ความแตกต่าง
นี่เป็นการแสดงความแตกต่างระหว่างเพจสองรุ่น
Both sides previous revision Previous revision Next revision | Previous revision Next revision Both sides next revision | ||
ผมพัฒนาจากสายปริยัติมาสู่สายปฏิบัติได้อย่างไร [2022/02/01 13:00] dhamma |
ผมพัฒนาจากสายปริยัติมาสู่สายปฏิบัติได้อย่างไร [2022/02/04 05:06] dhamma |
||
---|---|---|---|
บรรทัด 9: | บรรทัด 9: | ||
เพราะในธัมมัฏฐิติญาณมาติกาสอนแยกนามรูปแบบอัทธากาล 3 ดังอธิบายข้างต้นแล้ว มาติกาข้อถัดไปจึงสอนวิธีเอาปัจจุบันอัทธากาล 3 มาแยกจนเป็นสันตติกาล 3 สมยกาล 3 และขณะกาล 3 อรรถกถาสัมมสนญาณมาติกาจึงแสดงว่า "อทฺธาสนฺตติขณปจฺจุปฺปนฺเนสุ [[sutta>สนฺตติปจฺจุปฺปนฺนํ(th.r.104.12.0.43)]] อิธาธิปฺเปตํฯ" ในคำว่า สนฺตติขณปจฺจุปฺปนฺเนสุ คือ แยกอัทธาเป็นสันตติ แล้วแยกสันตติเป็นขณะ, ส่วนคำว่า สนฺตติปจฺจุปฺปนฺนํ อิธาธิปฺเปตํ คือ ในธัมมัฏฐิติญาณมาติกาแยกอัทธากาล 3 แล้ว ในสัมมสนญาณมาติกาจึงมาเอาปัจจุบันอัทธากาลนั้นมาแยกจนเป็นสันตติกาล เพื่อที่จะตามเห็นนามรูปขณะเกิดดับแบบปรมัตถ์ว่า "เอตฺถ จ [[sutta>ขณาทิกถาว(th.r.104.227.0.7)]] นิปฺปริยายา เสสา สปริยายาฯ". | เพราะในธัมมัฏฐิติญาณมาติกาสอนแยกนามรูปแบบอัทธากาล 3 ดังอธิบายข้างต้นแล้ว มาติกาข้อถัดไปจึงสอนวิธีเอาปัจจุบันอัทธากาล 3 มาแยกจนเป็นสันตติกาล 3 สมยกาล 3 และขณะกาล 3 อรรถกถาสัมมสนญาณมาติกาจึงแสดงว่า "อทฺธาสนฺตติขณปจฺจุปฺปนฺเนสุ [[sutta>สนฺตติปจฺจุปฺปนฺนํ(th.r.104.12.0.43)]] อิธาธิปฺเปตํฯ" ในคำว่า สนฺตติขณปจฺจุปฺปนฺเนสุ คือ แยกอัทธาเป็นสันตติ แล้วแยกสันตติเป็นขณะ, ส่วนคำว่า สนฺตติปจฺจุปฺปนฺนํ อิธาธิปฺเปตํ คือ ในธัมมัฏฐิติญาณมาติกาแยกอัทธากาล 3 แล้ว ในสัมมสนญาณมาติกาจึงมาเอาปัจจุบันอัทธากาลนั้นมาแยกจนเป็นสันตติกาล เพื่อที่จะตามเห็นนามรูปขณะเกิดดับแบบปรมัตถ์ว่า "เอตฺถ จ [[sutta>ขณาทิกถาว(th.r.104.227.0.7)]] นิปฺปริยายา เสสา สปริยายาฯ". | ||
- | ในอรรถกถา ญาณปัญจกะ บทว่า [[sutta>วตฺถุนานตฺเต(th.r.104.12.0.43)]] อธิบายสนธิอนุสนธิไว้ว่า การววัตถานนามรูป (ตั้งแต่ "อตีตานาคต... ววตฺถาเน"เป็นต้น ของสัมมสนญาณขึ้นไป) ไม่ได้กล่าวอธิบายไว้ในมาติกาญาณ 12 ท่านพระสารีบุตรจึงแสดงญาณปัญจกมาติกาต่อจากมาติกาของญาณ 12 แรก เพื่ออธิบายคำว่าววัตถานนั้น. ซึ่งใน[[sutta>th.r.45.77.0.4.อาวชฺชนกิริยาพฺยากตา|จริยานานตฺตญาณนิทฺเทโส]]ของญาณปัญจกนิทเทสนี้เอง แสดงการกำหนดวิถีจิตทีละดวงไว้ตั้งแต่ "[[sutta>th.r.45.77.0.4.อาวชฺชนกิริยาพฺยากตา|อาวชฺชนกิริยาพฺยากตา]]" เป็นต้นไป. ฉะนั้น เมื่อในสัมมสนญาณอุทเทสจึงดึงเอาคำว่าอัทธาในธัมมัฏฐิติญาณนิทเทสนั้นมาเป็นอุทเทสของตนว่า "อตีตานาคตปจฺจุปนฺนานํธมฺมานํ" เป็นต้น แล้วอรรถกถาสัมมสนญาณนิทเทสจึงแสดงกาล 3 แบ่งจากหยาบไปละเอียดได้ 4 ว่า "อดีตแบบอัทธา-สมยะ-สันตติิ-ขณะ, อนาคตแบบอัทธา-สมยะ-สันตติิ-ขณะ, และปัจจุบันแบบอัทธา-สมยะ-สันตติิ-ขณะ"''' ในที่นี้เองท่านจึงอธิบายคล้อยตามจริยานานัตตญาณว่า "ในคำว่า รูปอดีตไม่เที่ยงเป็นต้นนี้ มุ่งหมายเอาอดีตขณะเป็นต้นเป็นหลัก ส่วนอดีตอัทธาสมยะสันตตินั้นมุ่งหมายเอาโดยอ้อม (เอตฺถ จ ขณาทิกถาว นิปฺปริยายา เสสา สปริยายาฯ)"''' หมายความว่า ค่อยๆ แบ่งซอยความไม่เที่ยงจากหยาบระดับปัจจุบันอัทธาไปจนกว่าจะละเอียดเป็นปัจจุบันขณะ แบบที่แสดงไว้ในวิสุทธิมรรค [[sutta>อุปฺปาทกฺขเณ(th.r.151.249)|รูปอรูปสัตตกะและนามรูปนิพพัตติปัสสนาการะ]] และอรรถกถาสัมปชัญญบรรพะ. | + | ในอรรถกถา ญาณปัญจกะ บทว่า [[sutta>วตฺถุนานตฺเต(th.r.104.12.0.43)]] อธิบายสนธิอนุสนธิไว้ว่า การววัตถานนามรูป (ตั้งแต่ "อตีตานาคต... ววตฺถาเน"เป็นต้น ของสัมมสนญาณขึ้นไป) ไม่ได้กล่าวอธิบายไว้ในมาติกาญาณ 12 ท่านพระสารีบุตรจึงแสดงญาณปัญจกมาติกาต่อจากมาติกาของญาณ 12 แรก เพื่ออธิบายคำว่าววัตถานนั้น. ซึ่งใน[[sutta>th.r.45.77.0.4.อาวชฺชนกิริยาพฺยากตา|จริยานานตฺตญาณนิทฺเทโส]]ของญาณปัญจกนิทเทสนี้เอง แสดงการกำหนดวิถีจิตทีละดวงไว้ตั้งแต่ "[[sutta>th.r.45.77.0.4.อาวชฺชนกิริยาพฺยากตา|อาวชฺชนกิริยาพฺยากตา]]" เป็นต้นไป. ฉะนั้น เมื่อในสัมมสนญาณ**อุทเทส**จึงดึงเอาคำว่าอัทธาในธัมมัฏฐิติญาณ**นิทเทส**นั้นมา แล้วแยกออกเอาเฉพาะปัจจุบันอัทธามาเป็นอุทเทสของตนว่า "ธมฺมมานํ" ในอรรถกถาของอุทเทสจึงกล่าวคำว่า "[[sutta>สนฺตติปจฺจุปฺปนฺนํ อิธาธิปฺเปตํ(th.r.104.12.0.43)]]" และ เตสํ (สนฺตติปจฺจุปฺปนฺนานํ) อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนานํ ปญฺจกฺขนฺธธมฺมานํ เป็นต้น เพราะการพิจารณาเป็นอัทธานั้นสำเร็จในธัมมัฏฐิติญาณไปแล้ว จึงนำอัทธาปัจจุบันมาแยกออกเป็นสันตติปัจจุบัน เพื่อที่จะเห็นขณปัจจุบันในอุทยัพพยานุปัสสนาญาณนั่นเอง. และเพราะเหตุนี้เองเช่นกัน อรรถกถาสัมมสนญาณนิทเทสจึงแสดงกาล 3 แบ่งจากหยาบไปละเอียดได้ 4 ว่า "อดีตแบบอัทธา-สมยะ-สันตติิ-ขณะ, อนาคตแบบอัทธา-สมยะ-สันตติิ-ขณะ, และปัจจุบันแบบอัทธา-สมยะ-สันตติิ-ขณะ"''' ซึ่งในที่นี้เองท่านจึงอธิบายว่า "ในคำว่า รูปอดีตไม่เที่ยงเป็นต้นนี้ มุ่งหมายเอาอดีตขณะเป็นต้นเป็นหลัก ส่วนอดีตอัทธาสมยะสันตตินั้นมุ่งหมายเอาโดยอ้อม [[sutta>เอตฺถ จ ขณาทิกถาว นิปฺปริยายา เสสา สปริยายาฯ(th.r.104.227.0.7)]]"''' หมายความว่า ค่อยๆ แบ่งซอยความไม่เที่ยงจากหยาบระดับปัจจุบันอัทธาไปจนกว่าจะละเอียดเป็นปัจจุบันขณะ แบบที่แสดงไว้ใน[[sutta>จริยานานตฺตญาณนิทฺเทโส(th.r.45.77.0.4)]] วิสุทธิมรรค [[sutta>อุปฺปาทกฺขเณ(th.r.151.249)|รูปอรูปสัตตกะและนามรูปนิพพัตติปัสสนาการะ]] และอรรถกถาสัมปชัญญบรรพะ เรื่อง[[sutta>มูลปริญฺญา(th.r.70.258.0.17)]]. |
การที่อรรถกถาทุกแห่ง แสดงการรู้วิถีจิตที่ละปรมัตถ์ขณะไว้ ก็สอดคล้องกับ ขุ.ปฏิ.ญาณปัญจกนิทเทสนี้ที่แสดงการววัตถานปรมัตถขณะของนามรูปไว้ว่า [[sutta>th.r.45.77.0.4.อาวชฺชนกิริยาพฺยากตา]] เป็นต้น และสอดคล้องกับอภิธัมมปิฎกด้วย. | การที่อรรถกถาทุกแห่ง แสดงการรู้วิถีจิตที่ละปรมัตถ์ขณะไว้ ก็สอดคล้องกับ ขุ.ปฏิ.ญาณปัญจกนิทเทสนี้ที่แสดงการววัตถานปรมัตถขณะของนามรูปไว้ว่า [[sutta>th.r.45.77.0.4.อาวชฺชนกิริยาพฺยากตา]] เป็นต้น และสอดคล้องกับอภิธัมมปิฎกด้วย. | ||
บรรทัด 15: | บรรทัด 15: | ||
เมื่อท่านพระสารีบุตรสอนววัตถานเป็นการแยกนามรูปจนกว่าไตรลักษณ์จะชัดระดับขณะปรมัตถ์ไปแล้ว ผู้ปฏิบัติก็สามารถจะเห็นอุปาทอนุขณะและภังคอนุขณะของนามรูปได้ เพราะ[[sutta>สงฺขตลกฺขณสุตฺต(th.r.19.52)]]และอภิ.ธ.อ.ติกมาติกา [[sutta>อุปฺปนฺนตฺติเก(th.r.106.88)]] แสดงไว้สรุปว่า สังขตธรรมเท่านั้นมีอุปาทะและภังคะอนุขณะ, ฉะนั้น ผู้ฝึกแยกนามรูปจนเห็นปรมัตถ์ขณะที่มีสังขตลักษณะอย่างนี้ จึงจะเริ่มฝึกอุทยัพพยญาณได้ เพราะการฝึกอุทยัพพยญาณทุกตำราล้วนแสดงไว้สรุปว่า เป็นการเห็นอุปาทะอนุขณะและภังคอนุขณะของขันธ์ ตั้งแต่ขุ.ปฏิสัมภิทามรรคว่า [[sutta>จิตฺตสฺส ภงฺคํ อนุปสฺสติ(th.r.45.55)]], ที.ม.มหาสติปัฏฐานสูตรว่า [[sutta>สมุทยวยธมฺมานุปสฺสี(th.r.7.232)]], ตำราของพระมหาเถระรุ่นก่อนๆทั้งหลาย เช่น พระพุทธโฆสเถระ-[[sutta>ภงฺคกฺขเณ(th.r.151.265.0.4)]], พระมหานามเถระ-[[sutta>ภงฺคกฺขเณ(th.r.151.265.0.4)]], พระพุทธทัตตะเถระ-[[sutta>ยทุปฺปาทฏฺฐิติอาทีหิ ปสฺสโต(th.r.146.476)]], วิสุทธิมรรคมหาฏีกา พระธัมมปาลเถระ (เป็นทั้งพระอรรถกถาจารย์และพระฏีกาจารย์)-สนฺตติวเสน หิ รูปารูปธมฺเม อุทยโต, วยโต จ มนสิ กโรนฺตสฺส อนุกฺกเมน ภาวนาย พลปฺปตฺตกาเล [[sutta>ญาณสฺส ติกฺขวิสทภาวปฺปตฺติยา ขณโต(th.r.153.422)]] อุทยพฺพยา อุปฏฺฐหนฺตีติฯ อยญฺหิ ปฐมํ ปจฺจยโต อุทยพฺพยํ มนสิ กโรนฺโต อวิชฺชาทิเก ปจฺจยธมฺเม วิสฺสชฺเชตฺวา อุทยพฺพยวนฺเต ขนฺเธ คเหตฺวา เตสํ ปจฺจยโต อุทยพฺพยทสฺสนมุเขน ขณโตปิ อุทยพฺพยํ มนสิ กโรติฯ, พระอนุรุธาจารย์-[[sutta>ขณวเสน(th.r.147.64)]], พระสุมังคลมหาสามี-[[sutta>อตีตาทิขณวเสน(th.r.147.270)]], พระอุปติสสเถระ (วิมุตติมรรค) เป็นต้น ดังได้ยกหลักฐานมาข้างต้น. | เมื่อท่านพระสารีบุตรสอนววัตถานเป็นการแยกนามรูปจนกว่าไตรลักษณ์จะชัดระดับขณะปรมัตถ์ไปแล้ว ผู้ปฏิบัติก็สามารถจะเห็นอุปาทอนุขณะและภังคอนุขณะของนามรูปได้ เพราะ[[sutta>สงฺขตลกฺขณสุตฺต(th.r.19.52)]]และอภิ.ธ.อ.ติกมาติกา [[sutta>อุปฺปนฺนตฺติเก(th.r.106.88)]] แสดงไว้สรุปว่า สังขตธรรมเท่านั้นมีอุปาทะและภังคะอนุขณะ, ฉะนั้น ผู้ฝึกแยกนามรูปจนเห็นปรมัตถ์ขณะที่มีสังขตลักษณะอย่างนี้ จึงจะเริ่มฝึกอุทยัพพยญาณได้ เพราะการฝึกอุทยัพพยญาณทุกตำราล้วนแสดงไว้สรุปว่า เป็นการเห็นอุปาทะอนุขณะและภังคอนุขณะของขันธ์ ตั้งแต่ขุ.ปฏิสัมภิทามรรคว่า [[sutta>จิตฺตสฺส ภงฺคํ อนุปสฺสติ(th.r.45.55)]], ที.ม.มหาสติปัฏฐานสูตรว่า [[sutta>สมุทยวยธมฺมานุปสฺสี(th.r.7.232)]], ตำราของพระมหาเถระรุ่นก่อนๆทั้งหลาย เช่น พระพุทธโฆสเถระ-[[sutta>ภงฺคกฺขเณ(th.r.151.265.0.4)]], พระมหานามเถระ-[[sutta>ภงฺคกฺขเณ(th.r.151.265.0.4)]], พระพุทธทัตตะเถระ-[[sutta>ยทุปฺปาทฏฺฐิติอาทีหิ ปสฺสโต(th.r.146.476)]], วิสุทธิมรรคมหาฏีกา พระธัมมปาลเถระ (เป็นทั้งพระอรรถกถาจารย์และพระฏีกาจารย์)-สนฺตติวเสน หิ รูปารูปธมฺเม อุทยโต, วยโต จ มนสิ กโรนฺตสฺส อนุกฺกเมน ภาวนาย พลปฺปตฺตกาเล [[sutta>ญาณสฺส ติกฺขวิสทภาวปฺปตฺติยา ขณโต(th.r.153.422)]] อุทยพฺพยา อุปฏฺฐหนฺตีติฯ อยญฺหิ ปฐมํ ปจฺจยโต อุทยพฺพยํ มนสิ กโรนฺโต อวิชฺชาทิเก ปจฺจยธมฺเม วิสฺสชฺเชตฺวา อุทยพฺพยวนฺเต ขนฺเธ คเหตฺวา เตสํ ปจฺจยโต อุทยพฺพยทสฺสนมุเขน ขณโตปิ อุทยพฺพยํ มนสิ กโรติฯ, พระอนุรุธาจารย์-[[sutta>ขณวเสน(th.r.147.64)]], พระสุมังคลมหาสามี-[[sutta>อตีตาทิขณวเสน(th.r.147.270)]], พระอุปติสสเถระ (วิมุตติมรรค) เป็นต้น ดังได้ยกหลักฐานมาข้างต้น. | ||
- | เมื่อท่องทบทวนบาลีปฏิสัมภิทามรรคจนเห็นสนธิอย่างนี้แล้ว ผู้ที่แคลงใจเรื่องกาล 3 นี้ จึงจะตัดสินใจได้ชัดเจนว่า อรรถกถาปฏิสัมภิทามรรคสมบูรณ์ดี ไม่ได้ขัดแย้งกัน. | ||
- | บางมติว่า "น [[sutta>สาวกานํ(th.r.163.426)]]-สาวกไม่สามารถเห็นขณะปรมัตถ์ได้" คำนั้นข้าพเจ้าไม่พบหลักฐานจากตำราใดๆ ที่ตรงกันเลย. และเป็นมติที่ขัดแย้งกับพระบาลีจำนวนมาก เช่น ตามหลักวิถีจิตในอภิธรรมที่แม้แต่ปัญจทวารวิถีของเดรัจฉานก็สามารถรับรู้ขณะปรมัตถ์ได้ และ แม้อกุศลจิตก็รู้ขณะปรมัตถ์ได้ ([[sutta>อกุสลานิ(th.r.147.21.1.0)]]...โลกุตฺตรวชฺชิตสพฺพารมฺมณานิ) ถ้าจิตแม้อกุศลยังรู้ขณะปรมัตถ์จะมีเหตุอะไรให้กุศลจิตรู้ขณะปรมัตถ์และญาณสัมปยุตจิตแทงตลอดขณะปรมัตถ์ไม่ได้เล่า, ถ้ามีความเห็นว่าไม่สามารถเห็นปรมัตถขณะได้ ก็เท่ากับทำอริยุปวาทในพระอริยเจ้าผู้ทรงจำพระบาลีสืบกันมาทั้งหลายว่า "อภิธรรมที่เรียนสืบกันมาทั้งหมดเป็นแค่จินตนาการตามๆ กันมาเท่านั้น ไม่ได้เห็นของจริง" ซึ่งอริยุปวาทะเป็นเหตุให้เรียนพระบาลีไม่รู้เรื่องและบรรลุยาก, หรือ หลักฐานข้างต้นที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาก่อนนั้นทั้งหมด ก็ล้วนสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน. ความจริง ขณะปรมัตถ์มีอยู่แล้วและหมู่สัตว์ก็รู้จักอยู่แล้วก่อนพระพุทธเจ้าจะอุบัติในโลก แต่ไม่มีใครสามารถจะแยกนามรูปปรมัตถ์ขณะในทุกอย่างจนเหลือเพียงฆนวินิพโภคสัญญาอันเป็นปหานปริญญาได้แบบที่พระพุทธเจ้าทำได้เป็นพระองค์แรก. | + | |
+ | เมื่อท่องทบทวนบาลีปฏิสัมภิทามรรคจนเห็นสนธิอย่างนี้แล้ว ผู้ที่แคลงใจเรื่องกาล 3 แบบอัทธาสมยะสันตติและขณะนี้ จึงจะตัดสินใจได้ชัดเจนว่า อรรถกถาปฏิสัมภิทามรรคสมบูรณ์ดี ไม่ได้ขัดแย้งกัน. | ||
+ | |||
+ | บางมติว่า "น [[sutta>สาวกานํ(th.r.163.426)]]-สาวกไม่สามารถเห็นขณะปรมัตถ์ได้" คำนั้นข้าพเจ้าไม่พบหลักฐานจากตำราใดๆ ที่ตรงกันเลย. และเป็นมติที่ขัดแย้งกับพระบาลีจำนวนมาก เช่น ตามหลักวิถีจิตในอภิธรรมที่แม้แต่ปัญจทวารวิถีของเดรัจฉานก็สามารถรับรู้ขณะปรมัตถ์ได้ และ แม้อกุศลจิตก็รู้ขณะปรมัตถ์ได้ ([[sutta>อกุสลานิ(th.r.147.21.1.0)]]...โลกุตฺตรวชฺชิตสพฺพารมฺมณานิ) ถ้าจิตแม้อกุศลยังรู้ขณะปรมัตถ์จะมีเหตุอะไรให้กุศลจิตรู้ขณะปรมัตถ์และญาณสัมปยุตจิตแทงตลอดขณะปรมัตถ์ไม่ได้เล่า, ถ้ามีความเห็นว่าไม่สามารถเห็นปรมัตถขณะได้ ก็เท่ากับทำอริยุปวาทในพระอริยเจ้าผู้ทรงจำพระบาลีสืบกันมาทั้งหลายว่า "อภิธรรมที่เรียนสืบกันมาทั้งหมดเป็นแค่จินตนาการตามๆ กันมาเท่านั้น ไม่ได้เห็นของจริง" ซึ่งอริยุปวาทะเป็นเหตุให้เรียนพระบาลีไม่รู้เรื่องและบรรลุยาก, หรือ หลักฐานข้างต้นที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาก่อนนั้นทั้งหมด ก็ล้วนสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน. ความจริง ขณะปรมัตถ์มีอยู่แล้วและหมู่สัตว์ก็รู้จักอยู่แล้วก่อนพระพุทธเจ้าจะอุบัติในโลก แต่ไม่มีใครสามารถจะแยกนามรูปปรมัตถ์ขณะในทุกอย่างจนเหลือเพียงฆนวินิพโภคสัญญาอันเป็นปหานปริญญาได้แบบที่พระพุทธเจ้าทำได้เป็นพระองค์แรก จึงตรัสสอนสาวกให้รู้ตามได้ด้วย. | ||
ในบรรดาศาสตร์ทั้งหลายที่มีในโลกที่ข้าพเจ้าเคยศึกษามา ข้าพเจ้าไม่พบคำสอนใดเลยที่สอนเรื่องนามรูปนับไม่ถ้วนเกิดดับล้านๆครั้งในเสี้ยววินาที แม้แต่วิทยาศาสตร์ที่รู้ว่าอนุภาควิ่งได้ไวมากนั้น ก็ยังถือว่าอนุภาค 1 วินาทีนั้นเป็นอนุภาคเดียวกันทั้ง 1 วินาที ไม่ได้เกิดดับ(แค่เคลื่อนที่เร็ว), หรือ เรื่องแสงปริกัมโมภาสซึ่งเป็นของปรากฎได้ยากก็ยังมีกล่าวถึงในลัทธิอื่น แต่เรื่องนามรูปปรมัตถ์นี้ไม่เคยมีลัทธิไหนกล่าวถึงสมบูรณ์แบบในระดับสภาคฆฏนาแบบฆนะ 4 มาก่อน และก็จะไม่มีต่อไปในอนาคตด้วย. และข้าพเจ้าไม่พบวิธีใดๆ ที่จะสอนเรื่องเกิดดับปรมัตถ์นี้ให้รู้เรื่องได้ง่ายเลย นอกจากการทำฌานสมาธิแล้วแยกนามรูปไปตามลำดับเป็นระบบตามพระอริยเจ้าผู้ทรงจำพระไตรปิฎกบาลีสอนสืบๆกันมา. บัณฑิตทั้งหลาย ควรเรียนเอาพระกรรมฐานและพระไตรปิฎกทั้งปวงจากผู้ทรงจำพระไตรปิฎกบาลีอย่างเช่นพะอ็อคตอยะสยาดอเถิด เพราะท่านเป็นผู้มีความละอาย ผู้ทรงจำสืบต่อจากพระอริยเจ้ารุ่นก่อนๆ ผู้ชำนาญกรรมฐานทั้งปวงและผู้ทบทวนพระไตรปิฎกบาลีมาแล้วถึง 6 รอบ. อย่าประมาทว่าจะสามารถอ่านเรื่องพวกนี้แล้วแทงตลอดได้เองเลย เพราะพระเถระทั้งหลายจะตำหนิเอาเป็นแน่ ดังที่มีมาแล้วว่า'''แม้ผู้ทรงจำนิกายทั้ง 5 ก็ถูกตำหนิ เพราะไม่ได้เรียนวิธีรักษาพระบาลีสืบต่อจากผู้ทรงจำพระไตรปิฎกรุ่นก่อนๆ'''ใน วิสุทฺธิ. [[sutta>คนฺโถ(th.r.150.92)]] ปลิโพโธ แสดงไว้. | ในบรรดาศาสตร์ทั้งหลายที่มีในโลกที่ข้าพเจ้าเคยศึกษามา ข้าพเจ้าไม่พบคำสอนใดเลยที่สอนเรื่องนามรูปนับไม่ถ้วนเกิดดับล้านๆครั้งในเสี้ยววินาที แม้แต่วิทยาศาสตร์ที่รู้ว่าอนุภาควิ่งได้ไวมากนั้น ก็ยังถือว่าอนุภาค 1 วินาทีนั้นเป็นอนุภาคเดียวกันทั้ง 1 วินาที ไม่ได้เกิดดับ(แค่เคลื่อนที่เร็ว), หรือ เรื่องแสงปริกัมโมภาสซึ่งเป็นของปรากฎได้ยากก็ยังมีกล่าวถึงในลัทธิอื่น แต่เรื่องนามรูปปรมัตถ์นี้ไม่เคยมีลัทธิไหนกล่าวถึงสมบูรณ์แบบในระดับสภาคฆฏนาแบบฆนะ 4 มาก่อน และก็จะไม่มีต่อไปในอนาคตด้วย. และข้าพเจ้าไม่พบวิธีใดๆ ที่จะสอนเรื่องเกิดดับปรมัตถ์นี้ให้รู้เรื่องได้ง่ายเลย นอกจากการทำฌานสมาธิแล้วแยกนามรูปไปตามลำดับเป็นระบบตามพระอริยเจ้าผู้ทรงจำพระไตรปิฎกบาลีสอนสืบๆกันมา. บัณฑิตทั้งหลาย ควรเรียนเอาพระกรรมฐานและพระไตรปิฎกทั้งปวงจากผู้ทรงจำพระไตรปิฎกบาลีอย่างเช่นพะอ็อคตอยะสยาดอเถิด เพราะท่านเป็นผู้มีความละอาย ผู้ทรงจำสืบต่อจากพระอริยเจ้ารุ่นก่อนๆ ผู้ชำนาญกรรมฐานทั้งปวงและผู้ทบทวนพระไตรปิฎกบาลีมาแล้วถึง 6 รอบ. อย่าประมาทว่าจะสามารถอ่านเรื่องพวกนี้แล้วแทงตลอดได้เองเลย เพราะพระเถระทั้งหลายจะตำหนิเอาเป็นแน่ ดังที่มีมาแล้วว่า'''แม้ผู้ทรงจำนิกายทั้ง 5 ก็ถูกตำหนิ เพราะไม่ได้เรียนวิธีรักษาพระบาลีสืบต่อจากผู้ทรงจำพระไตรปิฎกรุ่นก่อนๆ'''ใน วิสุทฺธิ. [[sutta>คนฺโถ(th.r.150.92)]] ปลิโพโธ แสดงไว้. | ||
บรรทัด 39: | บรรทัด 41: | ||
===ถามว่า แต่คฤหัสอย่างท่านพระยสกุลบุตรหรือพระเจ้าอชาตสัตตุเป็นต้น ก็ไม่ได้ฌานวสีมาก่อนไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงไม่ยกสูตรที่แสดงกับท่านพระยสกุลบุตรหรือพระเจ้าอชาตสัตตุมาเทียบกับมาติกาปฏิสัมภิทามรรคนี้?=== | ===ถามว่า แต่คฤหัสอย่างท่านพระยสกุลบุตรหรือพระเจ้าอชาตสัตตุเป็นต้น ก็ไม่ได้ฌานวสีมาก่อนไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงไม่ยกสูตรที่แสดงกับท่านพระยสกุลบุตรหรือพระเจ้าอชาตสัตตุมาเทียบกับมาติกาปฏิสัมภิทามรรคนี้?=== | ||
- | ตอบว่า กรณีท่าน[[สามุกฺกํสิกา(th.r.3.22.0.0.0)|พระยสกุลบุตร]]หรือ[[ธมฺมจกฺขุํ(th.r.6.44.0.37)|พระเจ้าอชาตสัตตุ]]เมื่อเทียบกันก็เท่ากับนิทเทสแห่งมาติกาปฏิสัมภิทามรรคที่มีความยาวและเป็นลำดับจึงจะถูก แต่ไม่อาจเทียบกับอนัตตลักขณสูตรที่มีความย่อปรับแต่งเฉพาะบุคคลผู้มีอินทรีย์กล้าได้ เพราะในพระไตรปิฎกบาลีโดยมากถ้าคฤหัสถ์ที่จะบรรลุนั้นบรรลุในทีแรกที่ฟังธรรมเลย ก็มักจะย่อธรรมที่แสดงกับคฤหัสถ์ผู้ไม่ใช่มาณพปริพาชกนักบวรที่สามารถบรรลุเป็นพระโสดาบันในสูตรนั้นไว้ เพราะเนื้อหามีความยาวมาก เมื่อจะไม่ย่อก็จะยาวมากดังที่สามัญญผลสูตรกะ[[สามญฺญผล(th.r.6.44.0.37)|พระเจ้าอชาตสัตตุ]]ไว้ ซึ่งยากต่อการท่องจำในระบบมุขปาฐะจึงย่อไว้. แม้คฤหัสถ์ที่บรรลุใน[[https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/seek_th.php?text=อนุปุพฺพ&book=18&bookZ=25|ธัมมบทและชาดก]]ท่านก็ทำสนธิอนุสนธิไว้อย่างนี้เช่นกัน คือ ถ้าเป็นครั้งแรกก็แสดงยาวมากแล้วย่อไว้ว่าเป็นอนุปุพพิกถาบ้าง เป็นมัคคสัจในอริยสัจจกถาบ้าง ([[https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=13&h=ก็เบื้องหน้าแต่นี้ไป ข้าพเจ้าจะไม่กล่าวคำว่า ตรัสเรื่องสองเรื่องนี้|ซึ่งก็ย่อในย่ออีกที]]) แต่ถ้าผู้ฟังเคยติดตามฟังจำธรรมของพระพุทธเจ้ามาก่อนแล้วจึงอาจจะแสดงสั้นลงก็น่าจะเป็นไปได้. เป็นความจริงว่า ผู้ที่อ่านฉบับแปลเอาเองไม่ได้ทรงจำในระบบมุขปาฐะกะผู้ทรงจำพระไตรปิฎกบาลีที่ชำนาญกรรมฐาน อย่างเช่นพะอ็อคตอยะสยาดอ เป็นต้น จะไม่สามารถขยายบท 6 อรรถ 6 ที่ย่อไว้เหล่านี้ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ได้เลย เขาผู้ประมาทในพระอริยเจ้าทั้งหลายก็จะสัมพันธ์บทต่างๆ ในพระไตรปิฎก ด้วยอำนาจคาหะ 3 บ้าง ด้วยอำนาจความเคยชินของตนเองบ้าง ซึ่งอาจไม่สมควรต่อพุทธพจน์และบางครั้งอาจไม่เหมาะกะผู้ฟังทำให้ไม่อาจเกิดดวงตาเห็นธรรมได้ เหตุนี้พระเถระในสมัยโบราณจึงได้ตำหนิการเรียนผิดวิถีนี้ไว้ในเรื่องใน วิสุทฺธิ. [[sutta>คนฺโถ(th.r.150.92)]] ปลิโพโธ. ฉะนั้น ไม่สมควรจะกล่าวเปรียบเทียบว่า "ในอนัตตลักขณสูตรท่านแสดงการพิจารณานามรูปในอดีตอนาคตปัจจุบันแก่บุคคลผู้ไม่มีบุญและไม่ได้ฌานวสีมาก่อน" นั้นไปเองว่าเป็นเช่นเดียวกับที่ทรงแสดงกะท่านพระยสกุลบุตรหรือพระเจ้าอชาตสัตตุ แต่ควรจะกล่าวว่า "สูตรที่แสดงกะคฤหัสถ์อย่างท่านพระยสกุลบุตรหรือพระเจ้าอชาตสัตตุนั้น แสดงละเอียดเป็นเช่นเดียวกับมาติกาปฎิสัมภิทามรรคที่ข้าพเจ้าได้แสดงไว้ข้างต้น". | + | ตอบว่า กรณีท่าน[[sutta>สามุกฺกํสิกา(th.r.3.22.0.0.0)|พระยสกุลบุตร]]หรือ[[sutta>ธมฺมจกฺขุํ(th.r.6.44.0.37)|พระเจ้าอชาตสัตตุ]]เมื่อเทียบกันก็เท่ากับนิทเทสแห่งมาติกาปฏิสัมภิทามรรคที่มีความยาวและเป็นลำดับจึงจะถูก แต่ไม่อาจเทียบกับอนัตตลักขณสูตรที่มีความย่อปรับแต่งเฉพาะบุคคลผู้มีอินทรีย์กล้าได้ เพราะในพระไตรปิฎกบาลีโดยมากถ้าคฤหัสถ์ที่จะบรรลุนั้นบรรลุในทีแรกที่ฟังธรรมเลย ก็มักจะย่อธรรมที่แสดงกับคฤหัสถ์ผู้ไม่ใช่มาณพปริพาชกนักบวรที่สามารถบรรลุเป็นพระโสดาบันในสูตรนั้นไว้ เพราะเนื้อหามีความยาวมาก เมื่อจะไม่ย่อก็จะยาวมากดังที่สามัญญผลสูตรกะ[[sutta>สามญฺญผล(th.r.6.44.0.37)|พระเจ้าอชาตสัตตุ]]ไว้ ซึ่งยากต่อการท่องจำในระบบมุขปาฐะจึงย่อไว้. แม้คฤหัสถ์ที่บรรลุใน[[https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/seek_th.php?text=อนุปุพฺพ&book=18&bookZ=25|ธัมมบทและชาดก]]ท่านก็ทำสนธิอนุสนธิไว้อย่างนี้เช่นกัน คือ ถ้าเป็นครั้งแรกก็แสดงยาวมากแล้วย่อไว้ว่าเป็นอนุปุพพิกถาบ้าง เป็นมัคคสัจในอริยสัจจกถาบ้าง ([[https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=13&h=ก็เบื้องหน้าแต่นี้ไป ข้าพเจ้าจะไม่กล่าวคำว่า ตรัสเรื่องสองเรื่องนี้|ซึ่งก็ย่อในย่ออีกที]]) แต่ถ้าผู้ฟังเคยติดตามฟังจำธรรมของพระพุทธเจ้ามาก่อนแล้วจึงอาจจะแสดงสั้นลงก็น่าจะเป็นไปได้. เป็นความจริงว่า ผู้ที่อ่านฉบับแปลเอาเองไม่ได้ทรงจำในระบบมุขปาฐะกะผู้ทรงจำพระไตรปิฎกบาลีที่ชำนาญกรรมฐาน อย่างเช่นพะอ็อคตอยะสยาดอ เป็นต้น จะไม่สามารถขยายบท 6 อรรถ 6 ที่ย่อไว้เหล่านี้ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ได้เลย เขาผู้ประมาทในพระอริยเจ้าทั้งหลายก็จะสัมพันธ์บทต่างๆ ในพระไตรปิฎก ด้วยอำนาจคาหะ 3 บ้าง ด้วยอำนาจความเคยชินของตนเองบ้าง ซึ่งอาจไม่สมควรต่อพุทธพจน์และบางครั้งอาจไม่เหมาะกะผู้ฟังทำให้ไม่อาจเกิดดวงตาเห็นธรรมได้ เหตุนี้พระเถระในสมัยโบราณจึงได้ตำหนิการเรียนผิดวิถีนี้ไว้ในเรื่องใน วิสุทฺธิ. [[sutta>คนฺโถ(th.r.150.92)]] ปลิโพโธ. ฉะนั้น ไม่สมควรจะกล่าวเปรียบเทียบว่า "ในอนัตตลักขณสูตรท่านแสดงการพิจารณานามรูปในอดีตอนาคตปัจจุบันแก่บุคคลผู้ไม่มีบุญและไม่ได้ฌานวสีมาก่อน" นั้นไปเองว่าเป็นเช่นเดียวกับที่ทรงแสดงกะท่านพระยสกุลบุตรหรือพระเจ้าอชาตสัตตุ แต่ควรจะกล่าวว่า "สูตรที่แสดงกะคฤหัสถ์อย่างท่านพระยสกุลบุตรหรือพระเจ้าอชาตสัตตุนั้น แสดงละเอียดเป็นเช่นเดียวกับมาติกาปฎิสัมภิทามรรคที่ข้าพเจ้าได้แสดงไว้ข้างต้น". |
===ถ้าตั้งคำถามว่า "คนสมัยนี้แค่เพียงญาตปริญญาก็ไม่ได้แล้ว จะกล่าวถึงอุทยัพพยญาณไปทำไม" อย่างนี้ถูกหรือไม่?=== | ===ถ้าตั้งคำถามว่า "คนสมัยนี้แค่เพียงญาตปริญญาก็ไม่ได้แล้ว จะกล่าวถึงอุทยัพพยญาณไปทำไม" อย่างนี้ถูกหรือไม่?=== |