ผมพัฒนาจากสายปริยัติมาสู่สายปฏิบัติได้อย่างไร

ความแตกต่าง

นี่เป็นการแสดงความแตกต่างระหว่างเพจสองรุ่น

Link to this comparison view

Both sides previous revision Previous revision
Next revision Both sides next revision
ผมพัฒนาจากสายปริยัติมาสู่สายปฏิบัติได้อย่างไร [2023/01/26 04:20]
dhamma [วิธีทำความเข้าใจสายพะอ็อคตอยะ]
ผมพัฒนาจากสายปริยัติมาสู่สายปฏิบัติได้อย่างไร [2023/03/14 04:56]
dhamma
บรรทัด 78: บรรทัด 78:
 ==สมาธิ== ==สมาธิ==
 ===อาโลกะ โอภาส แสงภาวนา นิมิต คืออะไร?​=== ===อาโลกะ โอภาส แสงภาวนา นิมิต คืออะไร?​===
- 
- 
  
 ตํตํภูตนิมิตฺตํ ภาวนาวิเสสญฺจ อุปาทาย ​ กสิณนิมิตฺตาทิกา เจติ([[sutta>​th.r.147.57]]) ตํตํภูตนิมิตฺตํ ภาวนาวิเสสญฺจ อุปาทาย ​ กสิณนิมิตฺตาทิกา เจติ([[sutta>​th.r.147.57]])
บรรทัด 111: บรรทัด 109:
 กาลามสูตรถ้าเข้าใจถูก จะได้เมตตาฌานสีมสัมเภทะ,​ แต่ถ้าตัดออกเหลือแค่ 10 ข้อ บางคนอาจได้วิจิกิจฉา วิปฏิสาร ระแวงกลัวคนอื่นไปหมดได้ เพราะสำคัญผิดเอาความระแวงว่าเป็นปัญญาที่ทำตามกาลามสูตร 10 ข้อ, ทั้งที่จริงๆ แล้ว เป็นอกุศล ตัดสินคนอื่นไปแล้วโดยไม่มีวิชชา 8 ตามจริง แต่จินตนาการคนอื่นไปตามตัวอักษรที่ยึดมั่นไว้ผิดๆ. กาลามสูตรถ้าเข้าใจถูก จะได้เมตตาฌานสีมสัมเภทะ,​ แต่ถ้าตัดออกเหลือแค่ 10 ข้อ บางคนอาจได้วิจิกิจฉา วิปฏิสาร ระแวงกลัวคนอื่นไปหมดได้ เพราะสำคัญผิดเอาความระแวงว่าเป็นปัญญาที่ทำตามกาลามสูตร 10 ข้อ, ทั้งที่จริงๆ แล้ว เป็นอกุศล ตัดสินคนอื่นไปแล้วโดยไม่มีวิชชา 8 ตามจริง แต่จินตนาการคนอื่นไปตามตัวอักษรที่ยึดมั่นไว้ผิดๆ.
  
-ะนั้น ​กาลามสูตรก็ดี พระสูตรอะไรๆ ก็ดี ถ้าจิตของคนเรียนไม่ดี ก็ทำให้คนเรียนเป็นมิจฉาทิฏฐิไปได้ง่ายๆ เช่นกัน , ฉะนั้น การทำฌานเพื่อกุศลจิตที่มีกำลัง และการมีครูอาจารย์ที่ได้ฌานและทรงจำพระไตรปิฎกบาลี จึงช่วยได้มากกว่าการอ่านพระไตรปิฎกเป็นสิบๆ ปี (ประสบการณ์ส่วนตัว). ​+พึงตรนักว่า ​กาลามสูตรก็ดี พระสูตรอะไรๆ ก็ดี ถ้าจิตของคนเรียนไม่ดี ก็ทำให้คนเรียนเป็นมิจฉาทิฏฐิไปได้ง่ายๆ เช่นกัน , ฉะนั้น การทำฌานเพื่อกุศลจิตที่มีกำลัง และการมีครูอาจารย์ที่ได้ฌานและทรงจำพระไตรปิฎกบาลี จึงช่วยได้มากกว่าการอ่านพระไตรปิฎกเองเป็นสิบๆ ปี (ประสบการณ์ส่วนตัว). ​
 =ภาวนา= =ภาวนา=
 ==สีล== ==สีล==
บรรทัด 117: บรรทัด 115:
 ==สมถะ== ==สมถะ==
 ==วิปัสสนา== ==วิปัสสนา==
 +===ทำไมวิปัสสนาเป็นได้ขณิกสมาธิ?​===
 +
 +1. อัตถปฏิสัมภิทา ต้องแทงตลอดว่า "​วิปัสสนาสูงสุด คือ สิขัปปัตตะ (วิปัสสนาที่ถึงขั้นสูงสุดแล้ว พัฒนายังไงก็ไม่เกินไปกว่านี้,​ ภังคญาณ) เท่านั้น"​ ญาณต่อจากนั้น เป็นการทำพลววิปัสสนาสมาธิ คือการทำสมาธิโดยใช้วิปัสสนากรรมฐาน อันมีขันธ์เป็นปรมัตถ์อารมณ์ มีไตรลักษณ์เป็นนิมิตบัญญัติ จิตต้องรู้สลับกัน จึงเป็นขณิกสมาธิ, ​
 +
 +ทั้งอนุสัยกิเลสที่พลววิปัสสนาจะต้องละ ก็ไม่สามารถเกิดในระหว่างพลววิปัสสนาได้ด้วย คือ เมื่ออนุสัยเกิด วิปัสสนาก็ตกไปไม่มีพลัง ไม่เป็นมัคคภาวนา เริ่มใหม่ไม่ใช่สิขัปปัตตะ เป็นแค่จิตที่ไม่ได้ฝึกละนิวรณ์ คือ ไม่มีแม้กระทั่งอธิจิตตสิกขานั่นเอง,​
 +
 +และวิปัสสนาเอง ไม่สามารถมีนิพพานเป็นอารมณ์ได้ จึงไม่สามารถยังอุปจารสมาธิให้เกิดได้ ต้องรอมัคควิถีอันใกล้ต่ออัปปนาฌานจริงๆ เท่านั้น,​ ฉะนั้นจึงเป็นได้แค่ขณิกสมาธิเท่านั้น.
 +
 +จะเห็นได้ว่า เมื่อจริยานานัตตญาณ แยกอัญญาณจริยาแล้วก็ไม่พบปริยุฏฐานกิเลสให้ละไว้ข่มไว้ แบบตอนอุปจาระของสมถกัมมัฏฐาน เนื่องจากปริยุฏฐานกิเลสได้ถูกอธิจิตตสิกขาข่มไว้ดีแล้ว ด้วยโลกิยฌาน และพลววิปัสสนาสมาธิ,​ เมื่อจริยานานัตตญาณแยกความต่างของญาณจริยา คือ พลววิปัสสนาวิถีแล้ว ก็หาความเป็นอุปจาระไม่ได้ เนื่องจากแม้ทำจบทุกขั้นตอนก็ยังไปได้แค่ขณิกสมาธิ ไม่ถึงมัคคอัปปนา ทั้งโดยอารมณ์ โดยการละ และโดยกำลังของจิตตุปบาท,​ และเมื่อโคจรนานัตตญาณแยกความต่างของพลววิปัสสนาแล้ว ก็หาความเป็นนิมิตอันใกล้ต่ออัปปนาไม่ได้,​
 +
 +โดยองค์ทั้งหมดนี้ อัตถปฏิสัมภิทาก็แทงตลอดสภาวะได้ว่า "​วิปัสสนายากกว่าสมถะ เพราะความละเอียดของพหิธาคือโคจรที่ละเอียด [โคจรนานัตตะ] ระดับขณะนามรูปในภพ 3 [ภูมินานัตตะ],​ และเพราะความละเอียดของกิเลสที่ต้องละเอียดเป็นขณะนามรูปที่ยังไม่เกิด [อปริยุฏฺฐิโต] และกำลังจะไม่เกิดอีกต่อไป [อนุสัย],​ และเพราะความละเอียดของนิมิต คือ ระดับอนิมิต [นิพพาน] ที่ไม่สามารถปรากฎกับตัววิปัสสนาจารจิตเองได้"​.
 +
 +2. เมื่อรู้เห็นตามเป็นจริงว่า วิปัสสนายากกว่าสมถะ ก็ไม่หลงผิดว่า "​สมถะยากกว่าวิปัสสนา"​ ก็จะสามารถละคลายความยึดมั่นถือมั่นว่า "​ไม่มีผู้ได้ฌาน ไม่มีพระอริยเจ้า ไม่มีฉฬภิญโญ ไม่มีปฏิสัมภิทัปปัตโต"​ ที่กลุ้มรุมอยู่เพราะยึดมั่นถือมั่นอรรถกถาพระวินัย ที่จิตของปุถุชนอ่านมาผิดเพี้ยนไป จากนามรูปที่เกิดดับได้จริง [และบางทีก็อาจจะเพราะความไม่รู้ของพระเสกขะผู้ทำอริยุปวาทะและเจโตขีละ (อันนี้ผมว่ายาก แต่โดยหลักฐานแล้วกรณีนี้ก็มีอยู่อย่างน้อย 2 ที่)].
 +
 +3. ต่อแต่นั้น ธัมมปฏิสัมภิทา จึงจะแทงตลอดบาลีพร้อมทั้งอรรถกถาทั้งหมด ได้ตรงตามสนธิอนุสนธิจริงๆ จึงจะเห็นว่า มีปาฐะตกหล่นไปจากจิตของผู้อ่านมากมายเวลาใช้ปัญจทวารอันทุรพลรับเอาปริตธรรมอันกระจัดกระจายที่บัญญัติเรียกกันว่าพระไตรปิฎก อรรถกถา กระจายมากระทบตาบ้าง กระทบหูบ้าง เช่น ใน[[sutta>​เทสนาหารวิภงฺโค(th.r.46.5.0.5)]]ว่า "​ตณฺหาจริโต มนฺโท สตินฺทฺริเยน ทุกฺขาย ปฏิปทาย ทนฺธาภิญฺญาย นิยฺยาติ สติปฏฺฐาเนหิ นิสฺสเยหิฯ ตณฺหาจริโต อุทตฺโต สมาธินฺทฺริเยน ทุกฺขาย ปฏิปทาย ขิปฺปาภิญฺญาย นิยฺยาติ ฌาเนหิ นิสฺสเยหิฯ"​ จิตของผู้ไม่ทรงจำพระสูตรบาลีจะคิดบทว่า "​สติปฏฺฐาเนหิ"​ ตกหล่นผิดเพี้ยนไปเหลือแค่ "​มหาสติปฏฺฐานสุตฺเตหิ"​ ทั้งที่จริงๆ โดยข้อความมาในส่วนของสีหวิกกีฬิตนัยของวิภังค์จึงต้องมีลำดับสภาวะครบถ้วนตลอดสายตามหลักการบรรลือของราชสีห์ ดังนั้น "​สติปฏฺฐาเนหิ"​ ต้องเป็น "​สุภสุตฺเตหิ กายคตาสติสุตฺเตหิ มหาสติปฏฺฐานสุตฺเตหิ จ" เป็นต้น คือ ต้องรวบเอาสูตรที่แสดงลำดับมาครบตั้งแต่ต้นจนจบจึงจะได้ความว่า '​โดยลำดับสภาวะแล้ว คนที่กิเลสมากสุด ทั้งยังไม่มีธัมมสภาวะปฏิเวธะ จำเป็นต้องทำตามสุภสูตรครบทุกลำดับ ไล่ไปตั้งแต่อธิศีลทุกอย่างเพื่อให้ได้อินทริยสังวรในทุกอิริยาบถอันเป็นอธิจิตตสิกขา จนกว่าจะปิดทวาร 6 สมบูรณ์เแ็นอุปจาระหรือเป็น ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ เป็นต้น ซึ่งอธิจิตตสิกขาในสุภสูตรนั้น ก็ขยายออกมาเป็นกายคตาสติสูตรนั่นเอง ตามหลักสีหวิกกีฬิตนัยยังไม่ใช่มหาสติปัฏฐานสูตรก่อน'​. ​
 +
 +เมื่อผู้อ่าน ชอบอ่าน ไม่ท่องจำพระบาลี มีอาการกุศลจิตอ่อนกำลัง (ไม่เป็นมหา หรือเป็นมหาแต่ไม่ถึงมหัค) เขาจึงไม่สามารถแทงตลอดทั้งสภาวะด้วยอัตถปฏิสัมภิทา ไม่สามารถแทงตลอดทั้งบาลีด้วยอำนาจธัมมปฏิสัมภิทาตามนัยตัวอย่างที่ยกมาเล็กน้อยในเบื้องต้น ถ้าเขาเป็นปุถุชนทิฏฐิคตสัมปยุตตโลภะมูลจิตตุปบาทก็จะเกิดยึดมั่นถือมั่นว่า "​สติปฏฺฐาเนหิ ต้องเป็น มหาสติปฏฺฐานสุตฺตํ เท่านั้นจริง ถ้าพูดอย่างอื่น คำนั้นต้องเปล่าประโยชน์"​ เป็นต้น เป็นอันครบองค์ 2 ของมิจฉาทิฏฐิ เมื่อกล่าวคำใดๆ ในเรื่องนี้ออกไป เขาจะต้องมีตัณหาคาหะ มานะคาหะ ทิฏฐิคาหะเป็นปริยุฏฐานสลับกับนิวรณปริยุฏฐานแน่นอน แม้ขณะนั้นจะมีเมตตากุศลเกิดพูดอนุเคราะห์คนอื่นก็ตาม ก็จะเกิดสลับด้วยมิจฉาทิฏฐิเหล่านี้เป็นปกติ เพราะความที่ละสักกายทิฏฐิที่คิดลวกๆ มโนจินตนาการไปเองรวมๆเป็นก้อนเป็นสาย เป็นปกติของปุถุชน,​ แต่ถ้าเป็นพระอริยเจ้าผู้ทำอริยุปวาทะแม้ยึดมั่นถือมั่นอยู่ แต่จะไม่มีสักกายะทิฏฐิเห็นเป็นก้อน ไม่มีอุปาทาน 3 ยึดไว้ อย่างนี้ไม่ครบองค์ของมิจฉาทิฏฐิ,​ แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์ ผู้ไม่ได้สนใจในเรื่องเหล่านี้ เรื่องเหล่านี้ก็เป็นเท่าที่เป็นธาตุที่กระทบธาตุ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่เอียง ไม่ยุบ ไม่พอง ไม่สะดุ้งอะไรๆ. โดยประการดังกล่าว การอ่านพระไตรปิฎกเอาลวกๆ เป็นก้อนๆ จึงทำให้ปาฐะตกหล่น และทำให้โลภะทิฏฐิคตสัมปยุตของปุถุชนพอกพูดเป็นหางหมูเฝ้าวัฏฏะต่อไปไม่สิ้นสุด.
 +
 +4. โดยประสบการณ์ของผู้เขียนที่เริ่มมาจากการอ่านพระไตรปิฎก เมื่อรู้ตามเป็นจริงดังกล่าวข้างต้น ก็ต้องคอยตามล้างตามเช็ดชำระโคจร วัตถุ จริยา เหล่านั้นย้อนหลังอย่างมหาศาล ทำให้ข้าพเจ้าพบเจอการตกหล่นของอัตถะธัมมะแบบเดียวกันนี้จำนวนมากจากผู้ที่ไม่ได้ท่องจำพระสูตรบาลีในสำนักของผู้ได้ฌานที่ทรงจำพระไตรปิฎกบาลีอรรถกถาบาลี.
 +
 +5. เมื่อเข้าใจทั้ง 4 ข้อข้างต้น
  
 =วิธีทำความเข้าใจสายพะอ็อคตอยะ= =วิธีทำความเข้าใจสายพะอ็อคตอยะ=