ผมพัฒนาจากสายปริยัติมาสู่สายปฏิบัติได้อย่างไร

ความแตกต่าง

นี่เป็นการแสดงความแตกต่างระหว่างเพจสองรุ่น

ลิงค์ไปยังการเปรียบเทียบนี้

การแก้ไขก่อนหน้าทั้งสองฝั่ง การแก้ไขก่อนหน้า
การแก้ไขถัดไป
การแก้ไขก่อนหน้า
ผมพัฒนาจากสายปริยัติมาสู่สายปฏิบัติได้อย่างไร [2023/03/21 21:50] – [ทำไมวิปัสสนาเป็นได้เพียงขณิกสมาธิ?] dhammaผมพัฒนาจากสายปริยัติมาสู่สายปฏิบัติได้อย่างไร [2023/07/16 23:55] (ฉบับปัจจุบัน) – [คิดนึกเป็นวิปัสสนาหรือไม่] dhamma
บรรทัด 5: บรรทัด 5:
 '''ต่อไปจะเป็นคำอธิบายสนธิอนุสนธิของขุ.ปฏิ.ญาณกถา '''ต่อไปจะเป็นคำอธิบายสนธิอนุสนธิของขุ.ปฏิ.ญาณกถา
 ''' '''
-ในธัมมัฏฐิติญาณอุทเทสแสดงการแยกปัจจัยเพื่อเอาสภาวธรรมเป็นอารมณ์(ที่นี้ ปริคฺคห>กายารมฺมณํ ปริจฺฉิชฺช คเหตฺวา อารมฺมณํ กโรติ) แล้วใน[[sutta>th.r.45.49.0.2.ปุริมกมฺมภวสฺ,ปฏิสนฺธิ|นิทเทส]]อธิบายว่าเป็นการแยกปัจจัยออกเป็นอัทธากาล 3 ซึ่งรวมถึงคำว่า "ปุริมกมฺมภวสฺมิํ อิธ ปฏิสนฺธิยา ปจฺจยา" และ "อิธ ปฏิสนฺธิ วิญฺญาณํ" ซึ่งในอรรถกถาอธิบายสรุปว่า เห็นกรรมและกิเลสของตนที่ีกระทำอยู่ในอดีตชาติ ซึ่งตรงกับการปฏิบัติบุพเพนิวาสานุสสติญาณในปฐมยามของพระโพธิสัตว์ และตรงกับการเรียงไว้ในลำดับแรกของวิปัสสนาญาณวิชชาของวิชชา 8 ใน ที.สี.สุภสูตร. +ในธัมมัฏฐิติญาณอุทเทสแสดงการแยกปัจจัยเพื่อเอาสภาวธรรมเป็นอารมณ์(ที่นี้ ปริคฺคห>กายารมฺมณํ ปริจฺฉิชฺช คเหตฺวา อารมฺมณํ กโรติ) แล้วใน[[sutta>th.r.45.49.0.2.ปุริมกมฺมภวสฺ,ปฏิสนฺธิ|นิทเทส]]อธิบายว่าเป็นการแยกปัจจัยออกเป็นอัทธากาล 3 ซึ่งรวมถึงคำว่า "ปุริมกมฺมภวสฺมิํ อิธ ปฏิสนฺธิยา ปจฺจยา" และ "อิธ ปฏิสนฺธิ วิญฺญาณํ" ซึ่งในอรรถกถาอธิบายสรุปว่า เห็นกรรมและกิเลสของตนที่ีกระทำอยู่ในอดีตชาติ ซึ่งตรงกับการปฏิบัติบุพเพนิวาสานุสสติญาณในปฐมยามของพระโพธิสัตว์ และตรงกับการเรียงไว้ในลำดับแรกของวิปัสสนาญาณวิชชาของวิชชา 8 ใน ที.สี.[[https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=9&siri=10|สุภสูตร]]
  
 เพราะในธัมมัฏฐิติญาณมาติกาสอนแยกนามรูปแบบอัทธากาล 3 ดังอธิบายข้างต้นแล้ว มาติกาข้อถัดไปจึงสอนวิธีเอาปัจจุบันอัทธากาล 3 มาแยกจนเป็นสันตติกาล 3 สมยกาล 3 และขณะกาล 3 อรรถกถาสัมมสนญาณมาติกาจึงแสดงว่า "อทฺธาสนฺตติขณปจฺจุปฺปนฺเนสุ [[sutta>สนฺตติปจฺจุปฺปนฺนํ(th.r.104.12.0.43)]] อิธาธิปฺเปตํฯ" ในคำว่า สนฺตติขณปจฺจุปฺปนฺเนสุ คือ แยกอัทธาเป็นสันตติ แล้วแยกสันตติเป็นขณะ, ส่วนคำว่า สนฺตติปจฺจุปฺปนฺนํ อิธาธิปฺเปตํ คือ ในธัมมัฏฐิติญาณมาติกาแยกอัทธากาล 3 แล้ว ในสัมมสนญาณมาติกาจึงมาเอาปัจจุบันอัทธากาลนั้นมาแยกจนเป็นสันตติกาล เพื่อที่จะตามเห็นนามรูปขณะเกิดดับแบบปรมัตถ์ว่า "เอตฺถ จ [[sutta>ขณาทิกถาว(th.r.104.227.0.7)]] นิปฺปริยายา เสสา สปริยายาฯ". เพราะในธัมมัฏฐิติญาณมาติกาสอนแยกนามรูปแบบอัทธากาล 3 ดังอธิบายข้างต้นแล้ว มาติกาข้อถัดไปจึงสอนวิธีเอาปัจจุบันอัทธากาล 3 มาแยกจนเป็นสันตติกาล 3 สมยกาล 3 และขณะกาล 3 อรรถกถาสัมมสนญาณมาติกาจึงแสดงว่า "อทฺธาสนฺตติขณปจฺจุปฺปนฺเนสุ [[sutta>สนฺตติปจฺจุปฺปนฺนํ(th.r.104.12.0.43)]] อิธาธิปฺเปตํฯ" ในคำว่า สนฺตติขณปจฺจุปฺปนฺเนสุ คือ แยกอัทธาเป็นสันตติ แล้วแยกสันตติเป็นขณะ, ส่วนคำว่า สนฺตติปจฺจุปฺปนฺนํ อิธาธิปฺเปตํ คือ ในธัมมัฏฐิติญาณมาติกาแยกอัทธากาล 3 แล้ว ในสัมมสนญาณมาติกาจึงมาเอาปัจจุบันอัทธากาลนั้นมาแยกจนเป็นสันตติกาล เพื่อที่จะตามเห็นนามรูปขณะเกิดดับแบบปรมัตถ์ว่า "เอตฺถ จ [[sutta>ขณาทิกถาว(th.r.104.227.0.7)]] นิปฺปริยายา เสสา สปริยายาฯ".
บรรทัด 68: บรรทัด 68:
 ==กาลามสูตรที่ถูกปฏิบัติแล้วได้เมตตาฌานแบบสีมสัมเภทะ== ==กาลามสูตรที่ถูกปฏิบัติแล้วได้เมตตาฌานแบบสีมสัมเภทะ==
 ==สนทนาต้องไม่เกิดวิปปฏิสาร== ==สนทนาต้องไม่เกิดวิปปฏิสาร==
-[[ดูข้อวิปปฏิสาร]]+ดูข้อ[[#วิปปฏิสาร]]
 =ลูกศิษย์= =ลูกศิษย์=
 ==สังวรวาจา== ==สังวรวาจา==
-[[ดูข้อวิปฏิสาร]]+ดูข้อ[[#วิปฏิสาร]]
 ==องค์ของผู้โจทก์คือสิ่งที่ต้องมาคู่กับ อญฺญมญฺญวจเนน อญฺญมญฺญวุฏฺฐาปเนน เสมอ== ==องค์ของผู้โจทก์คือสิ่งที่ต้องมาคู่กับ อญฺญมญฺญวจเนน อญฺญมญฺญวุฏฺฐาปเนน เสมอ==
 บาลีเป็นสภาคะฆฏนาตามปัฏฐาน ถ้าเข้าใจถูกจะปรากฎเป็นก้อนสภาคะฆฏนา เช่น องค์ของผู้โจทก์ ถ้าผิดข้อหนึ่ง มักจะพบว่า จะผิดข้ออื่นๆ อีกหลายสิบข้อเต็มไปหมดด้วย และลามไปถึงมิจฉาวาจาในจูฬศีล และกถาวัตถุสูตรด้วย. บาลีเป็นสภาคะฆฏนาตามปัฏฐาน ถ้าเข้าใจถูกจะปรากฎเป็นก้อนสภาคะฆฏนา เช่น องค์ของผู้โจทก์ ถ้าผิดข้อหนึ่ง มักจะพบว่า จะผิดข้ออื่นๆ อีกหลายสิบข้อเต็มไปหมดด้วย และลามไปถึงมิจฉาวาจาในจูฬศีล และกถาวัตถุสูตรด้วย.
บรรทัด 85: บรรทัด 85:
 จิตในภพ 3 มีบัญญัติและปรมัตถ์เป็นอารมณ์สลับกันอย่างรวดเร็ว จิตที่มีกำลังน้อยที่สุดเจตสิกน้อยสุดอารมณ์ละเอียดกระจัดกระจายสุด คือ กามจิตภวังค์และกามจิตที่เกิดทางทวาร 6 แต่เกิดง่ายเพราะมีกรรมเป็นปัจจัยหลายอย่าง ทั้งอนันตรปัจจัย วัตถุปุเรชาตินทริยปัจจัย และกัมมปัจจัย ทำให้แม้มีปัจจัยน้อยแต่เกิดง่าย, จิตที่มีกำลังมากกว่าเจตสิกมากกว่า คือ ตทนุวัตติกมโนทวารที่มีปรมัตถ์เป็นอารมณ์ แต่เกิดยากกว่าเพราะหทยวัตถุไม่เป็นอินทริยปัจจัย เป็นความจริงว่าต่อให้ไม่อยากนอนก็ต้องนอน ไม่อยากเจ็บก็ต้องเจ็บ, จิตที่มีกำลังมากกว่าอีก คือ ตทนุวัตติกมโนทวารที่มีบัญญัติเป็นอารมณ์ แต่เกิดยากกว่า เพราะต้องประมวลอารมณ์มากกว่าจะมีบัญญัติปรากฎ เป็นความจริงว่า แม้ได้ฌานซึ่งมีบัญญัติเป็นอารมณ์ก็เสื่อมได้ถ้าเจ็บทางปัญจทวารมากๆ และถ้ายังเห็นเป็นสีปรมัตถ์อยู่ก็ไม่อาจเข้าฌานที่มีปฏิภาคนิมิตเป็นอารมณ์ได้, จิตที่มีกำลังมากกว่า คือสุทธมโนทวารที่มีกามปรมัตถ์เป็นอารมณ์ แต่จิตที่มีกำลังมากที่สุดของกามบุคคลผู้ไม่ได้อรูปฌาน คือ จิตที่มีบัญญัติเป็นอารมณ์ เพราะประมวลได้ยาก เช่น ปุถุชนทั่วไปจำเสียงปริตตารมณ์ปรมัตถ์ได้แต่จำหน้าคนสมูหบัญญัตไม่ได้ หรือ จำหน้าสีปริตตารมณ์ปรมัตถ์และอัตถบัญญัติได้แต่จำชื่อนามบัญญัติไม่ได้ หรือ กัลยาณปุถุชนจำกลิ่นปริตตารมณ์ปรมัตถ์ได้แต่จำศพอุคคหนิมิตอัตถบัญญัติไม่ได้ หรือ จำศพอุคหนิมิตอัตถบัญญัติได้แต่บังคับให้เป็นปฏิภาคนิมิตอัตถบัญญัตไม่ได้ ([[sutta>ตํตํภูตนิมิตฺตํ ภาวนาวิเสสญฺจ อุปาทาย กสิณนิมิตฺตาทิกา(th.r.147.57.0.1)]]) เป็นต้น. จิตในภพ 3 มีบัญญัติและปรมัตถ์เป็นอารมณ์สลับกันอย่างรวดเร็ว จิตที่มีกำลังน้อยที่สุดเจตสิกน้อยสุดอารมณ์ละเอียดกระจัดกระจายสุด คือ กามจิตภวังค์และกามจิตที่เกิดทางทวาร 6 แต่เกิดง่ายเพราะมีกรรมเป็นปัจจัยหลายอย่าง ทั้งอนันตรปัจจัย วัตถุปุเรชาตินทริยปัจจัย และกัมมปัจจัย ทำให้แม้มีปัจจัยน้อยแต่เกิดง่าย, จิตที่มีกำลังมากกว่าเจตสิกมากกว่า คือ ตทนุวัตติกมโนทวารที่มีปรมัตถ์เป็นอารมณ์ แต่เกิดยากกว่าเพราะหทยวัตถุไม่เป็นอินทริยปัจจัย เป็นความจริงว่าต่อให้ไม่อยากนอนก็ต้องนอน ไม่อยากเจ็บก็ต้องเจ็บ, จิตที่มีกำลังมากกว่าอีก คือ ตทนุวัตติกมโนทวารที่มีบัญญัติเป็นอารมณ์ แต่เกิดยากกว่า เพราะต้องประมวลอารมณ์มากกว่าจะมีบัญญัติปรากฎ เป็นความจริงว่า แม้ได้ฌานซึ่งมีบัญญัติเป็นอารมณ์ก็เสื่อมได้ถ้าเจ็บทางปัญจทวารมากๆ และถ้ายังเห็นเป็นสีปรมัตถ์อยู่ก็ไม่อาจเข้าฌานที่มีปฏิภาคนิมิตเป็นอารมณ์ได้, จิตที่มีกำลังมากกว่า คือสุทธมโนทวารที่มีกามปรมัตถ์เป็นอารมณ์ แต่จิตที่มีกำลังมากที่สุดของกามบุคคลผู้ไม่ได้อรูปฌาน คือ จิตที่มีบัญญัติเป็นอารมณ์ เพราะประมวลได้ยาก เช่น ปุถุชนทั่วไปจำเสียงปริตตารมณ์ปรมัตถ์ได้แต่จำหน้าคนสมูหบัญญัตไม่ได้ หรือ จำหน้าสีปริตตารมณ์ปรมัตถ์และอัตถบัญญัติได้แต่จำชื่อนามบัญญัติไม่ได้ หรือ กัลยาณปุถุชนจำกลิ่นปริตตารมณ์ปรมัตถ์ได้แต่จำศพอุคคหนิมิตอัตถบัญญัติไม่ได้ หรือ จำศพอุคหนิมิตอัตถบัญญัติได้แต่บังคับให้เป็นปฏิภาคนิมิตอัตถบัญญัตไม่ได้ ([[sutta>ตํตํภูตนิมิตฺตํ ภาวนาวิเสสญฺจ อุปาทาย กสิณนิมิตฺตาทิกา(th.r.147.57.0.1)]]) เป็นต้น.
  
-ในบัญญัติเหล่านั้น บัญญัตที่เป็นอารมณ์ของอกุศลในที.สุภสูตร เรียกว่า นิมิตและอนุพยัญชนะ ส่วนบัญญัติของกุศลที่มาแทนที่นิมิตและอนุพยัญชนะ เรียกว่า อาโลกสัญญาที่ละถีนมิทธนิวรณ์. ในอรรถกถาและฏีกาเรียกว่า อาโลกสัญญา อาโลกกสิณ ปริกัมมโอภาส(ของวิชชา 8) และวิปัสสโนภาส คือ แสงสว่างที่มีญาณ(ปัญญาที่ชำนาญ)เป็นสมุฏฐานนั่นแหละ- สโหภาสนฺติ สญาโณภาสํฯ ถินมิทฺธวิโนทนอาโลโกปิ วา โหตุ กสิณาโลโกปิ วา ปริกมฺมาโลโกปิ วา, [[sutta>อุปกฺกิเลสาโลโก วิย สพฺโพยํ อาโลโก ญาณสมุฏฺฐาโนว(th.r.137.177)]]าติฯ ที่เรียกต่างเพื่ออธิบายความแตกต่างสภาวะได้ละเอียดขึ้นโดยไม่ทำบริบทให้สับสนง่ายเมื่อทรงจำแบบมุขปาฐะ ไม่ใช่การอวดปัญญา. นัยก็ดังเช่นที่นักไวยากรณ์อธิบายจิตและวิญญาณใน[[http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=48163|อนัตตลักขณสูตร]]และอาทิตตปริยายสูตรว่าไม่เหมือนกันนั่นเอง (อ่านต่อในหัวข้อ [[#จิตกับวิญญาณต่างกันในบริบทปัญญัตติหาระเหมือนกันในบริบทเววจนหาระ]]).+ในบัญญัติเหล่านั้น บัญญัตที่เป็นอารมณ์ของอกุศลในที.[[https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=9&siri=10|สุภสูตร]] เรียกว่า นิมิตและอนุพยัญชนะ ส่วนบัญญัติของกุศลที่มาแทนที่นิมิตและอนุพยัญชนะ เรียกว่า อาโลกสัญญาที่ละถีนมิทธนิวรณ์. ในอรรถกถาและฏีกาเรียกว่า อาโลกสัญญา อาโลกกสิณ ปริกัมมโอภาส(ของวิชชา 8) และวิปัสสโนภาส คือ แสงสว่างที่มีญาณ(ปัญญาที่ชำนาญ)เป็นสมุฏฐานนั่นแหละ- สโหภาสนฺติ สญาโณภาสํฯ ถินมิทฺธวิโนทนอาโลโกปิ วา โหตุ กสิณาโลโกปิ วา ปริกมฺมาโลโกปิ วา, [[sutta>อุปกฺกิเลสาโลโก วิย สพฺโพยํ อาโลโก ญาณสมุฏฺฐาโนว(th.r.137.177)]]าติฯ ที่เรียกต่างเพื่ออธิบายความแตกต่างสภาวะได้ละเอียดขึ้นโดยไม่ทำบริบทให้สับสนง่ายเมื่อทรงจำแบบมุขปาฐะ ไม่ใช่การอวดปัญญา. นัยก็ดังเช่นที่นักไวยากรณ์อธิบายจิตและวิญญาณใน[[http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=48163|อนัตตลักขณสูตร]]และอาทิตตปริยายสูตรว่าไม่เหมือนกันนั่นเอง (อ่านต่อในหัวข้อ [[#จิตกับวิญญาณต่างกันในบริบทปัญญัตติหาระเหมือนกันในบริบทเววจนหาระ]]).
  
-สมถะกรรมฐานทุกกองมีอุคคหนิมิตที่มาทดแทนนิมิตและอนุพยัญชนะ (กามคุณ 5) ดังนั้นใน ที.สี.สุภสูตรท่านจึงแสดงอินทริยสังวรไว้ในสมาธิขันธ์ว่า [[sutta>น นิมิตฺตคฺคาหี โหติ นานุพฺยญฺชนคฺคาหี(th.r.6.188.0.17)]] กรรมฐานทุกกองแยกสภาวะแล้วถือเอา (ปริคฺคห) โดยสมถะแยกแล้วถือเอาที่แยกเป็นก้อนรวมๆ เพื่อถือเอาบัญญัติที่ไม่ใช่กามคุณ 5 ส่วนวิปัสสนาแยกแล้วถือเอาเป็นสภาวะแต่ละอย่างๆ ที่แม้เป็นกามคุณ 5 แต่มีไตรลักษณ์บัญญัตซึ่งเป็นเหตุแห่งอนิมิตตวิโมกข์ ดังท่านกล่าวไว้ว่า [[sutta>กายปริคฺคาหิกนฺติ วุตฺเต สมโถ กถิโต โหติ, กายารมฺมณนฺติ วุตฺเต วิปสฺสนาฯ(th.r.72.102)]] หมายความว่า กรรมฐานทุกกองมีทั้งบัญญัตและปรมัตถ์เป็นอุคคหนิมิต แต่จิตถือเอากรรมฐานบัญญัต (ปฏิภาคนิมิตหรือกรรมฐานนิมิตนั้นๆ) เมื่อทำสมถะทุกกองจนถึงอุปจารสมาธิ โดยกรรมฐานที่ไม่ถึงอัปปนาทุกกองแม้แต่พุทธานุสสติก็มีกามคุณเป็นอารมณ์ด้วยอำนาจปัจจัยปัจจยุปบันที่ถูกพิจารณาในสมถะกองนั้นๆ เหตุนี้แม้เมื่อจิตของผู้ภาวนาพุทธานุสสติชำนาญจนเห็นอุคคหนิมิตบัญญัติแล้วก็ออกจากกามคุณที่เป็นอารมณ์ไม่ได้ จึงหยุดอยู่แค่อุปจารสมาธิที่มีปริกัมมโอภาสคืออาโลกสัญญาที่เป็นปฏิปักข์ของถีนมิทธะนิวรณ์เป็นอารมณ์สลับกับอารมณ์ภาวนาที่เป็นปรมัตถ์ ส่วนพลวิปัสสนานั้นไม่อาจเป็นอุปจาระได้ เพราะไม่สามารถมีอารมณ์เดียวกับอัปปนาของตนคือนิพพานได้ด้วย ไม่มีอนุสัยเกิดอยู่ให้ข่มด้วย ทั้งยังมีกามคุณเป็นอารมณ์คู่ไปด้วย และกรรมฐานทุกกองมีปริกัมมโอภาสคืออาโลกสัญญาปรากฎเมื่อสามารถข่มนิวรณ์ได้ด้วยขณิกสมาธิหรือตรุณวิปัสสนาสมาธิอย่างใดอย่างหนึ่ง. +สมถะกรรมฐานทุกกองมีอุคคหนิมิตที่มาทดแทนนิมิตและอนุพยัญชนะ (กามคุณ 5) ดังนั้นใน ที.สี.[[https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=9&siri=10|สุภสูตร]]ท่านจึงแสดงอินทริยสังวรไว้ในสมาธิขันธ์ว่า [[sutta>น นิมิตฺตคฺคาหี โหติ นานุพฺยญฺชนคฺคาหี(th.r.6.188.0.17)]] กรรมฐานทุกกองแยกสภาวะแล้วถือเอา (ปริคฺคห) โดยสมถะแยกแล้วถือเอาที่แยกเป็นก้อนรวมๆ เพื่อถือเอาบัญญัติที่ไม่ใช่กามคุณ 5 ส่วนวิปัสสนาแยกแล้วถือเอาเป็นสภาวะแต่ละอย่างๆ ที่แม้เป็นกามคุณ 5 แต่มีไตรลักษณ์บัญญัตซึ่งเป็นเหตุแห่งอนิมิตตวิโมกข์ ดังท่านกล่าวไว้ว่า [[sutta>กายปริคฺคาหิกนฺติ วุตฺเต สมโถ กถิโต โหติ, กายารมฺมณนฺติ วุตฺเต วิปสฺสนาฯ(th.r.72.102)]] หมายความว่า กรรมฐานทุกกองมีทั้งบัญญัตและปรมัตถ์เป็นอุคคหนิมิต แต่จิตถือเอากรรมฐานบัญญัต (ปฏิภาคนิมิตหรือกรรมฐานนิมิตนั้นๆ) เมื่อทำสมถะทุกกองจนถึงอุปจารสมาธิ โดยกรรมฐานที่ไม่ถึงอัปปนาทุกกองแม้แต่พุทธานุสสติก็มีกามคุณเป็นอารมณ์ด้วยอำนาจปัจจัยปัจจยุปบันที่ถูกพิจารณาในสมถะกองนั้นๆ เหตุนี้แม้เมื่อจิตของผู้ภาวนาพุทธานุสสติชำนาญจนเห็นอุคคหนิมิตบัญญัติแล้วก็ออกจากกามคุณที่เป็นอารมณ์ไม่ได้ จึงหยุดอยู่แค่อุปจารสมาธิที่มีปริกัมมโอภาสคืออาโลกสัญญาที่เป็นปฏิปักข์ของถีนมิทธะนิวรณ์เป็นอารมณ์สลับกับอารมณ์ภาวนาที่เป็นปรมัตถ์ ส่วนพลวิปัสสนานั้นไม่อาจเป็นอุปจาระได้ เพราะไม่สามารถมีอารมณ์เดียวกับอัปปนาของตนคือนิพพานได้ด้วย ไม่มีอนุสัยเกิดอยู่ให้ข่มด้วย ทั้งยังมีกามคุณเป็นอารมณ์คู่ไปด้วย และกรรมฐานทุกกองมีปริกัมมโอภาสคืออาโลกสัญญาปรากฎเมื่อสามารถข่มนิวรณ์ได้ด้วยขณิกสมาธิหรือตรุณวิปัสสนาสมาธิอย่างใดอย่างหนึ่ง. 
  
 ผู้ปฏิบัติชอบทั้งหลายอธิบายปริกัมมโอภาสว่า จำมาจากสีของจิตตชรูปของจิตที่มีกำลัง สว่างเจิดจ้าแม้ในที่มืด. ผู้ปฏิบัติชอบทั้งหลายอธิบายปริกัมมโอภาสว่า จำมาจากสีของจิตตชรูปของจิตที่มีกำลัง สว่างเจิดจ้าแม้ในที่มืด.
บรรทัด 112: บรรทัด 112:
 =ภาวนา= =ภาวนา=
 ==สีล== ==สีล==
 +โอวาท[[sutta>ปาติโมกฺขํ(th.r.7.42.0.1)]] > สามัญญผลสูตร (ซึ่งถูกตกเลขไว้ในวรรคแรกของโกสลสังยุต) ซึ่งอธิบายโดยพระอานนท์ด้วย ที.สี. [[https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=9&siri=10|สุภสูตร]] > ซึ่งต้องแทงตลอดพรหมชาลสูตรก่อน จึงจะบริสุทธิ์ ไม่งั้นจะกลายเป็น  ที.ม. [[https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=10&siri=2|มหานิทานสูตร]] > ซึ่งการละคลายทิฏฐิตามสองสูตรนั้น เริ่มด้วยญาณปัญจกนิทเทส ตามลำดับ ดูลิงก์อธิบายหัวข้อ [[#ปรมัตถ์]] >  5 ญาณนี้ มาสิ้นสุดที่ [[sutta>ธมฺมนานตฺตญาณ(th.r.45.82.0.2)]] ซึ่งก็คือ [[sutta>เจตนากรณียสุตฺตํ(th.r.26.3.0.1)]] > ซึ่งสูตรย่อๆ ของทุกแห่งข้างต้นก็มีลำดับตาม ที.สี. [[https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=9&siri=10|สุภสูตร]] ที่ขยายเป็นลำดับสมถะกรรมฐาน ตาม ม.อุ. [[https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=14&siri=19|กายคตาสติสูตร]] และวิปัสสนากรรมฐาน ที.ม.มหาสติปัฏฐานสูตรว่า [[sutta>สมุทยวยธมฺมานุปสฺสี(th.r.7.232)]] นั่นเอง.
 ===วิปปฏิสาร=== ===วิปปฏิสาร===
 +(ตัวอย่าง สนธิอนุสนธิของสูตรติดๆกัน ในสังยุตตนิกาย, สนธิอนุสนธิของการให้กรรมฐาน)
 +
 +วจีทุจจริต คือ จิตตุปบาทที่ยึดมั่นผิดบ่อยๆ จากที่เกิดดับจริงๆ ที่ล่วงออกมาทางวาจา
 +
 +วิปปฏิสาร คือ วจีทุจจริตนั่นแหละที่เกิดสลับกับโทสธรรมและโมหะธรรม คือ อุทธัจจะกุกกุจจะ เดือดร้อนใจในวจีสุจจริตที่ไม่ได้ทำไว้ และวจีทุจจริตที่ทำไว้ (สูตรที่ 2 ที่ขยายเป็นสูตรที่ 8 และสูตรอื่นๆ ในวรรค [การให้สูตรกรรมฐานอยู่ที่ว่า ผู้รับกรรมฐานกำลังมนสิการอะไรมาก และรับกรรมฐานอะไรมาก่อน])
 +
 +[[sutta>ตจสารํ,วิปฺปฏิปชฺชนฺติ,อติสารํ(th.r.12.73.5.1)
 +]] โดยให้ท่องจำอย่างน้อยตั้งแต่สูตรที่ 1 ถึง 7 ของวรรคแรกของ 
 +[[https://84000.org/tipitaka/read/?index_mcu15#SecA_1_2|โกสลสังยุต]]
 +
 +ขนฺธวคฺค,ปาฬิ 98 ปณฺเณ [[sutta>วิปฺปฏิสาโร(th.r.14.98)]]
 +
 +ซึ่งจากสูตรทั้งหลายใน[[https://84000.org/tipitaka/read/?index_mcu15#SecA_1_2|โกสลสังยุต]]นี้ จะเห็นว่า ไม่ว่าผู้แนะนำจะมีจิตอย่างไรก็ตาม, ผู้รับฟังก็ต้องรักษากุศลจิตในขณะฟังให้ได้ เพราะวิปปฏิสารไม่ได้เกิดจากผู้แนะนำ แต่เป็นธรรมในภายในที่ผู้ฟังปล่อยให้เกิดขึ้นในตนเอง. ไม่งั้น เกิดผู้แนะนำเป็นพระอริยะเจ้า แล้วผู้ฟังคุมจิตไม่ได้ เกิดวิปปฏิสารพ่นวาจาเถียงกลับ เพราะยึดมั่นถือมั่นตรงกันข้ามกับพระอริยเจ้า ผู้ฟังก็ได้อริยุปวาทะเป็นอานิสงส์ ขุดหลุมฝังตนเอง ดุจขุยไผ่ทำร้ายไผ่.
 +
 +
 +
 +
 ==สมถะ== ==สมถะ==
 ==วิปัสสนา== ==วิปัสสนา==
 ===ทำไมวิปัสสนาเป็นได้เพียงขณิกสมาธิ?=== ===ทำไมวิปัสสนาเป็นได้เพียงขณิกสมาธิ?===
  
-1. อัตถปฏิสัมภิทา ต้องแทงตลอดว่า "วิปัสสนาสูงสุด คือ [[sutta>สิขาปฺปตฺตา(th.r.151.276)]] (วิปัสสนาที่ถึงขั้นสูงสุดแล้ว พัฒนายังไงก็ไม่เกินไปกว่านี้, ภังคญาณเป็นต้นไปจนถึงสัจจานุโลมิกญาณ) เท่านั้น" ซึ่งตั้งแต่ภังคญาณเป็นต้นไปก็เป็นการทำพลววิปัสสนาสมาธิ คือการทำสมาธิโดยใช้วิปัสสนากรรมฐาน อันมีขันธ์เป็นปรมัตถ์อารมณ์ มีไตรลักษณ์เป็นนิมิตบัญญัต จิตต้องรู้สลับกัน จึงเป็นขณิกสมาธิ (ดู [[sutta>วิปสฺสนาสมาธิ(th.r.84.172.1.0)#hl]], สนธิของ ขุ.ปฏิ.อุทฺเทโส [[sutta>อุทยพฺพยานุปสฺสเน ญาณํ,วิปสฺสเน ญาณํ(th.r.45.1)]], และ [[sutta>วิปสฺสนาสมาธิ(th.r.104.117)]]), +1. อัตถปฏิสัมภิทา ต้องแทงตลอดว่า "วิปัสสนาสูงสุด คือ [[sutta>สิขาปฺปตฺตา(th.r.151.276)]] (วิปัสสนาที่ถึงขั้นสูงสุดแล้ว พัฒนายังไงก็ไม่เกินไปกว่านี้, ภังคญาณเป็นต้นไปจนถึงสัจจานุโลมิกญาณ) เท่านั้น" ซึ่งตั้งแต่ภังคญาณเป็นต้นไปก็เป็นการทำพลววิปัสสนาสมาธิ คือการทำสมาธิโดยใช้วิปัสสนากรรมฐาน อันมีขันธ์เป็นปรมัตถ์อารมณ์ มีไตรลักษณ์เป็นนิมิตบัญญัต จิตต้องรู้สลับกัน จึงเป็นขณิกสมาธิ (ดู [[sutta>วิปสฺสนาสมาธิ(th.r.84.172.1.0)]], สนธิของ ขุ.ปฏิ.อุทฺเทโส [[sutta>อุทยพฺพยานุปสฺสเน ญาณํ,วิปสฺสเน ญาณํ(th.r.45.1)]], และ [[sutta>วิปสฺสนาสมาธิ(th.r.104.117)]]), 
  
-ทั้งอนุสัยกิเลสที่พลววิปัสสนาจะต้องละ ก็ไม่สามารถเกิดในระหว่างพลววิปัสสนาได้ด้วย คือ เมื่ออนุสัยเกิด วิปัสสนาก็ตกไปไม่มีพลัง ไม่เป็นมัคคภาวนา เริ่มใหม่ไม่ใช่สิขปปัตตะ เป็นแค่จิตที่ไม่ได้ฝึกละนิวรณ์ คือ ไม่มีแม้กระทั่งอธิจิตตสิกขานั่นเอง,+ทั้งอนุสัยกิเลสที่พลววิปัสสนาจะต้องละ ก็ไม่สามารถเกิดในระหว่างพลววิปัสสนาได้ด้วย คือ เมื่ออนุสัยเกิดเป็นปริยุฏฐาน วิปัสสนาก็ตกไปไม่มีพลัง ไม่เป็นมัคคภาวนา เริ่มใหม่ไม่ใช่สิขปปัตตะ เป็นแค่จิตที่ไม่ได้ฝึกละนิวรณ์ คือ ไม่มีแม้กระทั่งอธิจิตตสิกขานั่นเอง (ดูสนธิอนุสนธิของของวิสุทธิ. อุทยัพพยญาณกถา, มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธินิทเทส, และภังคญาณกถา คือ บทก่อนและหลังของ[[sutta>สิขาปฺปตฺตา(th.r.151.276)]] เป็นต้น จึงจะเข้าใจ),
  
-และวิปัสสนาเอง ไม่สามารถมีนิพพานเป็นอารมณ์ได้ จึงไม่สามารถยังอุปจารสมาธิให้เกิดได้ ต้องรอมัคควิถีอันใกล้ต่ออัปปนาฌานจริงๆ เท่านั้น, ฉะนั้นจึงเป็นได้แค่ขณิกสมาธิเท่านั้น.+และพลววิปัสสนาเอง ไม่สามารถมีนิพพานเป็นอารมณ์ได้ มีได้แค่[[sutta>วิปสฺสนา(th.r.107.388)|ไตรลักษณ์บัญญัต]]  จึงไม่สามารถยังอุปจารสมาธิให้เกิดได้ ต้องรอมัคควิถีอันใกล้ต่ออัปปนาฌานจริงๆ เท่านั้น, ฉะนั้นจึงเป็นได้แค่ขณิกสมาธิเท่านั้น.
  
-จะเห็นได้ว่า เมื่อจริยานานตตญาณ แยกอัญญาณจริยาแล้วก็ไม่พบปริยุฏฐานกิเลสให้ละไว้ข่มไว้ แบบตอนอุปจาระของสมถกัมมัฏฐาน เนื่องจากปริยุฏฐานกิเลสได้ถูกอธิจิตตสิกขาข่มไว้ดีแล้ว ด้วยโลกิยฌาน และพลววิปัสสนาสมาธิ, เมื่อจริยานานัตตญาณแยกความต่างของญาณจริยา คือ พลววิปัสสนาวิถีแล้ว ก็หาความเป็นอุปจาระไม่ได้ เนื่องจากแม้ทำจบทุกขั้นตอนก็ยังไปได้แค่ขณิกสมาธิ ไม่ถึงมัคคอัปปนา ทั้งโดยอารมณ์ โดยการละ และโดยกำลังของจิตตุปบาท, และเมื่อโคจรนานัตตญาณแยกความต่างของพลววิปัสสนาแล้ว ก็หาความเป็นนิมิตอันใกล้ต่ออัปปนาไม่ได้,+จะเห็นได้ว่า เมื่อ[[sutta>จริยานานตตญาณ(th.r.45.77.0.4)]] แยกอัญญาณจริยาแล้วก็ไม่พบปริยุฏฐานกิเลสให้ละไว้ข่มไว้ แบบตอนอุปจาระของสมถกัมมัฏฐาน เนื่องจากปริยุฏฐานกิเลสได้ถูกอธิจิตตสิกขาข่มไว้ดีแล้ว ด้วยโลกิยฌาน และพลววิปัสสนาสมาธิ, เมื่อจริยานานัตตญาณแยกความต่างของญาณจริยา คือ พลววิปัสสนาวิถีแล้ว ก็หาความเป็นอุปจาระไม่ได้ เนื่องจากแม้ทำจบทุกขั้นตอนก็ยังไปได้แค่ขณิกสมาธิ ไม่ถึงมัคคอัปปนา ทั้งโดยอารมณ์ โดยการละ และโดยกำลังของจิตตุปบาท, และเมื่อโคจรนานัตตญาณแยกความต่างของพลววิปัสสนาแล้ว ก็หาความเป็นนิมิตอันใกล้ต่ออัปปนาไม่ได้,
  
-โดยองค์ทั้งหมดนี้ อัตถปฏิสัมภิทาก็แทงตลอดสภาวะได้ว่า "วิปัสสนายากกว่าสมถะ เพราะความละเอียดของพหิธาคือโคจรที่ละเอียด [โคจรนานัตตะ] ระดับขณะนามรูปในภพ 3 [ภูมินานัตตะ], และเพราะความละเอียดของกิเลสที่ต้องละเอียดเป็นขณะนามรูปที่ยังไม่เกิด [อปริยุฏฺฐิโต] และกำลังจะไม่เกิดอีกต่อไป [อนุสัย], และเพราะความละเอียดของนิมิต คือ ระดับอนิมิต [นิพพาน] ที่ไม่สามารถปรากฎกับตัววิปัสสนาจารจิตเองได้".+โดยองค์ทั้งหมดนี้ อัตถปฏิสัมภิทาก็แทงตลอดสภาวะได้ว่า "วิปัสสนายากกว่าสมถะ เพราะความละเอียดของพหิธาคือโคจรที่ละเอียด [โคจรนานัตตะ] ระดับขณะนามรูปในภพ 3 [ภูมินานัตตะ], และเพราะความละเอียดของกิเลสที่ต้องละเอียดเป็นขณะนามรูปที่ยังไม่เกิด [อปริยุฏฺฐิโต] และกำลังจะไม่เกิดอีกต่อไป [อนุสัย], และเพราะความละเอียดของนิมิต คือ ระดับอนิมิต [นิพพาน] ที่ไม่สามารถปรากฎกับตัววิปัสสนาจารจิตเองได้" (อันนี้คือสนธิของปัญจกญาณนิทเทส).
  
-2. เมื่อรู้เห็นตามเป็นจริงว่า วิปัสสนายากกว่าสมถะ ก็ไม่หลงผิดว่า "สมถะยากกว่าวิปัสสนา" ก็จะสามารถละคลายความยึดมั่นถือมั่นว่า "ไม่มีผู้ได้ฌาน ไม่มีพระอริยเจ้า ไม่มีฉฬภิญโญ ไม่มีปฏิสัมภิทัปปัตโต" ที่กลุ้มรุมอยู่เพราะยึดมั่นถือมั่นอรรถกถาพระวินัย ที่จิตของปุถุชนอ่านมาผิดเพี้ยนไป จากนามรูปที่เกิดดับได้จริง [และบางทีก็อาจจะเพราะความไม่รู้ของพระเสกขะผู้ทำอริยุปวาทะและเจโตขีละ (อันนี้ผมว่ายาก แต่โดยหลักฐานแล้วกรณีนี้ก็มีอยู่อย่างน้อย 2 ที่)].+2. เมื่อรู้เห็นตามเป็นจริงว่า วิปัสสนายากกว่าสมถะ ก็ไม่หลงผิดว่า "สมถะยากกว่าวิปัสสนา" ก็จะสามารถละคลายความยึดมั่นถือมั่นว่า "ไม่มีผู้ได้ฌาน ไม่มีพระอริยเจ้า ไม่มีฉฬภิญโญ ไม่มีปฏิสัมภิทัปปัตโต" ที่กลุ้มรุมอยู่เพราะยึดมั่นถือมั่นอรรถกถาพระวินัย ที่จิตของปุถุชนอ่านมาผิดเพี้ยนไป จากนามรูปที่เกิดดับได้จริง [และบางทีก็อาจจะเพราะความไม่รู้ของพระเสกขะผู้ทำอริยุปวาทะและเจโตขีละ (อันนี้ผมว่ายาก แต่โดยหลักฐานแล้วกรณีนี้ก็มีอยู่อย่างน้อย 2 ที่)] (ดู[[https://docs.google.com/document/d/1SgDMW-Wn1L_y4P-hjfrfeKg2xrOyrXY4rMgROkUJNkk/edit#|วินิจฉัยเรื่องอายุพระศาสนาที่นี่]]).
  
-3. ต่อแต่นั้น ธัมมปฏิสัมภิทา จึงจะแทงตลอดบาลีพร้อมทั้งอรรถกถาทั้งหมด ได้ตรงตามสนธิอนุสนธิจริงๆ จึงจะเห็นว่า มีปาฐะตกหล่นไปจากจิตของผู้อ่านมากมายเวลาใช้ปัญจทวารอันทุรพลรับเอาปริตธรรมอันกระจัดกระจายที่บัญญัติเรียกกันว่าพระไตรปิฎก อรรถกถา กระจายมากระทบตาบ้าง กระทบหูบ้าง เช่น ใน[[sutta>เทสนาหารวิภงฺโค(th.r.46.5.0.5)]]ว่า "ตณฺหาจริโต มนฺโท สตินฺทฺริเยน ทุกฺขาย ปฏิปทาย ทนฺธาภิญฺญาย นิยฺยาติ สติปฏฺฐาเนหิ นิสฺสเยหิฯ ตณฺหาจริโต อุทตฺโต สมาธินฺทฺริเยน ทุกฺขาย ปฏิปทาย ขิปฺปาภิญฺญาย นิยฺยาติ ฌาเนหิ นิสฺสเยหิฯ" จิตของผู้ไม่ทรงจำพระสูตรบาลีจะคิดบทว่า "สติปฏฺฐาเนหิ" ตกหล่นผิดเพี้ยนไปเหลือแค่ "มหาสติปฏฺฐานสุตฺเตหิ" ทั้งที่จริงๆ โดยข้อความมาในส่วนของสีหวิกกีฬิตนัยของวิภังค์จึงต้องมีลำดับสภาวะครบถ้วนตลอดสายตามหลักการบรรลือของราชสีห์ ดังนั้น "สติปฏฺฐาเนหิ" ต้องเป็น "สุภสุตฺเตหิ กายคตาสติสุตฺเตหิ มหาสติปฏฺฐานสุตฺเตหิ จ" เป็นต้น คือ ต้องรวบเอาสูตรที่แสดงลำดับมาครบตั้งแต่ต้นจนจบจึงจะได้ความว่า 'โดยลำดับสภาวะแล้ว คนที่กิเลสมากสุด ทั้งยังไม่มีธัมมสภาวะปฏิเวธะ จำเป็นต้องทำตามสุภสูตรครบทุกลำดับ ไล่ไปตั้งแต่อธิศีลทุกอย่างเพื่อให้ได้อินทริยสังวรในทุกอิริยาบถอันเป็นอธิจิตตสิกขา จนกว่าจะปิดทวาร 6 สมบูรณ์เแ็นอุปจาระหรือเป็น ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ เป็นต้น ซึ่งอธิจิตตสิกขาในสุภสูตรนั้น ก็ขยายออกมาเป็นกายคตาสติสูตรนั่นเอง ตามหลักสีหวิกกีฬิตนัยยังไม่ใช่มหาสติปัฏฐานสูตรก่อน'+3. ต่อแต่นั้น ธัมมปฏิสัมภิทา จึงจะแทงตลอดบาลีพร้อมทั้งอรรถกถาทั้งหมด ได้ตรงตามสนธิอนุสนธิจริงๆ จึงจะเห็นว่า มีปาฐะตกหล่นไปจากจิตของผู้อ่านมากมายเวลาใช้ปัญจทวารอันทุรพลรับเอาปริตธรรมอันกระจัดกระจายที่บัญญัติเรียกกันว่าพระไตรปิฎก อรรถกถา กระจายมากระทบตาบ้าง กระทบหูบ้าง เช่น ใน[[sutta>เทสนาหารวิภงฺโค(th.r.46.5.0.5)]]ว่า "ตณฺหาจริโต มนฺโท สตินฺทฺริเยน ทุกฺขาย ปฏิปทาย ทนฺธาภิญฺญาย นิยฺยาติ สติปฏฺฐาเนหิ นิสฺสเยหิฯ ตณฺหาจริโต อุทตฺโต สมาธินฺทฺริเยน ทุกฺขาย ปฏิปทาย ขิปฺปาภิญฺญาย นิยฺยาติ ฌาเนหิ นิสฺสเยหิฯ" จิตของผู้ไม่ทรงจำพระสูตรบาลีจะคิดบทว่า "สติปฏฺฐาเนหิ" ตกหล่นผิดเพี้ยนไปเหลือแค่ "มหาสติปฏฺฐานสุตฺเตหิ" ทั้งที่จริงๆ โดยข้อความมาในส่วนของสีหวิกกีฬิตนัยของวิภังค์จึงต้องมีลำดับสภาวะครบถ้วนตลอดสายตามหลักการบรรลือของราชสีห์ ดังนั้น "สติปฏฺฐาเนหิ" ต้องเป็น "สุภสุตฺเตหิ กายคตาสติสุตฺเตหิ มหาสติปฏฺฐานสุตฺเตหิ จ" เป็นต้น คือ ต้องรวบเอาสูตรที่แสดงลำดับมาครบตั้งแต่ต้นจนจบจึงจะได้ความว่า 'โดยลำดับสภาวะแล้ว คนที่กิเลสมากสุด ทั้งยังไม่มีธัมมสภาวะปฏิเวธะ จำเป็นต้องทำตาม[[https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=9&siri=10|สุภสูตร]]ครบทุกลำดับ ไล่ไปตั้งแต่อธิศีลทุกอย่างเพื่อให้ได้อินทริยสังวรในทุกอิริยาบถอันเป็นอธิจิตตสิกขา จนกว่าจะปิดทวาร 6 สมบูรณ์เแ็นอุปจาระหรือเป็น ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ เป็นต้น ซึ่งอธิจิตตสิกขาใน[[https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=9&siri=10|สุภสูตร]]นั้น ก็ขยายออกมาเป็น[[https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=14&siri=19|กายคตาสติสูตร]]นั่นเอง ตามหลักสีหวิกกีฬิตนัยยังไม่ใช่มหาสติปัฏฐานสูตรก่อน'
  
 เมื่อผู้อ่าน ชอบอ่าน ไม่ท่องจำพระบาลี มีอาการกุศลจิตอ่อนกำลัง (ไม่เป็นมหา หรือเป็นมหาแต่ไม่ถึงมหัค) เขาจึงไม่สามารถแทงตลอดทั้งสภาวะด้วยอัตถปฏิสัมภิทา ไม่สามารถแทงตลอดทั้งบาลีด้วยอำนาจธัมมปฏิสัมภิทาตามนัยตัวอย่างที่ยกมาเล็กน้อยในเบื้องต้น ถ้าเขาเป็นปุถุชนทิฏฐิคตสัมปยุตตโลภะมูลจิตตุปบาทก็จะเกิดยึดมั่นถือมั่นว่า "สติปฏฺฐาเนหิ ต้องเป็น มหาสติปฏฺฐานสุตฺตํ เท่านั้นจริง ถ้าพูดอย่างอื่น คำนั้นต้องเปล่าประโยชน์" เป็นต้น เป็นอันครบองค์ 2 ของมิจฉาทิฏฐิ เมื่อกล่าวคำใดๆ ในเรื่องนี้ออกไป เขาจะต้องมีตัณหาคาหะ มานะคาหะ ทิฏฐิคาหะเป็นปริยุฏฐานสลับกับนิวรณปริยุฏฐานแน่นอน แม้ขณะนั้นจะมีเมตตากุศลเกิดพูดอนุเคราะห์คนอื่นก็ตาม ก็จะเกิดสลับด้วยมิจฉาทิฏฐิเหล่านี้เป็นปกติ เพราะความที่ละสักกายทิฏฐิที่คิดลวกๆ มโนจินตนาการไปเองรวมๆเป็นก้อนเป็นสาย เป็นปกติของปุถุชน, แต่ถ้าเป็นพระอริยเจ้าผู้ทำอริยุปวาทะแม้ยึดมั่นถือมั่นอยู่ แต่จะไม่มีสักกายะทิฏฐิเห็นเป็นก้อน ไม่มีอุปาทาน 3 ยึดไว้ อย่างนี้ไม่ครบองค์ของมิจฉาทิฏฐิ, แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์ ผู้ไม่ได้สนใจในเรื่องเหล่านี้ เรื่องเหล่านี้ก็เป็นเท่าที่เป็นธาตุที่กระทบธาตุ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่เอียง ไม่ยุบ ไม่พอง ไม่สะดุ้งอะไรๆ. โดยประการดังกล่าว การอ่านพระไตรปิฎกเอาลวกๆ เป็นก้อนๆ จึงทำให้ปาฐะตกหล่น และทำให้โลภะทิฏฐิคตสัมปยุตของปุถุชนพอกพูดเป็นหางหมูเฝ้าวัฏฏะต่อไปไม่สิ้นสุด. เมื่อผู้อ่าน ชอบอ่าน ไม่ท่องจำพระบาลี มีอาการกุศลจิตอ่อนกำลัง (ไม่เป็นมหา หรือเป็นมหาแต่ไม่ถึงมหัค) เขาจึงไม่สามารถแทงตลอดทั้งสภาวะด้วยอัตถปฏิสัมภิทา ไม่สามารถแทงตลอดทั้งบาลีด้วยอำนาจธัมมปฏิสัมภิทาตามนัยตัวอย่างที่ยกมาเล็กน้อยในเบื้องต้น ถ้าเขาเป็นปุถุชนทิฏฐิคตสัมปยุตตโลภะมูลจิตตุปบาทก็จะเกิดยึดมั่นถือมั่นว่า "สติปฏฺฐาเนหิ ต้องเป็น มหาสติปฏฺฐานสุตฺตํ เท่านั้นจริง ถ้าพูดอย่างอื่น คำนั้นต้องเปล่าประโยชน์" เป็นต้น เป็นอันครบองค์ 2 ของมิจฉาทิฏฐิ เมื่อกล่าวคำใดๆ ในเรื่องนี้ออกไป เขาจะต้องมีตัณหาคาหะ มานะคาหะ ทิฏฐิคาหะเป็นปริยุฏฐานสลับกับนิวรณปริยุฏฐานแน่นอน แม้ขณะนั้นจะมีเมตตากุศลเกิดพูดอนุเคราะห์คนอื่นก็ตาม ก็จะเกิดสลับด้วยมิจฉาทิฏฐิเหล่านี้เป็นปกติ เพราะความที่ละสักกายทิฏฐิที่คิดลวกๆ มโนจินตนาการไปเองรวมๆเป็นก้อนเป็นสาย เป็นปกติของปุถุชน, แต่ถ้าเป็นพระอริยเจ้าผู้ทำอริยุปวาทะแม้ยึดมั่นถือมั่นอยู่ แต่จะไม่มีสักกายะทิฏฐิเห็นเป็นก้อน ไม่มีอุปาทาน 3 ยึดไว้ อย่างนี้ไม่ครบองค์ของมิจฉาทิฏฐิ, แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์ ผู้ไม่ได้สนใจในเรื่องเหล่านี้ เรื่องเหล่านี้ก็เป็นเท่าที่เป็นธาตุที่กระทบธาตุ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่เอียง ไม่ยุบ ไม่พอง ไม่สะดุ้งอะไรๆ. โดยประการดังกล่าว การอ่านพระไตรปิฎกเอาลวกๆ เป็นก้อนๆ จึงทำให้ปาฐะตกหล่น และทำให้โลภะทิฏฐิคตสัมปยุตของปุถุชนพอกพูดเป็นหางหมูเฝ้าวัฏฏะต่อไปไม่สิ้นสุด.
บรรทัด 137: บรรทัด 155:
 5. เมื่อเข้าใจทั้ง 4 ข้อข้างต้นทั้งโดยอัตถะและธัมมะ แล้วเข้าฌาน ออกจากฌานท่องจำเนตติปกรณ์บาลี ปฏิสัมภิทามรรคบาลี วิสุทธิมรรคบาลีซ้ำๆ จะเห็นตามเป็นจริงว่า 5. เมื่อเข้าใจทั้ง 4 ข้อข้างต้นทั้งโดยอัตถะและธัมมะ แล้วเข้าฌาน ออกจากฌานท่องจำเนตติปกรณ์บาลี ปฏิสัมภิทามรรคบาลี วิสุทธิมรรคบาลีซ้ำๆ จะเห็นตามเป็นจริงว่า
  
-เหตุที่ [[sutta>เทสนาหารวิภงฺโค(th.r.46.5.0.5)]]ว่า "ตณฺหาจริโต มนฺโท สตินฺทฺริเยน ทุกฺขาย ปฏิปทาย ทนฺธาภิญฺญาย นิยฺยาติ สติปฏฺฐาเนหิ นิสฺสเยหิฯ" เพราะ บุคคลผู้เป็น "ตัณหาจริตาย ทนฺธาภิญฺญาย" ยังมีตัณหายึดมั่นในรูปกายอยู่มาก และ "ตัณหาจริตาย ขิปฺปาภิญฺญาย" ยังมีตัณหายึดมั่นถือมั่นในสุขทุกข์อุเบกขาอยู่มาก ก็มีนิวรณ์เกิดมาก ไม่มีอาโลกสัญญาทำลายถีนมิทธะนิวรณ์ เมื่อไม่มีอาโลกสัญญาก็ไม่มีความสามารถระดับขิปฺปาภิญฺโญได้ เพราะอภิญฺญามาจาก อภิสทฺโท ลกฺขณตฺเถ, ญา ญาตฏฺเฐ หมายความว่า การแทงตลอดชำนาญในสภาคะฆฏนา ซึ่งคนที่จะแทงตลอดสภาคฆฏนาได้ จะต้องมีองค์ประกอบ คือ 1. พลังบุญในอดีต 2. พลังบุญในอดีตนั้นถึงพร้อมสุกงอมเพราะตัวพลังบุญในอดีตช่วยให้ในปัจจุบันมีปฏิรูปเทสวาโส กัลลยาณมิตตา มาช่วยบ่มเพาะอัตตสัมมาปณิธิในปัจจุบันให้สุกงอม ซึ่งอัตตสัมมาปณิธินี้ องค์ธรรมคือ มหากุศลและมหัคคตกุศล ซึ่งเป็นกุศลปักข์เดียวกันกับพลังบุญในอดีตนั่นเอง [พูดง่ายๆ ถ้ากุศลทั้งอดีตและปัจจุบันไม่มีกำลัง คนที่กุศลจิตมีกำลังเขาก็ไม่อยากคุยด้วย และตัวเองก็จะแยกแยะไม่ออกว่าใครมีบุญใครไม่มีบุญ อยู่ตรงไหนได้บุญ อยู่ตรงไหนได้บาป ทำจิตอย่างไรจะพัฒนาไปเป็นมหัคคตะจิต เป็นโลกุตตรจิตได้]. การจะเห็นอย่างนี้ ต้องอาศัยความเป็นอัจฉริยะ (ในภาษาไทย ส่วนภาษาอังกฤษว่า genius ซึ่งก็คือ ขิปฺปาภิญฺญาบุคคล นั่นเอง) เท่านั้น ในทางโลกคนกลุ่ม genius คือ พวกที่ได้ photographic memory ซึ่งก็คือ อาโลกสัญญาและกัมมัฏฐานนิมิตบัญญัตินั่นเอง, ดังนั้นในพระบาลีสุภสูตร จึงแสดงการละปริตตารมณ์ คือ นิมิตและอนุพยัญชนะ ไว้ในอินทริยสังวรอันเป็นมหากุศล แล้วแสดงการละนิมิตและอนุพยัญชนะนั้นไว้ด้วยอาโลกสัญญาอันเป็นเบื้องต้นของการทำมหากุศลนั้นให้เป็นมหัคคตกุศลที่มีปฏิภาคนิมิตเป็นอารมณ์แทนที่เสีย จากนั้นจึงทรงแสดง "ปริโยทาเต" ศัพท์ ไว้ในท่ามกลาง คือ ในจตุตถฌาน และทรงแสดงอธิปญฺญาสิกฺขาว่า "ปริโยทาเต ... จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติ ... อิทมฺปิสฺส โหติ ปญฺญายฯ" ไว้ในที่สุดคือวิชชา 8 กล่าว คือ อภิญญาขั้นสูงสุดนั่นเอง. ทั้งหมดนี้ มีลำดับของอารมณ์และจิตไว้ใน กายคตาสติสูตรและสุภสูตรอีกทีหนึ่ง.+เหตุที่ [[sutta>เทสนาหารวิภงฺโค(th.r.46.5.0.5)]]ว่า "ตณฺหาจริโต มนฺโท สตินฺทฺริเยน ทุกฺขาย ปฏิปทาย ทนฺธาภิญฺญาย นิยฺยาติ สติปฏฺฐาเนหิ นิสฺสเยหิฯ" เพราะ บุคคลผู้เป็น "ตัณหาจริตาย ทนฺธาภิญฺญาย" ยังมีตัณหายึดมั่นในรูปกายอยู่มาก และ "ตัณหาจริตาย ขิปฺปาภิญฺญาย" ยังมีตัณหายึดมั่นถือมั่นในสุขทุกข์อุเบกขาอยู่มาก ก็มีนิวรณ์เกิดมาก ไม่มีอาโลกสัญญาทำลายถีนมิทธะนิวรณ์ เมื่อไม่มีอาโลกสัญญาก็ไม่มีความสามารถระดับขิปฺปาภิญฺโญได้ เพราะอภิญฺญามาจาก อภิสทฺโท ลกฺขณตฺเถ, ญา ญาตฏฺเฐ หมายความว่า การแทงตลอดชำนาญในสภาคะฆฏนา ซึ่งคนที่จะแทงตลอดสภาคฆฏนาได้ จะต้องมีองค์ประกอบ คือ 1. พลังบุญในอดีต 2. พลังบุญในอดีตนั้นถึงพร้อมสุกงอมเพราะตัวพลังบุญในอดีตช่วยให้ในปัจจุบันมีปฏิรูปเทสวาโส กัลลยาณมิตตา มาช่วยบ่มเพาะอัตตสัมมาปณิธิในปัจจุบันให้สุกงอม ซึ่งอัตตสัมมาปณิธินี้ องค์ธรรมคือ มหากุศลและมหัคคตกุศล ซึ่งเป็นกุศลปักข์เดียวกันกับพลังบุญในอดีตนั่นเอง [พูดง่ายๆ ถ้ากุศลทั้งอดีตและปัจจุบันไม่มีกำลัง คนที่กุศลจิตมีกำลังเขาก็ไม่อยากคุยด้วย และตัวเองก็จะแยกแยะไม่ออกว่าใครมีบุญใครไม่มีบุญ อยู่ตรงไหนได้บุญ อยู่ตรงไหนได้บาป ทำจิตอย่างไรจะพัฒนาไปเป็นมหัคคตะจิต เป็นโลกุตตรจิตได้]. การจะเห็นอย่างนี้ ต้องอาศัยความเป็นอัจฉริยะ (ในภาษาไทย ส่วนภาษาอังกฤษว่า genius ซึ่งก็คือ ขิปฺปาภิญฺญาบุคคล นั่นเอง) เท่านั้น ในทางโลกคนกลุ่ม genius คือ พวกที่ได้ photographic memory ซึ่งก็คือ อาโลกสัญญาและกัมมัฏฐานนิมิตบัญญัตินั่นเอง, ดังนั้นในพระบาลี[[https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=9&siri=10|สุภสูตร]] จึงแสดงการละปริตตารมณ์ คือ นิมิตและอนุพยัญชนะ ไว้ในอินทริยสังวรอันเป็นมหากุศล แล้วแสดงการละนิมิตและอนุพยัญชนะนั้นไว้ด้วยอาโลกสัญญาอันเป็นเบื้องต้นของการทำมหากุศลนั้นให้เป็นมหัคคตกุศลที่มีปฏิภาคนิมิตเป็นอารมณ์แทนที่เสีย จากนั้นจึงทรงแสดง "ปริโยทาเต" ศัพท์ ไว้ในท่ามกลาง คือ ในจตุตถฌาน และทรงแสดงอธิปญฺญาสิกฺขาว่า "ปริโยทาเต ... จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติ ... อิทมฺปิสฺส โหติ ปญฺญายฯ" ไว้ในที่สุดคือวิชชา 8 กล่าว คือ อภิญญาขั้นสูงสุดนั่นเอง. ทั้งหมดนี้ มีลำดับของอารมณ์และจิตไว้ใน [[https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=14&siri=19|กายคตาสติสูตร]]และ[[https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=9&siri=10|สุภสูตร]]อีกทีหนึ่ง.
  
 ฉะนั้น เมื่อเข้าใจสภาวะอย่างนั้นแล้ว จะพบว่าในวิสุทธิมรรคที่ท่องไว้แสดงไว้ว่า "[[sutta>จิตฺตวิสุทฺธิ(th.r.151.222)]] นาม สอุปจารา อฏฺฐ สมาปตฺติโย" ไม่มีคำว่า "ขณิกสมาธิ" แต่ก็จะพบว่า ในฏีกาวิสุทธิมรรคแสดงว่า "สมถยานิกสฺส หิ อุปจารปฺปนาปฺปเภทํ สมาธิํ อิตรสฺส [[sutta>ขณิกสมาธิํ(th.r.152.15)]], อุภเยสมฺปิ วิโมกฺขมุขตฺตยํ วินา น กทาจิปิ โลกุตฺตราธิคโม สมฺภวติฯ". ฉะนั้น เมื่อเข้าใจสภาวะอย่างนั้นแล้ว จะพบว่าในวิสุทธิมรรคที่ท่องไว้แสดงไว้ว่า "[[sutta>จิตฺตวิสุทฺธิ(th.r.151.222)]] นาม สอุปจารา อฏฺฐ สมาปตฺติโย" ไม่มีคำว่า "ขณิกสมาธิ" แต่ก็จะพบว่า ในฏีกาวิสุทธิมรรคแสดงว่า "สมถยานิกสฺส หิ อุปจารปฺปนาปฺปเภทํ สมาธิํ อิตรสฺส [[sutta>ขณิกสมาธิํ(th.r.152.15)]], อุภเยสมฺปิ วิโมกฺขมุขตฺตยํ วินา น กทาจิปิ โลกุตฺตราธิคโม สมฺภวติฯ".
บรรทัด 147: บรรทัด 165:
 แต่ถ้าผู้แสดงธรรมชำนาญขึ้นไปอีก จะสามารถใช้วิชชา 8 ตรวจอัธยาศัยของผู้ฟังแล้ว ใช้พระไตรปิฎกบาลีที่ร่ำเรียนมา เลือกถ้อยคำที่เหมาะสมมาจัดลำดับใหม่ให้เหมาะกับผู้ฟังด้วยติปุกฺขลนัย อย่างนี้เราจะเห็นการเปลี่ยนลำดับของเทศนาได้. แต่ถ้าผู้แสดงธรรมชำนาญขึ้นไปอีก จะสามารถใช้วิชชา 8 ตรวจอัธยาศัยของผู้ฟังแล้ว ใช้พระไตรปิฎกบาลีที่ร่ำเรียนมา เลือกถ้อยคำที่เหมาะสมมาจัดลำดับใหม่ให้เหมาะกับผู้ฟังด้วยติปุกฺขลนัย อย่างนี้เราจะเห็นการเปลี่ยนลำดับของเทศนาได้.
  
-6. โดยการแทงตลอดข้างต้น ก็สามารถแทงตลอดตำราอื่นๆ ไปอีกนับไม่ถ้วนนัยยะ เช่น [[https://docs.google.com/document/d/1SgDMW-Wn1L_y4P-hjfrfeKg2xrOyrXY4rMgROkUJNkk/edit#|อรรถกถาอายุพระศาสนาเกินกว่า 4 ตำรา]] ที่เคยทำบทว่า  เอเตเนว อุปาเยน ใน อ.องฺ.เอกก. ตกหล่นไป ก็จะเริ่มเห็นได้ตรงกับลำดับสภาวะ, หรือ ในการสนธิของบทว่า "เอตฺตาวตา อานาปานํ ฯลฯ สจฺจปริคฺคโหติ เอกวีสติ กมฺมฏฺฐานานิ วุตฺตานิฯ เตสุ อานาปานํ ทฺวตฺติํสากาโร นวสิวถิกาติ เอกาทส อปฺปนากมฺมฏฺฐานานิ โหนฺติฯ ทีฆภาณกมหาสีวตฺเถโร ปน ‘‘นวสิวถิกา อาทีนวานุปสฺสนาวเสน วุตฺตา’’ติ อาหฯ ตสฺมา ตสฺส มเตน ทฺเวเยว อปฺปนากมฺมฏฺฐานานิ, [[sutta>เสสานิ อุปจารกมฺมฏฺฐานานิ(th.r.70.305)]]ฯ" ก็จะเข้าใจสภาวะของทั้ง 2 มติว่าไม่ขัดแย้งกัน เป็นสภาคฆฏนาของกันและกัน (ท่านพระพุทธโฆสาจารย์ยกมาไว้เพราะเห็นด้วยกับทั้ง 2 มติที่เป็นสภาคฆฏนากันได้ จึงไม่ได้แสดงคัดค้านไว้) ซึ่งสามารถใช้ละคลายเจโตขีละคือความระแวงสงสัยในพระมหาอัฏฐกถาหรือมหาสิวะเถระได้อีกทอดหนึ่งด้วย โดยการกำหนดจิตของผู้อ่านเองว่า "เราไม่มีอธิปัญญาสิกขา คือ วิชชา 8 ทั้งยังไม่ทรงจำพระไตรปิฎกบาลีอีกด้วย" อย่างนี้แทน จิตก็เป็นญาณสัมปยุตได้แล้ว วิปปฏิสารก็ไม่เกิด เป็นไปเพื่อภาวนา, และยังนำไปเชื่อมโยงกับเนตติ. เทสนาหาระวิภังค์ สีหวิกกีฬิตนัย, ที.สามัญญผลสูตร, ที.[[https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=9&siri=10|สุภสูตร]] (และหลายสูตรใน ที.สี.), ม.[[https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=14&siri=19|กายคตาสติสูตร]] ซึ่งอรรถกถาของสูตรนี้ไปอยู่ใน อ.ทีฆนิกาย อ.มูลปัณณาสก์ และวิสุทธิมรรค ทำให้เป็นเหมือนกับว่า มีอรรถกถาสั้น, เนตติใน [[https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=7&A=6135&h=สมถยานิก#hl|อ. อุทฺเทสแห่งมหาสติปัฏฐานสูตร]], วิสุทฺธิ. [[sutta>จิตฺตวิสุทฺธิ นาม สอุปจารา อฏฺฐ สมาปตฺติโย(th.r.151.222.0.4)]] และอรรถกถาทั้งปวงโดยคำเดียวกันนี้ เป็นต้น โดยประการอย่างนี้ ก็ถึงความแตกฉานในพระไตรปิฎกปาฬิ อรรถกถาปาฬิ ได้โดยเพียงแค่ "เข้าฌาน ออกจากฌานมาท่องทบทวนปาฬิ ในสำนักของผู้ทรงจำพระสูตรปาฬิ" ไม่เรียนพระไตรปิฎกด้วยความลำบากยากแค้นอีกต่อไป.+6. โดยการแทงตลอดข้างต้น ก็สามารถแทงตลอดตำราอื่นๆ ไปอีกนับไม่ถ้วนนัยยะ เช่น [[https://docs.google.com/document/d/1SgDMW-Wn1L_y4P-hjfrfeKg2xrOyrXY4rMgROkUJNkk/edit#|อรรถกถาอายุพระศาสนาเกินกว่า 4 ตำรา]] ที่เคยทำบทว่า  เอเตเนว อุปาเยน ใน อ.องฺ.เอกก. ตกหล่นไป ก็จะเริ่มเห็นได้ตรงกับลำดับสภาวะ, หรือ ในการสนธิของบทว่า "เอตฺตาวตา อานาปานํ ฯลฯ สจฺจปริคฺคโหติ เอกวีสติ กมฺมฏฺฐานานิ วุตฺตานิฯ เตสุ อานาปานํ ทฺวตฺติํสากาโร นวสิวถิกาติ เอกาทส อปฺปนากมฺมฏฺฐานานิ โหนฺติฯ ทีฆภาณกมหาสีวตฺเถโร ปน ‘‘นวสิวถิกา อาทีนวานุปสฺสนาวเสน วุตฺตา’’ติ อาหฯ ตสฺมา ตสฺส มเตน ทฺเวเยว อปฺปนากมฺมฏฺฐานานิ, [[sutta>เสสานิ อุปจารกมฺมฏฺฐานานิ(th.r.70.305)]]ฯ" ก็จะเข้าใจสภาวะของทั้ง 2 มติว่าไม่ขัดแย้งกัน เป็นสภาคฆฏนาของกันและกัน (ท่านพระพุทธโฆสาจารย์ยกมาไว้เพราะเห็นด้วยกับทั้ง 2 มติที่เป็นสภาคฆฏนากันได้ จึงไม่ได้แสดงคัดค้านไว้) ซึ่งสามารถใช้ละคลายเจโตขีละคือความระแวงสงสัยในพระมหาอัฏฐกถาหรือมหาสิวะเถระได้อีกทอดหนึ่งด้วย โดยการกำหนดจิตของผู้อ่านเองว่า "เราไม่มีอธิปัญญาสิกขา คือ วิชชา 8 ทั้งยังไม่ทรงจำพระไตรปิฎกบาลีอีกด้วย" อย่างนี้แทน จิตก็เป็นญาณสัมปยุตได้แล้ว [[#วิปปฏิสาร]]ก็ไม่เกิด เป็นไปเพื่อภาวนา, และยังนำไปเชื่อมโยงกับเนตติ. เทสนาหาระวิภังค์ สีหวิกกีฬิตนัย, ที.สามัญญผลสูตร, ที.[[https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=9&siri=10|สุภสูตร]] (และหลายสูตรใน ที.สี.), ม.[[https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=14&siri=19|กายคตาสติสูตร]] ซึ่งอรรถกถาของสูตรนี้ไปอยู่ใน อ.ทีฆนิกาย อ.มูลปัณณาสก์ และวิสุทธิมรรค ทำให้เป็นเหมือนกับว่า มีอรรถกถาสั้น, เนตติใน [[https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=7&A=6135&h=สมถยานิก|อ. อุทฺเทสแห่งมหาสติปัฏฐานสูตร]], วิสุทฺธิ. [[sutta>จิตฺตวิสุทฺธิ นาม สอุปจารา อฏฺฐ สมาปตฺติโย(th.r.151.222.0.4)]] และอรรถกถาทั้งปวงโดยคำเดียวกันนี้ เป็นต้น โดยประการอย่างนี้ ก็ถึงความแตกฉานในพระไตรปิฎกปาฬิ อรรถกถาปาฬิ ได้โดยเพียงแค่ "เข้าฌาน ออกจากฌานมาท่องทบทวนปาฬิ ในสำนักของผู้ทรงจำพระสูตรปาฬิ" ไม่เรียนพระไตรปิฎกด้วยความลำบากยากแค้นอีกต่อไป. 
 + 
 +===คิดนึกเป็นวิปัสสนาหรือไม่=== 
 + 
 +* วิถีจิตรู้บัญญัติและปรมัตถ์ที่เกิดสลับกันจนกว่าจะถึงอุปจารสมาธิ 
 +* ปัญญาแทงตลอดสภาวะเสมอ ไม่ว่าจิตจะรู้บัญญัติหรือปรมัตถ์ ด้วยบทว่า [[sutta>ธมฺมสภาวปฏิเวธลกฺขณา ปญฺญา(th.r.151.68)]] 
 +* ไม่ว่าจะเอากรชกาย หรือ ใบไม้ มาทำวิปัสสนา ก็ไม่ได้เอาบัญญัติมาทำวิปัสสนา เพราะท่านแสดงลำดับไว้ว่า [[sutta>สตฺโต วา ปุคฺคโล วา นตฺถิ(th.r.68.315)]] 
 +* ความสับสนเรื่องภาวนา 
 +* ปุถุชนออกจากกามคุณ 5 ด้วยบัญญัติที่ไม่เนื่องด้วยกามเท่านั้น ด้วยบทว่า [[sutta>น นิมิตฺตคฺคาหี(th.r.6.66.0.2)]] และ [[sutta>วิวิจฺเจว กาเมหิ(th.r.6.66.0.2)]] 
 +* กามและอกุศลระงับด้วยบัญญัติ เป็นสมถะ ด้วยบทว่า [[sutta>น นิมิตฺตคฺคาหี(th.r.6.66.0.2)]] และ [[sutta>วิวิจฺเจว กาเมหิ(th.r.6.66.0.2)]] , และระงับด้วยปรมัตถ์ เป็นวิปัสสนา ด้วยบทว่า [ [[sutta>สมุทยวยธมฺมานุปสฺสี(th.r.7.232)]] ] 
 +* ความสับสนเรื่องกลาป สงฺคห ป. 6 กับ ป. 7  
 +* ความไม่ท่องจำบาลี เรื่องกลาป สงฺคห ป. 6 กับ ป. 7  
 +* สภาวธรรม เรื่องกลาป สงฺคห ป. 6 กับ ป. 7 
 =วิธีทำความเข้าใจสายพะอ็อคตอยะ= =วิธีทำความเข้าใจสายพะอ็อคตอยะ=
  
บรรทัด 166: บรรทัด 196:
 However the ordinaries normally often decide right as wrong and wrong as right because of clinging on view (ditthi-upadana), such as thinking about 'what I am answer must be right, others' must be wrong', etc. This always happen because of no virtues/moral (sila), no 8 jhana (samadhi), and no 8 knowledges(8 vijja) according to DN1 BrahmajalaSutta, DN 2 SamannaphalaSutta, DN 10 SubhaSutta, and DN 15 MahanidanaSutta. However the ordinaries normally often decide right as wrong and wrong as right because of clinging on view (ditthi-upadana), such as thinking about 'what I am answer must be right, others' must be wrong', etc. This always happen because of no virtues/moral (sila), no 8 jhana (samadhi), and no 8 knowledges(8 vijja) according to DN1 BrahmajalaSutta, DN 2 SamannaphalaSutta, DN 10 SubhaSutta, and DN 15 MahanidanaSutta.
  
-อย่างไรก็ตาม, ปุถุชนปกติมักจะตัดสินถูกเป็นผิด ตัดสินผิดเป็นถูก เพราะยังมีทิฏฐุปาทาน ศีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทานอยู่ เช่น ปุถุชนชอบคิด (โดยไม่รู้ตัวว่า) ว่า  "ฉันคนเดียวพูดถูกเท่านั้น คนอื่นหน่ะพูดผิดทั้งนั้นแหละ" เป็นต้น ซึ่งไม่ตรงตามสภาวะจริงที่เกิดขึ้นมากมายมหาศาล เพราะเหมารวมสิ่งที่ต่างกันยิบย่อบให้เป็นเหมือนกันหมดว่า "ทั้งหมดนี่ผิด ทั้งหมดนี่ถูก". สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นในปุถุชนตลอดเวลา เพราะเขาไม่มี ศีล ไม่มีสมาบัติ 8 ไม่มีวิชชา 8 ตามที่ท่านอธิบายไว้ใน ที.พรหมชาลสูตร, ที.สามัญญผลสูตร, ที.สุภสูตร, ที. มหานิทานสูตร, ม.กายคตาสติสูตร, และ ที. มหาสติปัฏฐานสูตร.+อย่างไรก็ตาม, ปุถุชนปกติมักจะตัดสินถูกเป็นผิด ตัดสินผิดเป็นถูก เพราะยังมีทิฏฐุปาทาน ศีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทานอยู่ เช่น ปุถุชนชอบคิด (โดยไม่รู้ตัวว่า) ว่า  "ฉันคนเดียวพูดถูกเท่านั้น คนอื่นหน่ะพูดผิดทั้งนั้นแหละ" เป็นต้น ซึ่งไม่ตรงตามสภาวะจริงที่เกิดขึ้นมากมายมหาศาล เพราะเหมารวมสิ่งที่ต่างกันยิบย่อบให้เป็นเหมือนกันหมดว่า "ทั้งหมดนี่ผิด ทั้งหมดนี่ถูก". สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นในปุถุชนตลอดเวลา เพราะเขาไม่มี ศีล ไม่มีสมาบัติ 8 ไม่มีวิชชา 8 ตามที่ท่านอธิบายไว้ใน ที.พรหมชาลสูตร, ที.สามัญญผลสูตร, ที.[[https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=9&siri=10|สุภสูตร]], ที. มหานิทานสูตร, ม.[[https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=14&siri=19|กายคตาสติสูตร]], และ ที. มหาสติปัฏฐานสูตร.
  
 So, according to DN 2 SamannaphalaSutta, the Buddha taught about virtues/moral (sila), 8 jhana (samadhi), and 8 knowledges(8 vijja) to let the listener understood the way to cease the argument of teacher and student at the beginning of DN2 and DN1. So, according to DN 2 SamannaphalaSutta, the Buddha taught about virtues/moral (sila), 8 jhana (samadhi), and 8 knowledges(8 vijja) to let the listener understood the way to cease the argument of teacher and student at the beginning of DN2 and DN1.
  
-ดังนั้น เพื่อที่จะแก้ไขปุถุชนผู้มากไปด้วยความคิดเห็นผิดเพี้ยนจากสิ่งที่เกิดได้จริงเหล่านั้นให้เป็นเขากลายเป็นพระอริยะเจ้าได้, พระพุทธเจ้าจึงสอนศีล สมาบัติ 8 และวิชชา 8 ไว้ใน ที.สามัญญผลสูตร เพื่อให้ผู้ฟังสะสางอุปาทาน 4 โดยเฉพาะสักกายทิฏฐิ ซึ่งเป็นเหตุแห่งทิฏฐิ 62 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ทั้งตอนต้น (ศิษย์กับอาจารย์เถียงกันและลัทธิครูทั้ง 6) และตอนท้ายของที.พรหมชาลสูตร (สูตรตรแรกของสูตรทั้งปวง) และที.สามัญญผลสูตร (สูตรที่ 2 ของสูตรทั้งปวง). ซึ่งท่านพระอานนท์เรียงลำดับไว้ใน ที.สุภสูตรว่า อธิจิตตสิกขา คือ ฌาน 4 และ อธิปัญญาสิกขา คือ วิชชา 8.+ดังนั้น เพื่อที่จะแก้ไขปุถุชนผู้มากไปด้วยความคิดเห็นผิดเพี้ยนจากสิ่งที่เกิดได้จริงเหล่านั้นให้เป็นเขากลายเป็นพระอริยะเจ้าได้, พระพุทธเจ้าจึงสอนศีล สมาบัติ 8 และวิชชา 8 ไว้ใน ที.สามัญญผลสูตร เพื่อให้ผู้ฟังสะสางอุปาทาน 4 โดยเฉพาะสักกายทิฏฐิ ซึ่งเป็นเหตุแห่งทิฏฐิ 62 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ทั้งตอนต้น (ศิษย์กับอาจารย์เถียงกันและลัทธิครูทั้ง 6) และตอนท้ายของที.พรหมชาลสูตร (สูตรตรแรกของสูตรทั้งปวง) และที.สามัญญผลสูตร (สูตรที่ 2 ของสูตรทั้งปวง). ซึ่งท่านพระอานนท์เรียงลำดับไว้ใน ที.[[https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=9&siri=10|สุภสูตร]]ว่า อธิจิตตสิกขา คือ ฌาน 4 และ อธิปัญญาสิกขา คือ วิชชา 8.
  
 To access insight the second to the seventh knowledge, the Buddha taught MN 119 Kāyagatāsatisutta to let the practitioner practice AdhiCittaSkkha (concentration meditation), and taught DN 2 SamannaphalaSutta to start the second to the seventh knowledge.  To access insight the second to the seventh knowledge, the Buddha taught MN 119 Kāyagatāsatisutta to let the practitioner practice AdhiCittaSkkha (concentration meditation), and taught DN 2 SamannaphalaSutta to start the second to the seventh knowledge. 
บรรทัด 177: บรรทัด 207:
  
  
-ฉะนั้นเพื่อที่จะได้วิชชาที่ 2-7 พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอน ม.กายคตาสติสูตรไว้ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับฝึกอธิจิตตสิกขา ซึ่งเป็นบาทฐานของ วิชชาทั้ง 8 (ฌาน 4 จะทำให้ได้ปริกัมมโอภาส ซึ่งเป็นพื้นฐานของ photographic memory ที่ทางฝั่งตะวันตกจัดพวกที่มีความสามารถนี้ว่าเป็นพวกอัจฉริยะ เช่น ไอนสไตน์, นุน วรนุช เป็นต้น). และเมื่อได้ฌานสมาบัติแล้วจึงทรงสอน ที. สามัญญผลสูตร เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการฝึก วิชชาที่ 2-7. +ฉะนั้นเพื่อที่จะได้วิชชาที่ 2-7 พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอน ม.[[https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=14&siri=19|กายคตาสติสูตร]]ไว้ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับฝึกอธิจิตตสิกขา ซึ่งเป็นบาทฐานของ วิชชาทั้ง 8 (ฌาน 4 จะทำให้ได้ปริกัมมโอภาส ซึ่งเป็นพื้นฐานของ photographic memory ที่ทางฝั่งตะวันตกจัดพวกที่มีความสามารถนี้ว่าเป็นพวกอัจฉริยะ เช่น ไอนสไตน์, นุน วรนุช เป็นต้น). และเมื่อได้ฌานสมาบัติแล้วจึงทรงสอน ที. สามัญญผลสูตร เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการฝึก วิชชาที่ 2-7. 
  
-สมดังที่ท่านพระอานนท์แสดงไว้ใน ที.สุภสูตร สรุปความได้ว่า อาโลกสัญญาเป็นบาทฐานของฌานสมาบัติ และว่า อธิปัญญาสิกขา คือ วิชชา 8 ที่มีฌาน 4 เป็นบาทฐาน.+สมดังที่ท่านพระอานนท์แสดงไว้ใน ที.[[https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=9&siri=10|สุภสูตร]] สรุปความได้ว่า อาโลกสัญญาเป็นบาทฐานของฌานสมาบัติ และว่า อธิปัญญาสิกขา คือ วิชชา 8 ที่มีฌาน 4 เป็นบาทฐาน.
  
 To access insight the first knowledge, VipassanaNanaVijja, in the smallest particle, smaller than atom, which the ordinary think they are only same one, the Buddha taught DN 22 MahāsatipaṭṭhānaSutta to analysis the molecules of smallest particles (samuha-ghana), time-period of smallest particles' various moments (santatighana), co-working-duties of smallest particles' various duties (kicca-ghana), same time being-knew-objects of smallest particles' various being knew in same time. To access insight the first knowledge, VipassanaNanaVijja, in the smallest particle, smaller than atom, which the ordinary think they are only same one, the Buddha taught DN 22 MahāsatipaṭṭhānaSutta to analysis the molecules of smallest particles (samuha-ghana), time-period of smallest particles' various moments (santatighana), co-working-duties of smallest particles' various duties (kicca-ghana), same time being-knew-objects of smallest particles' various being knew in same time.