม ได้ดี ตกาก ด้วทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ลจักษุของมุษย์ ย่อมรู้ดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เ็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ ประกอบด้ยกยทุจริต วจีทุจริต ​โนทุจริต ติียนพะอริยจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือกากระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เบองหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้ถึอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุริตวจีุจิต มโนสุจิต ไม่ติเตยนพระอริยเจา เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึถือกรกระำดวยาจสัมมาทิฏฐิ ​บื้องห้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึสุคติ ​โลกสวรรค์ ดังนี้ ​อย่อม็นหมู่ัตว์กำลังจิ กำลังอุปบัติ เลว ปะณีต มีผิพรรณดี ​ีผิวพรรณทรม ได้ดี ตกยากดวยทพยษ์ันบริสุทธิ์ ล่งจัษุของมุษย์ ย่อมรูชัดซึงหมู่สัตว์ผู้เป็นไมกรรม ด้วยะกาฉะนี้ ข้อนี้ ​เป็นความแตกฉานแห่ฌาน้อที่สองของอริกนั้น เปียเหอนลูกไกจาลือกไ่ออก ฉะนั้น.
  
- ดูกรมหานาม ​เปบเหมือนฟองไข่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง ฟองไข่เหล่านั้น่ไก่นนทับ กก อบให้ได้ไออุนดแล้ว ถึแม่ไก่นั้นจะไมิดคามปรารถนาอย่านี้ว่าขลูกไก่เหล่านี้พึทำลายปลือกไข่วยปลายเล็บเ้ารือดวยอยปาก ออกได้ดยสะดกเถดดงนี้ ลูกไก่ภยในเปลืกไข่นก็คงทำลยเปลืกไข่ออกได้โดยสวัสดี ฉันใด ดูกรหานามอรยสาวกก็ฉันนัเพราะท่านเป็นผู้ถึงพร้มด้วยศีลอย่งนี้ คุ้มครองทารในอินทรีย์ทั้งหลายอย่างนีรู้จักประมาณใโภชนะอย่างนี้ ​ระกอบความเพียรเครื่องตื่นอย่างนี้ ประกอบด้วยปปุริสธรรม ๗อย่นี้ ​ป็นผู้ได้ฌานทั้ง ๔ อั็นธรรมอาศยซึ่งิตอันยิ่งป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรมตามความปรรถนา ​เป็ผูได้โดยไมก ไ่ลำบากย่านี้ บัณฑิตจึงกล่าวอริยสาวกนว่าเป็ผู้มีสขฏิปทา ถึงพ้อมด้วคุณธรรซึ่งเป็ดุจฟองข่ที่ไม่เน่า ควรจชำแรกกิลส ควรจะตรัสรู้ ควรจะบรรลุธรรมอันปลอดโปร่งจากกิเลสเครงประอบ ​มีธรรมื่ยิ่งกว่า.+ดูกรมหานาม ​วกนั้นอาศัยจตุตถฌาน ​ุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์ ​สิ่อื่นยิกว่านี้อ่างเดียว ย่อมำให้ซึ่งเจวิมุติ ปญญวิมุติอันาอสวมิได้ เพราะอาทั้งหลายสิ้นป ด้วยญญาัน่งเง นปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ​ข้อนี้เป็นความแตกฉานแห่งฌานอทีามองอริยสาวกน้น เปรบเหือลูก่เาะเปลือกไ่ออก ฉะนั้น.
  
- ดูกรมหานาม อริยสากนั้นอศัยจตุตถฌาน ​ีอุเบกขาเป็นเหตุใหสติบริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งอื่นยิ่งก่านี้อย่างเดียว ย่อมระลึกชาตก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้าติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้างสี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง ​สนชาติบ้าง ตอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ว่าในภพโน้นเรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น ​ มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้นเราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เธอย่อมรลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ ข้อนี้เป็นความแตกฉานแห่งฌานข้อที่หนึ่งของอริยสาวกนั้น เปรียบเหมือนลูกไก่เจาะเปลือกไข่ออก ฉะนั้น.+'''​ความเป็นผู้มีวิชชาแลจรณะ'''​
  
- ดูกรมหานาม อริยสาวกนั้นอาศัยจตุตถาน มีอกขาเป็นหตุให้สติบริสุทธิ์อย่ ไม่มีิ่งอ่นย่งก่านี้อย่างเดยว เธอเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดีมีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริตวจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ ดังนี้ เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยากด้วยทิพยจักษอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ ​ข้อนี้ เป็นวามแตนแห่งฌานข้อที่สองของอริยสาวกนัน เปรียบเหอนลูกก่าะเปลือกออก ฉะนั้น.+[34] ดูกรมหานาม ​แม้ข้อที่อริยสาวกเป็ผู้ถึงพร้อมด้วยศีลนี้ ก็เป็นจรณะของเธอประการหนึ่ง แม้ข้อที่อริยสาวกเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลายี้ ก็เป็นจรณะของเธอประการหนึ่ง แม้ข้อที่อริยสาวกเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ ก็เป็นจรณะของเธอประการหนึ่งแม้ข้อที่อริยสาวกเป็นผู้ประกอบความเพียรเครื่องตื่นนี้ ก็เป็นจรณะของเธอประการหนึ่ง แม้ข้อที่อริยสาวกเป็นผู้ประกอบด้วยสัปปุริสธรรม 7 ประการนี้ ก็เป็นจรณะของเธอประการหนึ่ง แม้ข้อที่อริยสาวกเป็นผู้ได้ฌานทั้ง 4 อันเป็นธรรมอาศัยซึ่งอันยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสขในทิฏฐธรรมามความปรารา เป็ผู้ได้โดยไ่ยาก ไม่ลำบากน้ ก็เป็นจรณะขธอประารหนึ่ง แม้้อที่อริยสวกระลึกชาติก่อนๆ ได้เป็นอันมาก คือระลึกได้ชาตินึ่งบ้าง สองชาิบ้าง สามชาติบ้างสี่ชาติบ้าง ​ห้าชาติบ้าง ​ิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ​้อยชาตบ้างพันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้างตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ว่าในภพโน้นเรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้นครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ​ด้ไปเกิดในภพโน้น แ้ในภพนั้น เราก็ได้มีชืออย่างนั้น ​มีโคตรอย่างนั้นมีผวพรรณอยนั้น มีาหารอยางั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่นั้นๆ มีำหนดอายุเพียงเท่านั้นครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ ​เธอย่อมระลึกถึงชติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้อาการ พร้อมทั้งอุทศ ​้วประการฉะนี้ นี้ก็เป็นิชชาของเธอประการหนึ่ง แม้ข้อที่อริยสาวกเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดีตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่าสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ ดังนี้ เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลวประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมด้วยประการฉะนี้ นี้ก็เป็นวิชชของเธอประกานึ่งแม้ข้อที่อริยสาวกทำใหแจ้งซึ่งจโตวิมุติ ซึ่งัญญาวิุติ ​หาอาสวะมิด้ ​พราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งอง ในัจจุบัน เข้าถึงยู่ นี้็เป็นวิชชาของเธปรการหึ่ง.
  
- ดูกรมหม อริยาวกนั้นอาศัยจตุตถฌาน มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งอื่นยิ่งกว่านี้อย่างเดียว ย่อมทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมติ ปัญญาวิุติอันหอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ข้อนี้เป็นควาแตกฉานแห่งฌานข้อที่สามของอริยสาวกนั้น เปรียบเหมือนลูกไก่เจาะเปลือกไข่ออก ฉะนั้น.ความเป็นผู้มีวิชชาและจรณะ+'''​คาสนังกุมาพรหม'''​
  
- [๓๔] ​ดูกรมหานาม ​แม้ข้อที่อริยสาวกเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีลนี้ ​ก็เป็นจระของเธอประการหนึ่ง แม้ข้อที่อราวกเป็นผู้คุ้มคองทวาในอินทรีย์ทั้งหลายนี้ ก็ป็นจณะของเธอประการหนึง แม้ข้อที่อริยสวกเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ ก็เป็นจรณะของเธอประการหนแม้ข้อที่อริยสาวกเป็นผู้ประกอบความเียเครื่องตื่นนี้ ก็เป็นจรณะขงเธอประการหนึ่ง แ้ข้อที่อริยสาวกเป็นผู้ประกอบด้วยสัปปุรสธรรม ๗ ประการนี้ ก็ป็นจของธอประการหนึ่ง แมข้อที่อริยสาวกเป็นผู้ได้ฌานทั้ง ๔ อันเป็นธรรมอาศัยซจิตอันยิ่ง เป็นเคื่งอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรตามความปรารถนา เป็นผู้ได้โดไม่ยาก ไม่ลำบากนี้ ก็เป็นจรณะของเธอประการหนึ่ง ​แม้ข้อที่อิยสวกรลึกชาติก่อนๆ ได้ป็นอันมาก คือระลึกได้ชาตินึ่งบ้าง สองชาิบ้าง สามชาติบ้างสี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้างพัชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้างตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ว่าในภพโน้นเรามชื่ออย่างนัน มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น ​สวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้นครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เรากได้มีชื่ออย่างั้น มีโคตรอย่างนั้นมีิวพรรณอย่างนัน มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้นครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก ​พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ​ด้วยประการฉะนี้ นี้ก็เป็นวิชชาของเธอประการหนึ่ง ​ม้ข้อที่อริยสาวกเห็นหมู่สัตว์ที่กำังุติ กำลังอุปบัติ เลว ปีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดีตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่าสัตว์เหล่านี้ปรกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต ​โนทุจริต ติเตียนพระอริยะเจา เป็นมิจฉาทิฏฐิยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสจริต มโสุจริต ไม่ติเตยนพระอริยเจา เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้าต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อเขาถึงุคติ โลกสวรรค์ ดังี้ เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์กำลังจุติ ​ำลังอปบัติ เลวประณีต ​ีผิวพรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เปปตามกรรมด้วยประารฉะนี้ นี้ก็เป็นวิชชาของเธอประการหนึงแม้ข้อที่อริยสาวกทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ซึ่งปัญญวิมุติ อันหอาสวะมิด้ เพราะอาสะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิงเอง ในปัจจุบัน เข้ถึงอยู่ นี้ก็เป็นวิชชาของเธอประการหนึ่ง.คาถาสนังกุมารพรหม+ดูกรมหานาม อริยสาวกนี้ ​บัสรรเิญว่า เป็นผู้ึงพร้อมด้วยชชาแม้เะเหตุ้เป็นผู้ึงอมด้ยจรณะแม้เพราะเหตนี้ เป็นผ้ถึงพร้อมด้วยวิชชาแลจรณะม้เพราะเหตุนี้ แม้สนังกุมรพรมก็ได้ก่าวาไว้ว่า
  
- ดูกรมหาม สาวกน้ ณฑิสรรเสริญว่า ​เป็นผู้ถึงพ้อมด้วยวิชชาแม้าะเหตุนี้ป็นผู้ถึงพร้อม้วยจรณ้เพระเหตุนี้ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะแมเพะเหตุนี้ แม้นังกมารพรหมก็ไ้กล่าวคาถาไว้ว่า+<​blockquote>​ใชุชนที่ยังังเกีวยโคตร กษัตริย์เป็นผู้ิฐสด ใหมู่ทวาและมนุษย์ ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเป็นผูระเสริฐสุด. </​blockquote>​
  
- <​blockquote>​ใชุที่ยังรังเกียจกัด้วยโคตร กษัตริ์เนผู้ระเสิฐสุด ​หมทวและมนุษย์ ​ท่านผู้ถึงพรด้วยวชชาและจรณะป็นผูประเสรสุด. ​</​blockquote>​+[35] ดูกรมหาม คาถานั้น สนังกุมาพรหมขบดีแล้ว มิใช่ขับชั่ว ​ล่าวดแล้วมิใช่ล่าวช่ว ประกอบด้วยประยชน์ มิใช่ไม่ปอบด้วยประโยช์ พระผู้มีพระภาคทงอนมัติแล้ว ลำับั้น พระผ้มีพระภาค็จลุกขึ้นแล้ว ตรัสกะท่านพรานนท์ว่า สาธุๆ อานนท์เธอได้กล่าเสขปฏปทาแก่พวกาศากยะเมืองกบลพั์ ีแล.
  
- [๓๕] ดูกรมหานาม คาถานั้น สนังกุมารพรหมขับีแลว มิใช่ขับชั่ว ​กล่าวดีแล้วมิใช่กล่วชั่ว ประกอบด้วยประโยชน์ มใช่ไม่ประกอบด้วยประโยช์ พระผูมีพระภาคทรอนุมัติแล้ว ​ลำดับนั้น ​พระผู้มีพระภคเสด็จลุกขึ้นแล้ว ตรัสกะ่านพะอานท์ว่า สาธุๆ อานนท์เธอไ้กล่าวเสขปฏิปทาแก่พวกเจ้าศากยะเมืองกบิลพัสดุ์ ดีแล.+ท่านพระอานนท์ได้กล่าวจบลงแล้ว พระาสดทรงยินดี พวกเจ้าศากยะ เมืองกบิลพัสดุ์ ​ชื่นชม ยินดี ​ภาษิตของท่านพระอานนท์ ดังนี้แล.
  
- ท่านพระอานนท์ได้กล่าวภาษิตนี้จบลงแล้ว พระศาสดาทรงยินดี พวกเจ้าศากยะ เมืองกบิลพัสดุ์ ชื่นชม ยินดี ภาษิตของท่านพระอานนท์ ดังนี้แล. +''​จบ เสขปฏิปทาสูตร ที่ ​3.''​
-  +
-''​จบ เสขปฏิปทาสูตร ที่ ​.''​+