ความแตกต่าง
นี่เป็นการแสดงความแตกต่างระหว่างเพจสองรุ่น
ที:สี:พรหมชาลสูตร [2021/05/30 11:03] dhamma ถูกสร้าง |
ที:สี:พรหมชาลสูตร [2021/05/30 11:21] dhamma |
||
---|---|---|---|
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
- | <webcode name="Default" frameborder=0 width=100% scrolling=yes externalResources="," renderingMode=story ><center><font class=head1>พระไตรปิฎกเล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑ <font color=darkgoldenrod>[ฉบับมหาจุฬาฯ]</font> | + | <html><center><font class=head1>พระไตรปิฎกเล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑ <font color=darkgoldenrod></br> |
+ | |||
+ | [ฉบับมหาจุฬาฯ]</font> | ||
<font color=darkblue>ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค</font></font></center></div> | <font color=darkblue>ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค</font></font></center></div> | ||
- | <TABLE width=92% align=center border=0 background="" cellpadding=0 cellspacing=0> | + | <center class=n>พระสุตตันตปิฎก |
- | <tr><td><img height=1 width=1 src="space1.gif"></td> | + | |
- | <tr><td bgcolor=darkgreen vspace=0 hspace=0 ><img height=1 src="space1.gif"></td></table></div> | + | |
- | <DIV class=e><pre><a name=p1></a><center class=n>พระสุตตันตปิฎก | + | |
</center><center class=n>ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค | </center><center class=n>ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค | ||
</center><center class=n>_____________ | </center><center class=n>_____________ | ||
บรรทัด 11: | บรรทัด 10: | ||
</center><center>ว่าด้วยข่ายแห่งพระสัพพัญญุตญาณอันประเสริฐ | </center><center>ว่าด้วยข่ายแห่งพระสัพพัญญุตญาณอันประเสริฐ | ||
</center><center>เรื่องสุปปิยปริพาชกกับพรหมทัตมาณพ | </center><center>เรื่องสุปปิยปริพาชกกับพรหมทัตมาณพ | ||
- | </center> [๑]<a name=1></a> ข้าพเจ้า<sup>๑-</sup> ได้สดับมาอย่างนี้ | + | </center></br> |
- | สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จทางไกลระหว่างกรุงราชคฤห์กับเมืองนาลันทา | + | |
+ | [๑]<a name=1></a> ข้าพเจ้า<sup>๑-</sup> ได้สดับมาอย่างนี้ | ||
+ | </br> สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จทางไกลระหว่างกรุงราชคฤห์กับเมืองนาลันทา | ||
พร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป แม้สุปปิยปริพาชก<sup>๒-</sup> ก็ได้เดินทางไกล | พร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป แม้สุปปิยปริพาชก<sup>๒-</sup> ก็ได้เดินทางไกล | ||
ระหว่างกรุงราชคฤห์กับเมืองนาลันทา พร้อมด้วยพรหมทัตมาณพผู้เป็นศิษย์เช่นเดียวกัน | ระหว่างกรุงราชคฤห์กับเมืองนาลันทา พร้อมด้วยพรหมทัตมาณพผู้เป็นศิษย์เช่นเดียวกัน | ||
บรรทัด 19: | บรรทัด 20: | ||
พุทธ พระธรรม พระสงฆ์หลายอย่าง อาจารย์กับศิษย์มีถ้อยคำขัดแย้งในลักษณะ | พุทธ พระธรรม พระสงฆ์หลายอย่าง อาจารย์กับศิษย์มีถ้อยคำขัดแย้งในลักษณะ | ||
ตรงกันข้ามอย่างนี้ขณะเดินตามหลังพระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ไป | ตรงกันข้ามอย่างนี้ขณะเดินตามหลังพระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ไป | ||
- | [๒]<a name=2></a> ต่อมา พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าประทับแรม ณ พระตำหนักหลวงใน | + | </br> |
+ | |||
+ | [๒]<a name=2></a> ต่อมา พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าประทับแรม ณ พระตำหนักหลวงใน | ||
พระราชอุทยานอัมพลัฏฐิกาพร้อมกับภิกษุสงฆ์ แม้สุปปิยปริพาชกก็เข้าพักแรม ณ | พระราชอุทยานอัมพลัฏฐิกาพร้อมกับภิกษุสงฆ์ แม้สุปปิยปริพาชกก็เข้าพักแรม ณ | ||
พระตำหนักหลวงในพระราชอุทยานกับพรหมทัตมาณพเช่นเดียวกัน ณ ที่นั้น | พระตำหนักหลวงในพระราชอุทยานกับพรหมทัตมาณพเช่นเดียวกัน ณ ที่นั้น | ||
บรรทัด 25: | บรรทัด 28: | ||
พรหมทัตมาณพผู้เป็นศิษย์ของเขากลับกล่าวยกย่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ | พรหมทัตมาณพผู้เป็นศิษย์ของเขากลับกล่าวยกย่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ | ||
หลายอย่าง อาจารย์กับศิษย์มีถ้อยคำขัดแย้งในลักษณะตรงกันข้ามอย่างนี้ | หลายอย่าง อาจารย์กับศิษย์มีถ้อยคำขัดแย้งในลักษณะตรงกันข้ามอย่างนี้ | ||
- | <a name=p1attha></a><a href=#p1attha><small class=atta>@เชิงอรรถ :</small></a> | + | <a name=p1attha></a><a href=#p1attha><small class=atta></br></br>@เชิงอรรถ :</small></a> |
<small>@<sup>๑</sup> คำว่า ข้าพเจ้า ในตอนเริ่มต้นของพระสูตรนี้และพระสูตรอื่นๆ ในเล่มนี้ หมายถึงพระอานนท์</small> | <small>@<sup>๑</sup> คำว่า ข้าพเจ้า ในตอนเริ่มต้นของพระสูตรนี้และพระสูตรอื่นๆ ในเล่มนี้ หมายถึงพระอานนท์</small> | ||
<small>@<sup>๒</sup> สาวกของครูสัญชัย เวลัฏฐบุตร เป็นนักบวชปริพาชกนิกายหนึ่งที่นุ่งผ้าขาว (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=35&modeTY=2&edition=thai>๑/๓๕</a>)</small> | <small>@<sup>๒</sup> สาวกของครูสัญชัย เวลัฏฐบุตร เป็นนักบวชปริพาชกนิกายหนึ่งที่นุ่งผ้าขาว (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=35&modeTY=2&edition=thai>๑/๓๕</a>)</small> | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p2></a><a href=#p2><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p2></a><a href=#p2><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> วิธีปฏิบัติเมื่อมีคนติเตียนหรือยกย่องพระรัตนตรัย | + | |
- | </p class=reftop> [๓]<a name=3></a> ครั้นเวลาใกล้รุ่ง ภิกษุหลายรูปลุกขึ้นนั่งสนทนากันในหอนั่ง<sup>๑-</sup> ว่า “ท่าน | + | [๑. พรหมชาลสูตร] |
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> วิธีปฏิบัติเมื่อมีคนติเตียนหรือยกย่องพระรัตนตรัย | ||
+ | </p class=reftop></br> | ||
+ | |||
+ | [๓]<a name=3></a> ครั้นเวลาใกล้รุ่ง ภิกษุหลายรูปลุกขึ้นนั่งสนทนากันในหอนั่ง<sup>๑-</sup> ว่า “ท่าน | ||
ผู้มีอายุ น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยปรากฏ พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้ทรงเห็นเป็นพระ | ผู้มีอายุ น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยปรากฏ พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้ทรงเห็นเป็นพระ | ||
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงทราบว่าสัตว์มีอัธยาศัยต่างกัน ดังที่ | อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงทราบว่าสัตว์มีอัธยาศัยต่างกัน ดังที่ | ||
บรรทัด 39: | บรรทัด 46: | ||
หลายอย่าง อาจารย์กับศิษย์มีถ้อยคำขัดแย้งในลักษณะตรงกันข้ามขณะเดินตามหลัง | หลายอย่าง อาจารย์กับศิษย์มีถ้อยคำขัดแย้งในลักษณะตรงกันข้ามขณะเดินตามหลัง | ||
พระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ไป” | พระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ไป” | ||
- | [๔]<a name=4></a> ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบคำสนทนาของภิกษุเหล่านั้น จึง | + | </br> |
+ | |||
+ | [๔]<a name=4></a> ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบคำสนทนาของภิกษุเหล่านั้น จึง | ||
เสด็จไปที่หอนั่ง ประทับนั่งบนพระพุทธอาสน์ที่ปูลาดไว้แล้วตรัสถามว่า “ภิกษุทั้งหลาย | เสด็จไปที่หอนั่ง ประทับนั่งบนพระพุทธอาสน์ที่ปูลาดไว้แล้วตรัสถามว่า “ภิกษุทั้งหลาย | ||
เวลานี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร พูดเรื่องอะไรค้างไว้” | เวลานี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร พูดเรื่องอะไรค้างไว้” | ||
- | เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ ภิกษุเหล่านั้นจึงกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ | + | </br> เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ ภิกษุเหล่านั้นจึงกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ |
ผู้เจริญ เมื่อพวกข้าพระพุทธเจ้าลุกขึ้นเวลาใกล้รุ่งได้สนทนากันในหอนั่งว่า ‘ท่าน | ผู้เจริญ เมื่อพวกข้าพระพุทธเจ้าลุกขึ้นเวลาใกล้รุ่งได้สนทนากันในหอนั่งว่า ‘ท่าน | ||
ผู้มีอายุ น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยปรากฏ พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้ทรงเห็นเป็นพระ | ผู้มีอายุ น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยปรากฏ พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้ทรงเห็นเป็นพระ | ||
บรรทัด 52: | บรรทัด 61: | ||
พระผู้มีพระภาคเสด็จมาถึง พระพุทธเจ้าข้า” | พระผู้มีพระภาคเสด็จมาถึง พระพุทธเจ้าข้า” | ||
<center>วิธีปฏิบัติเมื่อมีคนติเตียนหรือยกย่องพระรัตนตรัย | <center>วิธีปฏิบัติเมื่อมีคนติเตียนหรือยกย่องพระรัตนตรัย | ||
- | </center> [๕]<a name=5></a> พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ถึงคนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเตียน | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๕]<a name=5></a> พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ถึงคนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเตียน | ||
เรา กล่าวติเตียนพระธรรมหรือกล่าวติเตียนพระสงฆ์ก็ตาม พวกเธอไม่ควรผูก | เรา กล่าวติเตียนพระธรรมหรือกล่าวติเตียนพระสงฆ์ก็ตาม พวกเธอไม่ควรผูก | ||
อาฆาตแค้นเคืองขุ่นใจคนพวกนั้น ถ้าพวกเธอโกรธเคืองหรือไม่พอใจพวกเขา พวก | อาฆาตแค้นเคืองขุ่นใจคนพวกนั้น ถ้าพวกเธอโกรธเคืองหรือไม่พอใจพวกเขา พวก | ||
เธอก็จะประสบอันตราย<sup>๒-</sup> เพราะความโกรธเคืองนั้นได้ อนึ่ง พวกเธอจะรู้ได้หรือว่าที่ | เธอก็จะประสบอันตราย<sup>๒-</sup> เพราะความโกรธเคืองนั้นได้ อนึ่ง พวกเธอจะรู้ได้หรือว่าที่ | ||
พวกเขาพูดนั้นถูกหรือผิด” | พวกเขาพูดนั้นถูกหรือผิด” | ||
- | <a name=p2attha></a><a href=#p2attha><small class=atta>@เชิงอรรถ :</small></a> | + | <a name=p2attha></a><a href=#p2attha><small class=atta></br></br>@เชิงอรรถ :</small></a> |
<small>@<sup>๑</sup> อาคารทรงกลม ใช้เป็นที่พักร้อน โดยปกติจะมีสระน้ำและสวนดอกไม้ล้อมรอบ (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=43&modeTY=2&edition=thai>๓/๔๓</a>)</small> | <small>@<sup>๑</sup> อาคารทรงกลม ใช้เป็นที่พักร้อน โดยปกติจะมีสระน้ำและสวนดอกไม้ล้อมรอบ (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=43&modeTY=2&edition=thai>๓/๔๓</a>)</small> | ||
<small>@<sup>๒</sup> อันตรายในที่นี้หมายถึง อุปสรรคต่อการบรรลุธรรมชั้นสูง (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=53&modeTY=2&edition=thai>๖/๕๓</a>)</small> | <small>@<sup>๒</sup> อันตรายในที่นี้หมายถึง อุปสรรคต่อการบรรลุธรรมชั้นสูง (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=53&modeTY=2&edition=thai>๖/๕๓</a>)</small> | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p3></a><a href=#p3><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p3></a><a href=#p3><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> จูฬศีล | + | |
- | </p class=reftop> พวกภิกษุกราบทูลว่า “รู้ไม่ได้ พระพุทธเจ้าข้า” | + | [๑. พรหมชาลสูตร] |
- | พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “คำติเตียนนั้น ถ้าเป็นเรื่องไม่จริง พวกเธอควรชี้แจงให้ | + | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> จูฬศีล |
+ | </p class=reftop></br> พวกภิกษุกราบทูลว่า “รู้ไม่ได้ พระพุทธเจ้าข้า” | ||
+ | </br> พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “คำติเตียนนั้น ถ้าเป็นเรื่องไม่จริง พวกเธอควรชี้แจงให้ | ||
เห็นชัดว่า ‘เรื่องนี้เป็นเรื่องไม่จริง ไม่ถูกต้อง ไม่มี และไม่ปรากฏในพวกเรา’ | เห็นชัดว่า ‘เรื่องนี้เป็นเรื่องไม่จริง ไม่ถูกต้อง ไม่มี และไม่ปรากฏในพวกเรา’ | ||
- | [๖]<a name=6></a> ภิกษุทั้งหลาย ถึงคนพวกอื่นจะพึงกล่าวยกย่องเรา กล่าวยกย่องพระธรรม | + | </br> |
+ | |||
+ | [๖]<a name=6></a> ภิกษุทั้งหลาย ถึงคนพวกอื่นจะพึงกล่าวยกย่องเรา กล่าวยกย่องพระธรรม | ||
หรือกล่าวยกย่องพระสงฆ์ก็ตาม พวกเธอไม่ควรทำความรื่นเริงดีใจหรือกระหยิ่มใจ | หรือกล่าวยกย่องพระสงฆ์ก็ตาม พวกเธอไม่ควรทำความรื่นเริงดีใจหรือกระหยิ่มใจ | ||
ต่อคนพวกนั้น ถ้าพวกเธอทำความรื่นเริงดีใจหรือกระหยิ่มใจต่อพวกเขา พวกเธอ | ต่อคนพวกนั้น ถ้าพวกเธอทำความรื่นเริงดีใจหรือกระหยิ่มใจต่อพวกเขา พวกเธอ | ||
บรรทัด 74: | บรรทัด 89: | ||
และปรากฏในพวกเรา’ | และปรากฏในพวกเรา’ | ||
<center>จูฬศีล | <center>จูฬศีล | ||
- | </center> [๗]<a name=7></a> ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชน<sup>๑-</sup> เมื่อกล่าวยกย่องตถาคต ก็พึงกล่าวด้วยเรื่อง | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๗]<a name=7></a> ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชน<sup>๑-</sup> เมื่อกล่าวยกย่องตถาคต ก็พึงกล่าวด้วยเรื่อง | ||
เล็กน้อย ต่ำต้อยเพียงเรื่องระดับศีลเท่านั้น คือ | เล็กน้อย ต่ำต้อยเพียงเรื่องระดับศีลเท่านั้น คือ | ||
- | [๘]<a name=8></a> ปุถุชนเมื่อกล่าวยกย่องตถาคต ก็จะพึงกล่าวว่า | + | </br> |
- | ๑. พระสมณโคดมทรงละทรงเว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑาวุธและ | + | |
- | ศัสตราวุธ มีความละอาย มีความเอ็นดู มุ่งหวังประโยชน์เกื้อกูลต่อ | + | [๘]<a name=8></a> ปุถุชนเมื่อกล่าวยกย่องตถาคต ก็จะพึงกล่าวว่า |
- | สรรพสัตว์อยู่ | + | </br> ๑. พระสมณโคดมทรงละทรงเว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑาวุธและ |
- | ๒. พระสมณโคดมทรงละทรงเว้นขาดจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขา | + | </br> ศัสตราวุธ มีความละอาย มีความเอ็นดู มุ่งหวังประโยชน์เกื้อกูลต่อ |
- | ไม่ได้ให้ รับเอาแต่ของที่เขาให้ มุ่งหวังแต่ของที่เขาให้ ไม่ทรงเป็นขโมย | + | </br> สรรพสัตว์อยู่ |
- | เป็นคนสะอาดอยู่ | + | </br> ๒. พระสมณโคดมทรงละทรงเว้นขาดจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขา |
- | ๓. พระสมณโคดมทรงละพฤติกรรมอันเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ ประพฤติ | + | </br> ไม่ได้ให้ รับเอาแต่ของที่เขาให้ มุ่งหวังแต่ของที่เขาให้ ไม่ทรงเป็นขโมย |
- | พรหมจรรย์<sup>๒-</sup> เว้นห่างไกลจากเมถุนธรรม<sup>๓-</sup> อันเป็นกิจของชาวบ้าน | + | </br> เป็นคนสะอาดอยู่ |
- | <a name=p3attha></a><a href=#p3attha><small class=atta>@เชิงอรรถ :</small></a> | + | </br> ๓. พระสมณโคดมทรงละพฤติกรรมอันเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ ประพฤติ |
+ | </br> พรหมจรรย์<sup>๒-</sup> เว้นห่างไกลจากเมถุนธรรม<sup>๓-</sup> อันเป็นกิจของชาวบ้าน | ||
+ | <a name=p3attha></a><a href=#p3attha><small class=atta></br></br>@เชิงอรรถ :</small></a> | ||
<small>@<sup>๑</sup> คนที่ยังมีกิเลสหนา ที่เรียกเช่นนี้ เพราะบุคคลประเภทนี้ยังมีเหตุก่อให้เกิดกิเลสอย่างหนานานัปการ</small> | <small>@<sup>๑</sup> คนที่ยังมีกิเลสหนา ที่เรียกเช่นนี้ เพราะบุคคลประเภทนี้ยังมีเหตุก่อให้เกิดกิเลสอย่างหนานานัปการ</small> | ||
<small>@ปุถุชนมี ๒ ประเภท คือ อันธปุถุชน คนที่ไม่ได้รับการศึกษาอบรมทางจิต และกัลยาณปุถุชน คนที่ได้</small> | <small>@ปุถุชนมี ๒ ประเภท คือ อันธปุถุชน คนที่ไม่ได้รับการศึกษาอบรมทางจิต และกัลยาณปุถุชน คนที่ได้</small> | ||
บรรทัด 94: | บรรทัด 113: | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๓}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๓}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p4></a><a href=#p4><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p4></a><a href=#p4><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> จูฬศีล | + | |
- | </p class=reftop> [๙]<a name=9></a> ๔. พระสมณโคดมทรงละทรงเว้นขาดจากการพูดเท็จ คือ ตรัสแต่คำสัตย์ | + | [๑. พรหมชาลสูตร] |
- | ดำรงความสัตย์ มีถ้อยคำเป็นหลัก เชื่อถือได้ ไม่หลอกลวงชาวโลก | + | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> จูฬศีล |
- | ๕. พระสมณโคดมทรงละทรงเว้นขาดจากคำส่อเสียด คือ ฟังความจาก | + | </p class=reftop></br> |
- | ฝ่ายนี้แล้วไม่ไปบอกฝ่ายโน้นเพื่อทำลายฝ่ายนี้ หรือฟังความฝ่าย | + | |
- | โน้นแล้วไม่มาบอกฝ่ายนี้เพื่อทำลายฝ่ายโน้น สมานคนที่แตกกัน | + | [๙]<a name=9></a> ๔. พระสมณโคดมทรงละทรงเว้นขาดจากการพูดเท็จ คือ ตรัสแต่คำสัตย์ |
- | ส่งเสริมคนที่ปรองดองกัน ชื่นชมยินดีเพลิดเพลินต่อผู้ที่สามัคคีกัน | + | </br> ดำรงความสัตย์ มีถ้อยคำเป็นหลัก เชื่อถือได้ ไม่หลอกลวงชาวโลก |
- | ตรัสแต่ ถ้อยคำที่สร้างสรรค์ความสามัคคี | + | </br> ๕. พระสมณโคดมทรงละทรงเว้นขาดจากคำส่อเสียด คือ ฟังความจาก |
- | ๖. พระสมณโคดมทรงละทรงเว้นขาดจากคำหยาบ คือ ตรัสแต่คำไม่มี | + | </br> ฝ่ายนี้แล้วไม่ไปบอกฝ่ายโน้นเพื่อทำลายฝ่ายนี้ หรือฟังความฝ่าย |
- | โทษ ไพเราะ น่ารัก จับใจ เป็นคำของชาวเมือง คนส่วนมาก | + | </br> โน้นแล้วไม่มาบอกฝ่ายนี้เพื่อทำลายฝ่ายโน้น สมานคนที่แตกกัน |
- | รักใคร่พอใจ | + | </br> ส่งเสริมคนที่ปรองดองกัน ชื่นชมยินดีเพลิดเพลินต่อผู้ที่สามัคคีกัน |
- | ๗. พระสมณโคดมทรงละทรงเว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ คือ ตรัสถูกเวลา | + | </br> ตรัสแต่ ถ้อยคำที่สร้างสรรค์ความสามัคคี |
- | ตรัสคำจริง ตรัสอิงประโยชน์ ตรัสอิงธรรม ตรัสอิงวินัย ตรัสคำที่มี | + | </br> ๖. พระสมณโคดมทรงละทรงเว้นขาดจากคำหยาบ คือ ตรัสแต่คำไม่มี |
- | หลักฐาน มีที่อ้างอิง มีที่กำหนด ประกอบด้วยประโยชน์ เหมาะ | + | </br> โทษ ไพเราะ น่ารัก จับใจ เป็นคำของชาวเมือง คนส่วนมาก |
- | แก่เวลา | + | </br> รักใคร่พอใจ |
- | [๑๐]<a name=10></a> ๘. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการพรากพืชคามและภูตคาม | + | </br> ๗. พระสมณโคดมทรงละทรงเว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ คือ ตรัสถูกเวลา |
- | ๙. พระสมณโคดมเสวยมื้อเดียว ไม่เสวยตอนกลางคืน ทรงเว้นขาด | + | </br> ตรัสคำจริง ตรัสอิงประโยชน์ ตรัสอิงธรรม ตรัสอิงวินัย ตรัสคำที่มี |
- | จากการเสวยในเวลาวิกาล<sup>๑-</sup> | + | </br> หลักฐาน มีที่อ้างอิง มีที่กำหนด ประกอบด้วยประโยชน์ เหมาะ |
- | ๑๐. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี | + | </br> แก่เวลา |
- | และดูการละเล่นที่เป็นข้าศึกแก่กุศล | + | </br> |
- | ๑๑. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการทัดทรง ประดับ ตกแต่งร่างกาย | + | |
- | ด้วยพวงดอกไม้ของหอมและเครื่องประทินผิวอันเป็นลักษณะแห่ง | + | [๑๐]<a name=10></a> ๘. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการพรากพืชคามและภูตคาม |
- | การแต่งตัว | + | </br> ๙. พระสมณโคดมเสวยมื้อเดียว ไม่เสวยตอนกลางคืน ทรงเว้นขาด |
- | ๑๒. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากที่นอนสูงใหญ่ | + | </br> จากการเสวยในเวลาวิกาล<sup>๑-</sup> |
- | ๑๓. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการรับทองและเงิน | + | </br> ๑๐. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี |
- | ๑๔. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการรับธัญญาหารดิบ<sup>๒-</sup> | + | </br> และดูการละเล่นที่เป็นข้าศึกแก่กุศล |
- | <a name=p4attha></a><a href=#p4attha><small class=atta>@เชิงอรรถ :</small></a> | + | </br> ๑๑. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการทัดทรง ประดับ ตกแต่งร่างกาย |
+ | </br> ด้วยพวงดอกไม้ของหอมและเครื่องประทินผิวอันเป็นลักษณะแห่ง | ||
+ | </br> การแต่งตัว | ||
+ | </br> ๑๒. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากที่นอนสูงใหญ่ | ||
+ | </br> ๑๓. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการรับทองและเงิน | ||
+ | </br> ๑๔. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการรับธัญญาหารดิบ<sup>๒-</sup> | ||
+ | <a name=p4attha></a><a href=#p4attha><small class=atta></br></br>@เชิงอรรถ :</small></a> | ||
<small>@<sup>๑</sup> เวลาที่ห้ามไว้เฉพาะแต่ละเรื่อง เวลาวิกาลในที่นี้หมายถึง ผิดเวลาที่กำหนดไว้ คือตั้งแต่หลังเที่ยงวันจนถึง</small> | <small>@<sup>๑</sup> เวลาที่ห้ามไว้เฉพาะแต่ละเรื่อง เวลาวิกาลในที่นี้หมายถึง ผิดเวลาที่กำหนดไว้ คือตั้งแต่หลังเที่ยงวันจนถึง</small> | ||
<small>@เวลาอรุณขึ้น (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=75&modeTY=2&edition=thai>๑๐/๗๕</a>)</small> | <small>@เวลาอรุณขึ้น (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=75&modeTY=2&edition=thai>๑๐/๗๕</a>)</small> | ||
บรรทัด 127: | บรรทัด 152: | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๔}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๔}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p5></a><a href=#p5><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p5></a><a href=#p5><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> มัชฌิมศีล | + | |
- | </p class=reftop> ๑๕. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ | + | [๑. พรหมชาลสูตร] |
- | ๑๖. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการรับสตรีและกุมารี | + | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> มัชฌิมศีล |
- | ๑๗. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการรับทาสหญิงและทาสชาย | + | </p class=reftop></br> ๑๕. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ |
- | ๑๘. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการรับแพะและแกะ | + | </br> ๑๖. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการรับสตรีและกุมารี |
- | ๑๙. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการรับไก่และสุกร | + | </br> ๑๗. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการรับทาสหญิงและทาสชาย |
- | ๒๐. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา | + | </br> ๑๘. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการรับแพะและแกะ |
- | ๒๑. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการรับเรือกสวนไร่นาและที่ดิน | + | </br> ๑๙. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการรับไก่และสุกร |
- | ๒๒. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการทำหน้าที่เป็นตัวแทนและผู้สื่อสาร | + | </br> ๒๐. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา |
- | ๒๓. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการซื้อขาย | + | </br> ๒๑. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการรับเรือกสวนไร่นาและที่ดิน |
- | ๒๔. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการโกงด้วยตาชั่ง ด้วยของปลอม | + | </br> ๒๒. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการทำหน้าที่เป็นตัวแทนและผู้สื่อสาร |
- | และด้วยเครื่องตวงวัด | + | </br> ๒๓. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการซื้อขาย |
- | ๒๕. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวงและการ | + | </br> ๒๔. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการโกงด้วยตาชั่ง ด้วยของปลอม |
- | ตลบตะแลง หรือ | + | </br> และด้วยเครื่องตวงวัด |
- | ๒๖. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการตัด(อวัยวะ) การฆ่า การจองจำ | + | </br> ๒๕. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวงและการ |
- | การตีชิงวิ่งราว การปล้นและการขู่กรรโชก | + | </br> ตลบตะแลง หรือ |
+ | </br> ๒๖. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการตัด(อวัยวะ) การฆ่า การจองจำ | ||
+ | </br> การตีชิงวิ่งราว การปล้นและการขู่กรรโชก | ||
<center>จูฬศีล จบ | <center>จูฬศีล จบ | ||
</center><center>มัชฌิมศีล | </center><center>มัชฌิมศีล | ||
- | </center> [๑๑]<a name=11></a> ปุถุชนเมื่อกล่าวยกย่องตถาคต ก็จะพึงกล่าวว่า | + | </center></br> |
- | ๑. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการพรากพืชคามและภูตคาม เช่น | + | |
+ | [๑๑]<a name=11></a> ปุถุชนเมื่อกล่าวยกย่องตถาคต ก็จะพึงกล่าวว่า | ||
+ | </br> ๑. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการพรากพืชคามและภูตคาม เช่น | ||
ที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังพรากพืชคาม<sup>๑-</sup> | ที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังพรากพืชคาม<sup>๑-</sup> | ||
และภูตคาม<sup>๒-</sup> เหล่านี้ คือ พืชเกิดจากเหง้า เกิดจากลำต้น เกิดจากตา เกิดจาก | และภูตคาม<sup>๒-</sup> เหล่านี้ คือ พืชเกิดจากเหง้า เกิดจากลำต้น เกิดจากตา เกิดจาก | ||
ยอด เกิดจากเมล็ด | ยอด เกิดจากเมล็ด | ||
- | <a name=p5attha></a><a href=#p5attha><small class=atta>@เชิงอรรถ :</small></a> | + | <a name=p5attha></a><a href=#p5attha><small class=atta></br></br>@เชิงอรรถ :</small></a> |
<small>@<sup>๑</sup> พืชพันธุ์จำพวกที่ถูกพรากจากที่แล้ว ยังสามารถงอกขึ้นได้อีก (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=78&modeTY=2&edition=thai#11>๑๑/๗๘</a>)</small> | <small>@<sup>๑</sup> พืชพันธุ์จำพวกที่ถูกพรากจากที่แล้ว ยังสามารถงอกขึ้นได้อีก (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=78&modeTY=2&edition=thai#11>๑๑/๗๘</a>)</small> | ||
<small>@<sup>๒</sup> ของเขียว หรือพืชพันธุ์อันเกิดอยู่กับที่ มี ๕ ชนิด คือ ที่เกิดจากเหง้า เช่นกระชาย, เกิดจากต้น เช่นโพ,</small> | <small>@<sup>๒</sup> ของเขียว หรือพืชพันธุ์อันเกิดอยู่กับที่ มี ๕ ชนิด คือ ที่เกิดจากเหง้า เช่นกระชาย, เกิดจากต้น เช่นโพ,</small> | ||
บรรทัด 157: | บรรทัด 186: | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๕}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๕}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p6></a><a href=#p6><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p6></a><a href=#p6><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> มัชฌิมศีล | + | |
- | </p class=reftop> [๑๒]<a name=12></a> ๒. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการบริโภคของที่สะสมไว้ เช่นที่ | + | [๑. พรหมชาลสูตร] |
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> มัชฌิมศีล | ||
+ | </p class=reftop></br> | ||
+ | |||
+ | [๑๒]<a name=12></a> ๒. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการบริโภคของที่สะสมไว้ เช่นที่ | ||
สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังบริโภคของ | สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังบริโภคของ | ||
ที่สะสมไว้เหล่านี้ คือ สะสมข้าว น้ำ ผ้า ยาน ที่นอน เครื่องประทินผิว ของหอม | ที่สะสมไว้เหล่านี้ คือ สะสมข้าว น้ำ ผ้า ยาน ที่นอน เครื่องประทินผิว ของหอม | ||
และอามิส<sup>๑-</sup> | และอามิส<sup>๑-</sup> | ||
- | [๑๓]<a name=13></a> ๓. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการดูการละเล่นอันเป็นข้าศึกต่อกุศล | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๓]<a name=13></a> ๓. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการดูการละเล่นอันเป็นข้าศึกต่อกุศล | ||
เช่นที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยัง | เช่นที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยัง | ||
ขวนขวายดูการละเล่นอันเป็นข้าศึกต่อกุศลอย่างนี้ คือ การฟ้อน การขับร้อง การ | ขวนขวายดูการละเล่นอันเป็นข้าศึกต่อกุศลอย่างนี้ คือ การฟ้อน การขับร้อง การ | ||
บรรทัด 172: | บรรทัด 207: | ||
รำกระบี่กระบอง การชกมวย มวยปล้ำ การรบ การตรวจพลสวนสนาม การจัด | รำกระบี่กระบอง การชกมวย มวยปล้ำ การรบ การตรวจพลสวนสนาม การจัด | ||
กระบวนทัพ การตรวจกองทัพ | กระบวนทัพ การตรวจกองทัพ | ||
- | [๑๔]<a name=14></a> ๔. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการขวนขวายในการเล่นการพนัน | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๔]<a name=14></a> ๔. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการขวนขวายในการเล่นการพนัน | ||
อันเป็นเหตุแห่งความประมาท เช่นที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่ | อันเป็นเหตุแห่งความประมาท เช่นที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่ | ||
เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังขวนขวายในการเล่นการพนันอันเป็นเหตุแห่งความ | เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังขวนขวายในการเล่นการพนันอันเป็นเหตุแห่งความ | ||
บรรทัด 179: | บรรทัด 216: | ||
เล่นหกคะเมน เล่นกังหัน เล่นตวงทราย เล่นรถเล็กๆ เล่นธนูเล็กๆ เล่นเขียนทาย เล่นทาย | เล่นหกคะเมน เล่นกังหัน เล่นตวงทราย เล่นรถเล็กๆ เล่นธนูเล็กๆ เล่นเขียนทาย เล่นทาย | ||
ใจ เล่นล้อเลียนคนพิการ | ใจ เล่นล้อเลียนคนพิการ | ||
- | [๑๕]<a name=15></a> ๕. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากที่นอนอันสูงใหญ่ เช่นที่สมณพราหมณ์ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๕]<a name=15></a> ๕. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากที่นอนอันสูงใหญ่ เช่นที่สมณพราหมณ์ | ||
ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังใช้ที่นอนสูงใหญ่อย่างนี้ คือ | ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังใช้ที่นอนสูงใหญ่อย่างนี้ คือ | ||
เตียงมีเท้าสูงเกินขนาด เตียงมีเท้าเป็นรูปสัตว์ร้าย พรมขนสัตว์ เครื่องลาดขนแกะ | เตียงมีเท้าสูงเกินขนาด เตียงมีเท้าเป็นรูปสัตว์ร้าย พรมขนสัตว์ เครื่องลาดขนแกะ | ||
บรรทัด 185: | บรรทัด 224: | ||
เครื่องลาดขนแกะวิจิตรด้วยรูปสัตว์ร้ายเช่นสีหะและเสือ เครื่องลาดขนแกะมีขน ๒ | เครื่องลาดขนแกะวิจิตรด้วยรูปสัตว์ร้ายเช่นสีหะและเสือ เครื่องลาดขนแกะมีขน ๒ | ||
ด้าน เครื่องลาดขนแกะมีขนด้านเดียว เครื่องลาดปักด้วยไหมประดับรัตนะ เครื่อง | ด้าน เครื่องลาดขนแกะมีขนด้านเดียว เครื่องลาดปักด้วยไหมประดับรัตนะ เครื่อง | ||
- | <a name=p6attha></a><a href=#p6attha><small class=atta>@เชิงอรรถ :</small></a> | + | <a name=p6attha></a><a href=#p6attha><small class=atta></br></br>@เชิงอรรถ :</small></a> |
<small>@<sup>๑</sup> อามิส คือวัตถุเครื่องล่อใจ เช่นเงินทองเป็นต้น ในที่นี้หมายถึง เครื่องปรุงอาหาร (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=80&modeTY=2&edition=thai>๑๒/๘๐</a>)</small> | <small>@<sup>๑</sup> อามิส คือวัตถุเครื่องล่อใจ เช่นเงินทองเป็นต้น ในที่นี้หมายถึง เครื่องปรุงอาหาร (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=80&modeTY=2&edition=thai>๑๒/๘๐</a>)</small> | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๖}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๖}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p7></a><a href=#p7><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p7></a><a href=#p7><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> มัชฌิมศีล | + | |
+ | [๑. พรหมชาลสูตร] | ||
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> มัชฌิมศีล | ||
</p class=reftop>ลาดผ้าไหมประดับรัตนะ เครื่องลาดขนแกะขนาดใหญ่ที่นางฟ้อน ๑๖ คนร่ายรำได้ | </p class=reftop>ลาดผ้าไหมประดับรัตนะ เครื่องลาดขนแกะขนาดใหญ่ที่นางฟ้อน ๑๖ คนร่ายรำได้ | ||
เครื่องลาดบนหลังช้าง เครื่องลาดบนหลังม้า เครื่องลาดในรถ เครื่องลาดทำด้วยหนัง | เครื่องลาดบนหลังช้าง เครื่องลาดบนหลังม้า เครื่องลาดในรถ เครื่องลาดทำด้วยหนัง | ||
เสือ เครื่องลาดหนังชะมด เครื่องลาดมีเพดาน เครื่องลาดมีหมอน ๒ ข้าง | เสือ เครื่องลาดหนังชะมด เครื่องลาดมีเพดาน เครื่องลาดมีหมอน ๒ ข้าง | ||
- | [๑๖]<a name=16></a> ๖. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการขวนขวายในการประดับตกแต่ง | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๖]<a name=16></a> ๖. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการขวนขวายในการประดับตกแต่ง | ||
ร่างกาย เช่นที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว | ร่างกาย เช่นที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว | ||
ยังขวนขวายในการประดับตกแต่งร่างกายอย่างนี้ คือ อบผิว นวด อาบน้ำหอม | ยังขวนขวายในการประดับตกแต่งร่างกายอย่างนี้ คือ อบผิว นวด อาบน้ำหอม | ||
บรรทัด 200: | บรรทัด 243: | ||
ข้อมือ สวมเกี้ยว ใช้ไม้ถือ ใช้กลักยา ใช้ดาบ ใช้พระขรรค์ ใช้ร่ม สวมรองเท้าวิจิตร | ข้อมือ สวมเกี้ยว ใช้ไม้ถือ ใช้กลักยา ใช้ดาบ ใช้พระขรรค์ ใช้ร่ม สวมรองเท้าวิจิตร | ||
ติดกรอบหน้า ปักปิ่น ใช้พัดและแส้ขนหางจามรี นุ่งห่มผ้าขาวชายยาว | ติดกรอบหน้า ปักปิ่น ใช้พัดและแส้ขนหางจามรี นุ่งห่มผ้าขาวชายยาว | ||
- | [๑๗]<a name=17></a> ๗. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากเดรัจฉานกถา<sup>๑-</sup> เช่นที่สมณพราหมณ์ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๗]<a name=17></a> ๗. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากเดรัจฉานกถา<sup>๑-</sup> เช่นที่สมณพราหมณ์ | ||
ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังพูดเดรัจฉานกถาอย่างนี้ | ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังพูดเดรัจฉานกถาอย่างนี้ | ||
คือ เรื่องพระราชา เรื่องโจร เรื่องมหาอำมาตย์ เรื่องกองทัพ เรื่องภัย เรื่องการรบ | คือ เรื่องพระราชา เรื่องโจร เรื่องมหาอำมาตย์ เรื่องกองทัพ เรื่องภัย เรื่องการรบ | ||
บรรทัด 207: | บรรทัด 252: | ||
คนกล้าหาญ เรื่องตรอก เรื่องท่าน้ำ เรื่องคนที่ล่วงลับไปแล้ว เรื่องเบ็ดเตล็ด เรื่องโลก | คนกล้าหาญ เรื่องตรอก เรื่องท่าน้ำ เรื่องคนที่ล่วงลับไปแล้ว เรื่องเบ็ดเตล็ด เรื่องโลก | ||
เรื่องทะเล เรื่องความเจริญและความเสื่อม | เรื่องทะเล เรื่องความเจริญและความเสื่อม | ||
- | [๑๘]<a name=18></a> ๘. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการพูดทุ่มเถียงแก่งแย่งกัน เช่นที่ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๘]<a name=18></a> ๘. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการพูดทุ่มเถียงแก่งแย่งกัน เช่นที่ | ||
สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังพูดทุ่มเถียง | สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังพูดทุ่มเถียง | ||
แก่งแย่งกันอย่างนี้ คือ ท่านไม่รู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ แต่ผมรู้ทั่วถึง ท่านจะรู้ทั่วถึง | แก่งแย่งกันอย่างนี้ คือ ท่านไม่รู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ แต่ผมรู้ทั่วถึง ท่านจะรู้ทั่วถึง | ||
บรรทัด 215: | บรรทัด 262: | ||
คำพูดของท่านได้แล้ว ผมข่มท่านได้แล้ว ถ้าท่านมีความสามารถก็จงหาทางแก้ | คำพูดของท่านได้แล้ว ผมข่มท่านได้แล้ว ถ้าท่านมีความสามารถก็จงหาทางแก้ | ||
คำพูดหรือเปลื้องตนให้พ้นผิดเถิด | คำพูดหรือเปลื้องตนให้พ้นผิดเถิด | ||
- | <a name=p7attha></a><a href=#p7attha><small class=atta>@เชิงอรรถ :</small></a> | + | <a name=p7attha></a><a href=#p7attha><small class=atta></br></br>@เชิงอรรถ :</small></a> |
<small>@<sup>๑</sup> เดรัจฉานกถา คือ ถ้อยคำอันขวางทางไปสู่สวรรค์ นิพพาน หมายถึงเรื่องราวที่ภิกษุไม่ควรนำมาเป็นข้อ</small> | <small>@<sup>๑</sup> เดรัจฉานกถา คือ ถ้อยคำอันขวางทางไปสู่สวรรค์ นิพพาน หมายถึงเรื่องราวที่ภิกษุไม่ควรนำมาเป็นข้อ</small> | ||
<small>@ถกเถียงสนทนากัน (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=84&modeTY=2&edition=thai#17>๑๗/๘๔</a>)</small> | <small>@ถกเถียงสนทนากัน (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=84&modeTY=2&edition=thai#17>๑๗/๘๔</a>)</small> | ||
บรรทัด 221: | บรรทัด 268: | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๗}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๗}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p8></a><a href=#p8><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p8></a><a href=#p8><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> มหาศีล | + | |
- | </p class=reftop> [๑๙]<a name=19></a> ๙. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการทำหน้าที่เป็นตัวแทนและผู้สื่อสาร | + | [๑. พรหมชาลสูตร] |
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> มหาศีล | ||
+ | </p class=reftop></br> | ||
+ | |||
+ | [๑๙]<a name=19></a> ๙. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการทำหน้าที่เป็นตัวแทนและผู้สื่อสาร | ||
เช่นที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังทำ | เช่นที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังทำ | ||
หน้าที่เป็นตัวแทนและผู้สื่อสารอย่างนี้ คือ รับเป็นสื่อให้พระราชา ราชมหาอำมาตย์ | หน้าที่เป็นตัวแทนและผู้สื่อสารอย่างนี้ คือ รับเป็นสื่อให้พระราชา ราชมหาอำมาตย์ | ||
กษัตริย์ พราหมณ์ คหบดีและกุมารว่า ‘ท่านจงไปที่นี้หรือที่โน้น จงนำเอาสิ่งนี้ไป | กษัตริย์ พราหมณ์ คหบดีและกุมารว่า ‘ท่านจงไปที่นี้หรือที่โน้น จงนำเอาสิ่งนี้ไป | ||
จงเอาสิ่งนี้มาจากที่โน้น’ หรือ | จงเอาสิ่งนี้มาจากที่โน้น’ หรือ | ||
- | [๒๐]<a name=20></a> ๑๐. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการพูดหลอกลวงและการพูด | + | </br> |
+ | |||
+ | [๒๐]<a name=20></a> ๑๐. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการพูดหลอกลวงและการพูด | ||
เลียบเคียง เช่นที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธา | เลียบเคียง เช่นที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธา | ||
แล้วยังพูดหลอกลวง เลียบเคียง หว่านล้อม พูดและเล็ม ใช้ลาภต่อลาภ | แล้วยังพูดหลอกลวง เลียบเคียง หว่านล้อม พูดและเล็ม ใช้ลาภต่อลาภ | ||
<center>มัชฌิมศีล จบ | <center>มัชฌิมศีล จบ | ||
</center><center>มหาศีล | </center><center>มหาศีล | ||
- | </center> [๒๑]<a name=21></a> ปุถุชนเมื่อกล่าวยกย่องตถาคต ก็จะพึงกล่าวว่า | + | </center></br> |
- | ๑. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดทางด้วยเดรัจฉาน- | + | |
+ | [๒๑]<a name=21></a> ปุถุชนเมื่อกล่าวยกย่องตถาคต ก็จะพึงกล่าวว่า | ||
+ | </br> ๑. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดทางด้วยเดรัจฉาน- | ||
วิชา<sup>๑-</sup> เช่นที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยัง | วิชา<sup>๑-</sup> เช่นที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยัง | ||
เลี้ยงชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชาอย่างนี้ คือ ทำนายอวัยวะ ทำนายตำหนิ ทำนาย | เลี้ยงชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชาอย่างนี้ คือ ทำนายอวัยวะ ทำนายตำหนิ ทำนาย | ||
บรรทัด 243: | บรรทัด 298: | ||
ภูมิ วิชาหมองู วิชาว่าด้วยพิษ วิชาว่าด้วยแมงป่อง วิชาว่าด้วยหนู วิชาว่าด้วยเสียงนก | ภูมิ วิชาหมองู วิชาว่าด้วยพิษ วิชาว่าด้วยแมงป่อง วิชาว่าด้วยหนู วิชาว่าด้วยเสียงนก | ||
วิชาว่าด้วยเสียงกา วิชาทายอายุ วิชาป้องกันลูกศร วิชาว่าด้วยเสียงสัตว์ร้อง | วิชาว่าด้วยเสียงกา วิชาทายอายุ วิชาป้องกันลูกศร วิชาว่าด้วยเสียงสัตว์ร้อง | ||
- | <a name=p8attha></a><a href=#p8attha><small class=atta>@เชิงอรรถ :</small></a> | + | <a name=p8attha></a><a href=#p8attha><small class=atta></br></br>@เชิงอรรถ :</small></a> |
<small>@<sup>๑</sup> วิชาที่ขวางทางไปสู่สวรรค์ นิพพาน (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=84&modeTY=2&edition=thai#17>๑๗/๘๔</a>)</small> | <small>@<sup>๑</sup> วิชาที่ขวางทางไปสู่สวรรค์ นิพพาน (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=84&modeTY=2&edition=thai#17>๑๗/๘๔</a>)</small> | ||
<small>@<sup>๒</sup> ความรู้เรื่องลักษณะอันเป็นคุณเป็นโทษของทำเลที่ตั้งบ้านเรือน และเรือกสวนไร่นาเป็นต้น (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=88&modeTY=2&edition=thai>๒๑/๘๘</a>)</small> | <small>@<sup>๒</sup> ความรู้เรื่องลักษณะอันเป็นคุณเป็นโทษของทำเลที่ตั้งบ้านเรือน และเรือกสวนไร่นาเป็นต้น (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=88&modeTY=2&edition=thai>๒๑/๘๘</a>)</small> | ||
บรรทัด 249: | บรรทัด 304: | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๘}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๘}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p9></a><a href=#p9><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p9></a><a href=#p9><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> มหาศีล | + | |
- | </p class=reftop> [๒๒]<a name=22></a> ๒. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชา | + | [๑. พรหมชาลสูตร] |
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> มหาศีล | ||
+ | </p class=reftop></br> | ||
+ | |||
+ | [๒๒]<a name=22></a> ๒. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชา | ||
เช่นที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังเลี้ยง | เช่นที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังเลี้ยง | ||
ชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชาอย่างนี้ คือ ทำนายลักษณะแก้วมณี ลักษณะไม้พลอง | ชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชาอย่างนี้ คือ ทำนายลักษณะแก้วมณี ลักษณะไม้พลอง | ||
บรรทัด 259: | บรรทัด 318: | ||
ลักษณะโคสามัญ ลักษณะแพะ ลักษณะแกะ ลักษณะไก่ ลักษณะนกกระทา ลักษณะ | ลักษณะโคสามัญ ลักษณะแพะ ลักษณะแกะ ลักษณะไก่ ลักษณะนกกระทา ลักษณะ | ||
เหี้ย ลักษณะตุ้มหู<sup>๑-</sup> ลักษณะเต่า ลักษณะมฤค | เหี้ย ลักษณะตุ้มหู<sup>๑-</sup> ลักษณะเต่า ลักษณะมฤค | ||
- | [๒๓]<a name=23></a> ๓. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชา | + | </br> |
+ | |||
+ | [๒๓]<a name=23></a> ๓. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชา | ||
เช่นที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังเลี้ยง | เช่นที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังเลี้ยง | ||
ชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชาอย่างนี้ คือ ดูฤกษ์ยาตราทัพว่า พระราชาจักเสด็จหรือ | ชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชาอย่างนี้ คือ ดูฤกษ์ยาตราทัพว่า พระราชาจักเสด็จหรือ | ||
บรรทัด 268: | บรรทัด 329: | ||
ปราชัยจักมีแก่พระราชาในอาณาจักร พระราชาองค์นี้จักทรงชนะ พระราชาองค์นี้ | ปราชัยจักมีแก่พระราชาในอาณาจักร พระราชาองค์นี้จักทรงชนะ พระราชาองค์นี้ | ||
จักทรงพ่ายแพ้ | จักทรงพ่ายแพ้ | ||
- | [๒๔]<a name=24></a> ๔. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชา | + | </br> |
+ | |||
+ | [๒๔]<a name=24></a> ๔. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชา | ||
เช่นที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังเลี้ยง | เช่นที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังเลี้ยง | ||
ชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชาอย่างนี้ คือ พยากรณ์ว่าจักมีจันทรคราส สุริยคราส นัก | ชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชาอย่างนี้ คือ พยากรณ์ว่าจักมีจันทรคราส สุริยคราส นัก | ||
บรรทัด 278: | บรรทัด 341: | ||
ฟ้าร้อง จักมีผลอย่างนี้ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และดาวนักษัตรขึ้น ตก มัวหมอง | ฟ้าร้อง จักมีผลอย่างนี้ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และดาวนักษัตรขึ้น ตก มัวหมอง | ||
แจ่มกระจ่าง จักมีผลอย่างนี้ | แจ่มกระจ่าง จักมีผลอย่างนี้ | ||
- | <a name=p9attha></a><a href=#p9attha><small class=atta>@เชิงอรรถ :</small></a> | + | <a name=p9attha></a><a href=#p9attha><small class=atta></br></br>@เชิงอรรถ :</small></a> |
<small>@<sup>๑</sup> อีกนัยหนึ่ง หมายถึง ยอดเรือน (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=89&modeTY=2&edition=thai>๒๒/๘๙</a>)</small> | <small>@<sup>๑</sup> อีกนัยหนึ่ง หมายถึง ยอดเรือน (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=89&modeTY=2&edition=thai>๒๒/๘๙</a>)</small> | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๙}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๙}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p10></a><a href=#p10><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p10></a><a href=#p10><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> มหาศีล | + | |
- | </p class=reftop> [๒๕]<a name=25></a> ๕. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชา | + | [๑. พรหมชาลสูตร] |
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> มหาศีล | ||
+ | </p class=reftop></br> | ||
+ | |||
+ | [๒๕]<a name=25></a> ๕. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชา | ||
เช่นที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังเลี้ยง | เช่นที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังเลี้ยง | ||
ชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชาอย่างนี้ คือ พยากรณ์ว่าฝนจะดี ฝนจะแล้ง จะหา | ชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชาอย่างนี้ คือ พยากรณ์ว่าฝนจะดี ฝนจะแล้ง จะหา | ||
บรรทัด 290: | บรรทัด 357: | ||
ไม่มีโรค การคำนวณด้วยวิธีนับนิ้ว (มุททา) การคำนวณด้วยวิธีคิดในใจ (คณนา) การ | ไม่มีโรค การคำนวณด้วยวิธีนับนิ้ว (มุททา) การคำนวณด้วยวิธีคิดในใจ (คณนา) การ | ||
คำนวณด้วยวิธีอนุมานด้วยสายตา (สังขาน) วิชาฉันทลักษณ์และโลกายตศาสตร์<sup>๑-</sup> | คำนวณด้วยวิธีอนุมานด้วยสายตา (สังขาน) วิชาฉันทลักษณ์และโลกายตศาสตร์<sup>๑-</sup> | ||
- | [๒๖]<a name=26></a> ๖. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชา | + | </br> |
+ | |||
+ | [๒๖]<a name=26></a> ๖. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชา | ||
เช่นที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังเลี้ยง | เช่นที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังเลี้ยง | ||
ชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชาอย่างนี้ คือ ให้ฤกษ์อาวาหมงคล ฤกษ์วิวาหมงคล ฤกษ์ | ชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชาอย่างนี้ คือ ให้ฤกษ์อาวาหมงคล ฤกษ์วิวาหมงคล ฤกษ์ | ||
บรรทัด 298: | บรรทัด 367: | ||
เทวาลัยเป็นคนทรง บวงสรวงดวงอาทิตย์และท้าวมหาพรหม ร่ายมนตร์พ่นไฟ ทำ | เทวาลัยเป็นคนทรง บวงสรวงดวงอาทิตย์และท้าวมหาพรหม ร่ายมนตร์พ่นไฟ ทำ | ||
พิธีเรียกขวัญ หรือ | พิธีเรียกขวัญ หรือ | ||
- | [๒๗]<a name=27></a> ๗. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชา | + | </br> |
+ | |||
+ | [๒๗]<a name=27></a> ๗. พระสมณโคดมทรงเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชา | ||
เช่นที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังเลี้ยง | เช่นที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังเลี้ยง | ||
ชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชาอย่างนี้ คือ ทำพิธีบนบาน พิธีแก้บน ร่ายมนตร์ขับผี | ชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชาอย่างนี้ คือ ทำพิธีบนบาน พิธีแก้บน ร่ายมนตร์ขับผี | ||
บรรทัด 306: | บรรทัด 377: | ||
หยอดตา ยานัตถุ์ ยาหยอดตา ยาป้ายตา เป็นหมอตา หมอผ่าตัด หมอรักษาเด็ก | หยอดตา ยานัตถุ์ ยาหยอดตา ยาป้ายตา เป็นหมอตา หมอผ่าตัด หมอรักษาเด็ก | ||
(กุมารเวช) การให้สมุนไพรและยา การใส่ยาแล้วล้างออกเมื่อโรคหาย | (กุมารเวช) การให้สมุนไพรและยา การใส่ยาแล้วล้างออกเมื่อโรคหาย | ||
- | ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ปุถุชนกล่าวยกย่องตถาคต ก็พึงกล่าวด้วยเรื่องเล็กน้อย | + | </br> ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ปุถุชนกล่าวยกย่องตถาคต ก็พึงกล่าวด้วยเรื่องเล็กน้อย |
ต่ำต้อย เพียงเรื่องระดับศีลเท่านั้น | ต่ำต้อย เพียงเรื่องระดับศีลเท่านั้น | ||
<center>มหาศีล จบ | <center>มหาศีล จบ | ||
- | </center><a name=p10attha></a><a href=#p10attha><small class=atta>@เชิงอรรถ :</small></a> | + | </center><a name=p10attha></a><a href=#p10attha><small class=atta></br></br>@เชิงอรรถ :</small></a> |
<small>@<sup>๑</sup> โลกายตศาสตร์ ในที่นี้หมายถึง วิตัณฑวาทศาสตร์ คือ ศิลปะแห่งการเอาชนะผู้อื่นในเชิงวาทศิลป์ โดย</small> | <small>@<sup>๑</sup> โลกายตศาสตร์ ในที่นี้หมายถึง วิตัณฑวาทศาสตร์ คือ ศิลปะแห่งการเอาชนะผู้อื่นในเชิงวาทศิลป์ โดย</small> | ||
<small>@การอ้างทฤษฎีและประเพณีทางสังคมมาหักล้างสัจธรรม มุ่งแสดงให้เห็นว่าตนฉลาดกว่า มิได้มุ่งสัจธรรม</small> | <small>@การอ้างทฤษฎีและประเพณีทางสังคมมาหักล้างสัจธรรม มุ่งแสดงให้เห็นว่าตนฉลาดกว่า มิได้มุ่งสัจธรรม</small> | ||
บรรทัด 315: | บรรทัด 386: | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๐}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๐}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p11></a><a href=#p11><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p11></a><a href=#p11><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ทิฏฐิ ๖๒ สัสสตวาทะ ๔ | + | |
+ | [๑. พรหมชาลสูตร] | ||
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ทิฏฐิ ๖๒ สัสสตวาทะ ๔ | ||
</p class=reftop><center>ทิฏฐิ ๖๒ | </p class=reftop><center>ทิฏฐิ ๖๒ | ||
</center><center>ปุพพันตกัปปิกวาทะ ๑๘ | </center><center>ปุพพันตกัปปิกวาทะ ๑๘ | ||
</center><center>ความเห็นกำหนดขันธ์ส่วนอดีต | </center><center>ความเห็นกำหนดขันธ์ส่วนอดีต | ||
- | </center> [๒๘]<a name=28></a> ภิกษุทั้งหลาย มีธรรมเหล่าอื่นอีกที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๒๘]<a name=28></a> ภิกษุทั้งหลาย มีธรรมเหล่าอื่นอีกที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก | ||
สงบประณีต ใช้เหตุผลคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคต<sup>๑-</sup> รู้ | สงบประณีต ใช้เหตุผลคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคต<sup>๑-</sup> รู้ | ||
แจ้งได้เองแล้วสั่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งตามอันเป็นเหตุให้คนกล่าวยกย่องตถาคตถูกต้อง | แจ้งได้เองแล้วสั่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งตามอันเป็นเหตุให้คนกล่าวยกย่องตถาคตถูกต้อง | ||
ตามความเป็นจริง ก็ธรรมที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก ... อันเป็นเหตุให้คน | ตามความเป็นจริง ก็ธรรมที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก ... อันเป็นเหตุให้คน | ||
กล่าวยกย่องตถาคตตามความเป็นจริง คืออะไรบ้าง | กล่าวยกย่องตถาคตตามความเป็นจริง คืออะไรบ้าง | ||
- | [๒๙]<a name=29></a> ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์<sup>๒-</sup> พวกหนึ่งกำหนดขันธ์ส่วนอดีต มี | + | </br> |
+ | |||
+ | [๒๙]<a name=29></a> ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์<sup>๒-</sup> พวกหนึ่งกำหนดขันธ์ส่วนอดีต มี | ||
ความเห็นคล้อยตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภขันธ์ส่วนอดีต ประกาศวาทะแสดงทิฏฐิ | ความเห็นคล้อยตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภขันธ์ส่วนอดีต ประกาศวาทะแสดงทิฏฐิ | ||
ต่างๆ ด้วยมูลเหตุ ๑๘ อย่าง ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นอาศัยอะไรปรารภ | ต่างๆ ด้วยมูลเหตุ ๑๘ อย่าง ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นอาศัยอะไรปรารภ | ||
บรรทัด 332: | บรรทัด 409: | ||
<center>สัสสตวาทะ ๔ | <center>สัสสตวาทะ ๔ | ||
</center><center>เห็นว่าอัตตาและโลกเที่ยง | </center><center>เห็นว่าอัตตาและโลกเที่ยง | ||
- | </center> [๓๐]<a name=30></a> ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะว่าเที่ยง บัญญัติอัตตา<sup>๓-</sup> | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๓๐]<a name=30></a> ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะว่าเที่ยง บัญญัติอัตตา<sup>๓-</sup> | ||
และโลกว่าเที่ยงด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นอาศัยอะไร | และโลกว่าเที่ยงด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นอาศัยอะไร | ||
ปรารภอะไรจึงมีวาทะว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยงด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง | ปรารภอะไรจึงมีวาทะว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยงด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง | ||
<center>มูลเหตุที่ ๑ | <center>มูลเหตุที่ ๑ | ||
- | </center> [๓๑]<a name=31></a> ๑. สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๓๑]<a name=31></a> ๑. สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส | ||
ความเพียรที่ตั้งมั่น ความหมั่นประกอบ ความไม่ประมาท และอาศัยการใช้ความคิด | ความเพียรที่ตั้งมั่น ความหมั่นประกอบ ความไม่ประมาท และอาศัยการใช้ความคิด | ||
- | <a name=p11attha></a><a href=#p11attha><small class=atta>@เชิงอรรถ :</small></a> | + | <a name=p11attha></a><a href=#p11attha><small class=atta></br></br>@เชิงอรรถ :</small></a> |
<small>@<sup>๑</sup> คำว่า ตถาคต ในที่นี้ เป็นคำที่พระพุทธเจ้าตรัสหมายถึงพระองค์เอง แทนคำว่า “เรา” (อุตตมบุรุษ)</small> | <small>@<sup>๑</sup> คำว่า ตถาคต ในที่นี้ เป็นคำที่พระพุทธเจ้าตรัสหมายถึงพระองค์เอง แทนคำว่า “เรา” (อุตตมบุรุษ)</small> | ||
<small>@<sup>๒</sup> เป็นคำเรียกพราหมณ์พวกหนึ่งที่เป็นสมณะ ชื่อว่าเป็นสมณะโดยการบวช และชื่อว่าเป็นพราหมณ์โดย</small> | <small>@<sup>๒</sup> เป็นคำเรียกพราหมณ์พวกหนึ่งที่เป็นสมณะ ชื่อว่าเป็นสมณะโดยการบวช และชื่อว่าเป็นพราหมณ์โดย</small> | ||
บรรทัด 345: | บรรทัด 426: | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๑}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๑}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p12></a><a href=#p12><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p12></a><a href=#p12><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ทิฏฐิ ๖๒ สัสสตวาทะ ๔ | + | |
+ | [๑. พรหมชาลสูตร] | ||
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ทิฏฐิ ๖๒ สัสสตวาทะ ๔ | ||
</p class=reftop>อย่างถูกวิธีแล้วบรรลุเจโตสมาธิ<sup>๑-</sup> ที่เป็นเหตุทำจิตให้ตั้งมั่น (บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มี | </p class=reftop>อย่างถูกวิธีแล้วบรรลุเจโตสมาธิ<sup>๑-</sup> ที่เป็นเหตุทำจิตให้ตั้งมั่น (บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มี | ||
กิเลสเพียงดังเนิน ปราศจากความเศร้าหมอง) ระลึกชาติก่อนได้หลายชาติ คือ | กิเลสเพียงดังเนิน ปราศจากความเศร้าหมอง) ระลึกชาติก่อนได้หลายชาติ คือ | ||
บรรทัด 357: | บรรทัด 440: | ||
จึงมาเกิดในภพนี้’ เขาระลึกชาติก่อนได้หลายชาติพร้อมทั้งลักษณะทั่วไปและ | จึงมาเกิดในภพนี้’ เขาระลึกชาติก่อนได้หลายชาติพร้อมทั้งลักษณะทั่วไปและ | ||
ชีวประวัติอย่างนี้ | ชีวประวัติอย่างนี้ | ||
- | เขาจึงพูดอย่างนี้ว่า ‘อัตตาและโลกเที่ยง ยั่งยืน ตั้งมั่นอยู่ดุจยอดภูเขาดุจ | + | </br> เขาจึงพูดอย่างนี้ว่า ‘อัตตาและโลกเที่ยง ยั่งยืน ตั้งมั่นอยู่ดุจยอดภูเขาดุจ |
เสาระเนียด ส่วนสัตว์เหล่านั้นย่อมแล่นไป ท่องเที่ยวไป จุติและเกิด แต่มีสิ่งที่เที่ยง | เสาระเนียด ส่วนสัตว์เหล่านั้นย่อมแล่นไป ท่องเที่ยวไป จุติและเกิด แต่มีสิ่งที่เที่ยง | ||
อยู่แน่ เพราะเหตุอะไร เพราะว่าเราอาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส ความเพียรที่ | อยู่แน่ เพราะเหตุอะไร เพราะว่าเราอาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส ความเพียรที่ | ||
บรรทัด 372: | บรรทัด 455: | ||
ตั้งมั่นอยู่ดุจยอดภูเขาดุจเสาระเนียด ส่วนสัตว์เหล่านั้นย่อมแล่นไป ท่องเที่ยวไป จุติ | ตั้งมั่นอยู่ดุจยอดภูเขาดุจเสาระเนียด ส่วนสัตว์เหล่านั้นย่อมแล่นไป ท่องเที่ยวไป จุติ | ||
และเกิด แต่มีสิ่งที่เที่ยงอยู่แน่’ | และเกิด แต่มีสิ่งที่เที่ยงอยู่แน่’ | ||
- | <a name=p12attha></a><a href=#p12attha><small class=atta>@เชิงอรรถ :</small></a> | + | <a name=p12attha></a><a href=#p12attha><small class=atta></br></br>@เชิงอรรถ :</small></a> |
<small>@<sup>๑</sup> สมาธิแห่งจิต คือสมาธิในรูปาวจรจตุตถฌาน (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=97&modeTY=2&edition=thai#31>๓๑/๙๗</a>)</small> | <small>@<sup>๑</sup> สมาธิแห่งจิต คือสมาธิในรูปาวจรจตุตถฌาน (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=97&modeTY=2&edition=thai#31>๓๑/๙๗</a>)</small> | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๒}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๒}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p13></a><a href=#p13><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p13></a><a href=#p13><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ทิฏฐิ ๖๒ สัสสตวาทะ ๔ | + | |
- | </p class=reftop> ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๑ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ | + | [๑. พรหมชาลสูตร] |
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ทิฏฐิ ๖๒ สัสสตวาทะ ๔ | ||
+ | </p class=reftop></br> ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๑ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ | ||
แล้ว จึงมีวาทะว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง | แล้ว จึงมีวาทะว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง | ||
<center>มูลเหตุที่ ๒ | <center>มูลเหตุที่ ๒ | ||
- | </center> [๓๒]<a name=32></a> ๒. อนึ่ง ในมูลเหตุที่ ๒ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไรปรารภอะไร | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๓๒]<a name=32></a> ๒. อนึ่ง ในมูลเหตุที่ ๒ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไรปรารภอะไร | ||
จึงมีวาทะว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง | จึงมีวาทะว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง | ||
- | สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส ความ | + | </br> สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส ความ |
เพียรที่ตั้งมั่น ความหมั่นประกอบ ความไม่ประมาท และอาศัยการใช้ความคิดอย่าง | เพียรที่ตั้งมั่น ความหมั่นประกอบ ความไม่ประมาท และอาศัยการใช้ความคิดอย่าง | ||
ถูกวิธีแล้วบรรลุเจโตสมาธิที่เป็นเหตุทำจิตให้ตั้งมั่น ระลึกชาติก่อนได้หลายชาติ คือ | ถูกวิธีแล้วบรรลุเจโตสมาธิที่เป็นเหตุทำจิตให้ตั้งมั่น ระลึกชาติก่อนได้หลายชาติ คือ | ||
บรรทัด 393: | บรรทัด 480: | ||
อายุอย่างนั้นๆ จุติจากภพนั้นจึงมาเกิดในภพนี้’ เขาระลึกชาติก่อนได้หลายชาติ | อายุอย่างนั้นๆ จุติจากภพนั้นจึงมาเกิดในภพนี้’ เขาระลึกชาติก่อนได้หลายชาติ | ||
พร้อมทั้งลักษณะทั่วไปและชีวประวัติอย่างนี้ | พร้อมทั้งลักษณะทั่วไปและชีวประวัติอย่างนี้ | ||
- | เขาจึงพูดอย่างนี้ว่า ‘อัตตาและโลกเที่ยง ยั่งยืน ตั้งมั่นอยู่ดุจยอดภูเขาดุจเสา | + | </br> เขาจึงพูดอย่างนี้ว่า ‘อัตตาและโลกเที่ยง ยั่งยืน ตั้งมั่นอยู่ดุจยอดภูเขาดุจเสา |
ระเนียด ส่วนสัตว์เหล่านั้นย่อมแล่นไป ท่องเที่ยวไป จุติและเกิด แต่มีสิ่งที่เที่ยงอยู่ | ระเนียด ส่วนสัตว์เหล่านั้นย่อมแล่นไป ท่องเที่ยวไป จุติและเกิด แต่มีสิ่งที่เที่ยงอยู่ | ||
แน่ เพราะเหตุอะไร เพราะว่าเราอาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส ความเพียรที่ตั้ง | แน่ เพราะเหตุอะไร เพราะว่าเราอาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส ความเพียรที่ตั้ง | ||
บรรทัด 403: | บรรทัด 490: | ||
มีอาหาร เสวยสุขทุกข์ และมีอายุอย่างนั้นๆ จุติจากภพนั้นจึงไปเกิดในภพโน้น | มีอาหาร เสวยสุขทุกข์ และมีอายุอย่างนั้นๆ จุติจากภพนั้นจึงไปเกิดในภพโน้น | ||
แม้ในภพนั้นเราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีตระกูล มีวรรณะ มีอาหาร เสวยสุขทุกข์ และมี | แม้ในภพนั้นเราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีตระกูล มีวรรณะ มีอาหาร เสวยสุขทุกข์ และมี | ||
- | <a name=p13attha></a><a href=#p13attha><small class=atta>@เชิงอรรถ :</small></a> | + | <a name=p13attha></a><a href=#p13attha><small class=atta></br></br>@เชิงอรรถ :</small></a> |
<small>@<sup>๑</sup> สังวัฏฏกัป คือ กัปฝ่ายเสื่อม, ช่วงระยะเวลาที่โลกกำลังพินาศ วิวัฏฏกัป คือ กัปฝ่ายเจริญ, ช่วงระยะเวลา</small> | <small>@<sup>๑</sup> สังวัฏฏกัป คือ กัปฝ่ายเสื่อม, ช่วงระยะเวลาที่โลกกำลังพินาศ วิวัฏฏกัป คือ กัปฝ่ายเจริญ, ช่วงระยะเวลา</small> | ||
<small>@ที่โลกกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ (วิ.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=1&page=173&pages=9&pagebreak=1&modeTY=2&edition=thai#p177>๑/๑๒/๑๕๘</a>)</small> | <small>@ที่โลกกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ (วิ.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=1&page=173&pages=9&pagebreak=1&modeTY=2&edition=thai#p177>๑/๑๒/๑๕๘</a>)</small> | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๓}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๓}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p14></a><a href=#p14><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p14></a><a href=#p14><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ทิฏฐิ ๖๒ สัสสตวาทะ ๔ | + | |
+ | [๑. พรหมชาลสูตร] | ||
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ทิฏฐิ ๖๒ สัสสตวาทะ ๔ | ||
</p class=reftop>อายุอย่างนั้นๆ จุติจากภพนั้นจึงมาเกิดในภพนี้’ เราระลึกถึงชาติก่อนได้หลายชาติ | </p class=reftop>อายุอย่างนั้นๆ จุติจากภพนั้นจึงมาเกิดในภพนี้’ เราระลึกถึงชาติก่อนได้หลายชาติ | ||
พร้อมทั้งลักษณะทั่วไปและชีวประวัติอย่างนี้ เพราะการได้บรรลุคุณวิเศษนี้ เราจึงรู้ | พร้อมทั้งลักษณะทั่วไปและชีวประวัติอย่างนี้ เพราะการได้บรรลุคุณวิเศษนี้ เราจึงรู้ | ||
อาการที่อัตตาและโลกเที่ยง ยั่งยืน ตั้งมั่นอยู่ดุจยอดภูเขาดุจเสาระเนียด ส่วนสัตว์ | อาการที่อัตตาและโลกเที่ยง ยั่งยืน ตั้งมั่นอยู่ดุจยอดภูเขาดุจเสาระเนียด ส่วนสัตว์ | ||
เหล่านั้นย่อมแล่นไป ท่องเที่ยวไป จุติและเกิด แต่มีสิ่งที่เที่ยงอยู่แน่’ | เหล่านั้นย่อมแล่นไป ท่องเที่ยวไป จุติและเกิด แต่มีสิ่งที่เที่ยงอยู่แน่’ | ||
- | ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๒ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ | + | </br> ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๒ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ |
แล้ว จึงมีวาทะว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง | แล้ว จึงมีวาทะว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง | ||
<center>มูลเหตุที่ ๓ | <center>มูลเหตุที่ ๓ | ||
- | </center> [๓๓]<a name=33></a> ๓. อนึ่ง ในมูลเหตุที่ ๓ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไรปรารภอะไร | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๓๓]<a name=33></a> ๓. อนึ่ง ในมูลเหตุที่ ๓ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไรปรารภอะไร | ||
จึงมีวาทะว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง | จึงมีวาทะว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง | ||
- | สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส ความ | + | </br> สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส ความ |
เพียรที่ตั้งมั่น ความหมั่นประกอบ ความไม่ประมาท และอาศัยการใช้ความคิดอย่าง | เพียรที่ตั้งมั่น ความหมั่นประกอบ ความไม่ประมาท และอาศัยการใช้ความคิดอย่าง | ||
ถูกวิธีแล้วบรรลุเจโตสมาธิที่เป็นเหตุทำจิตให้ตั้งมั่น ระลึกชาติก่อนได้หลายชาติ คือ | ถูกวิธีแล้วบรรลุเจโตสมาธิที่เป็นเหตุทำจิตให้ตั้งมั่น ระลึกชาติก่อนได้หลายชาติ คือ | ||
บรรทัด 428: | บรรทัด 519: | ||
สุขทุกข์ และมีอายุอย่างนั้นๆ จุติจากภพนั้นจึงมาเกิดในภพนี้’ เขาระลึกถึงชาติก่อน | สุขทุกข์ และมีอายุอย่างนั้นๆ จุติจากภพนั้นจึงมาเกิดในภพนี้’ เขาระลึกถึงชาติก่อน | ||
ได้หลายชาติพร้อมทั้งลักษณะทั่วไปและชีวประวัติอย่างนี้ | ได้หลายชาติพร้อมทั้งลักษณะทั่วไปและชีวประวัติอย่างนี้ | ||
- | เขาจึงพูดอย่างนี้ว่า ‘อัตตาและโลกเที่ยง ยั่งยืน ตั้งมั่นอยู่ดุจยอดภูเขาดุจเสา | + | </br> เขาจึงพูดอย่างนี้ว่า ‘อัตตาและโลกเที่ยง ยั่งยืน ตั้งมั่นอยู่ดุจยอดภูเขาดุจเสา |
ระเนียด ส่วนสัตว์เหล่านั้นย่อมแล่นไป ท่องเที่ยวไป จุติและเกิด แต่มีสิ่งที่เที่ยงอยู่ | ระเนียด ส่วนสัตว์เหล่านั้นย่อมแล่นไป ท่องเที่ยวไป จุติและเกิด แต่มีสิ่งที่เที่ยงอยู่ | ||
แน่ เพราะเหตุอะไร เพราะว่าเราอาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส ความเพียรที่ตั้ง | แน่ เพราะเหตุอะไร เพราะว่าเราอาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส ความเพียรที่ตั้ง | ||
บรรทัด 437: | บรรทัด 528: | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๔}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๔}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p15></a><a href=#p15><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p15></a><a href=#p15><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ทิฏฐิ ๖๒ สัสสตวาทะ ๔ | + | |
+ | [๑. พรหมชาลสูตร] | ||
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ทิฏฐิ ๖๒ สัสสตวาทะ ๔ | ||
</p class=reftop>มีตระกูล มีวรรณะ มีอาหาร เสวยสุขทุกข์ และมีอายุอย่างนั้นๆ จุติจากภพนั้น | </p class=reftop>มีตระกูล มีวรรณะ มีอาหาร เสวยสุขทุกข์ และมีอายุอย่างนั้นๆ จุติจากภพนั้น | ||
ก็ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้นเราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีตระกูล มีวรรณะ มีอาหาร | ก็ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้นเราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีตระกูล มีวรรณะ มีอาหาร | ||
บรรทัด 446: | บรรทัด 539: | ||
ดุจเสาระเนียด ส่วนสัตว์เหล่านั้นย่อมแล่นไป ท่องเที่ยวไป จุติและเกิด แต่มีสิ่งที่ | ดุจเสาระเนียด ส่วนสัตว์เหล่านั้นย่อมแล่นไป ท่องเที่ยวไป จุติและเกิด แต่มีสิ่งที่ | ||
เที่ยงอยู่แน่’ | เที่ยงอยู่แน่’ | ||
- | ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๓ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ | + | </br> ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๓ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ |
แล้ว จึงมีวาทะว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง | แล้ว จึงมีวาทะว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง | ||
<center>มูลเหตุที่ ๔ | <center>มูลเหตุที่ ๔ | ||
- | </center> [๓๔]<a name=34></a> ๔. อนึ่ง ในมูลเหตุที่ ๔ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไรปรารภอะไร | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๓๔]<a name=34></a> ๔. อนึ่ง ในมูลเหตุที่ ๔ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไรปรารภอะไร | ||
จึงมีวาทะว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง | จึงมีวาทะว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง | ||
- | สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้เป็นนักตรรกะ<sup>๑-</sup> เป็นนักอภิปรัชญา<sup>๒-</sup> | + | </br> สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้เป็นนักตรรกะ<sup>๑-</sup> เป็นนักอภิปรัชญา<sup>๒-</sup> |
แสดงทรรศนะของตนตามหลักเหตุผลและการคาดคะเนความจริงอย่างนี้ว่า ‘อัตตา | แสดงทรรศนะของตนตามหลักเหตุผลและการคาดคะเนความจริงอย่างนี้ว่า ‘อัตตา | ||
และโลกเที่ยง ยั่งยืน ตั้งมั่นอยู่ดุจยอดภูเขาดุจเสาระเนียด ส่วนสัตว์เหล่านั้นย่อม | และโลกเที่ยง ยั่งยืน ตั้งมั่นอยู่ดุจยอดภูเขาดุจเสาระเนียด ส่วนสัตว์เหล่านั้นย่อม | ||
แล่นไป ท่องเที่ยวไป จุติและเกิด แต่มีสิ่งที่เที่ยงอยู่แน่’ | แล่นไป ท่องเที่ยวไป จุติและเกิด แต่มีสิ่งที่เที่ยงอยู่แน่’ | ||
- | ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๔ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ | + | </br> ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๔ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ |
แล้ว จึงมีวาทะว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง | แล้ว จึงมีวาทะว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง | ||
- | <a name=p15attha></a><a href=#p15attha><small class=atta>@เชิงอรรถ :</small></a> | + | <a name=p15attha></a><a href=#p15attha><small class=atta></br></br>@เชิงอรรถ :</small></a> |
<small>@<sup>๑</sup> นักตรรกะ(ตกฺกี) ผู้ที่ให้เหตุผลตามแนวของตรรกศาสตร์ (Logic) มี ๔ จำพวก คือ อนุสสติกะ อนุมาน</small> | <small>@<sup>๑</sup> นักตรรกะ(ตกฺกี) ผู้ที่ให้เหตุผลตามแนวของตรรกศาสตร์ (Logic) มี ๔ จำพวก คือ อนุสสติกะ อนุมาน</small> | ||
<small>@จากข้อมูลที่เป็นประสบการณ์ ชาติสสระ อนุมานโดยการระลึกชาติ ลาภิตักกิกะ อนุมานจากประสบการณ์</small> | <small>@จากข้อมูลที่เป็นประสบการณ์ ชาติสสระ อนุมานโดยการระลึกชาติ ลาภิตักกิกะ อนุมานจากประสบการณ์</small> | ||
บรรทัด 465: | บรรทัด 560: | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๕}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๕}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p16></a><a href=#p16><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p16></a><a href=#p16><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ทิฏฐิ ๖๒ เอกัจจสัสสตวาทะ ๔ | + | |
+ | [๑. พรหมชาลสูตร] | ||
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ทิฏฐิ ๖๒ เอกัจจสัสสตวาทะ ๔ | ||
</p class=reftop><center>สรุปสัสสตวาทะ | </p class=reftop><center>สรุปสัสสตวาทะ | ||
- | </center> [๓๕]<a name=35></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นมีวาทะว่าเที่ยง บัญญัติอัตตา | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๓๕]<a name=35></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นมีวาทะว่าเที่ยง บัญญัติอัตตา | ||
และโลกว่าเที่ยง ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่างนี้แล ก็สมณพราหมณ์เหล่านั้นทุกจำพวกมี | และโลกว่าเที่ยง ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่างนี้แล ก็สมณพราหมณ์เหล่านั้นทุกจำพวกมี | ||
วาทะว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยมูลเหตุทั้ง ๔ อย่างนี้ หรือด้วย | วาทะว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยมูลเหตุทั้ง ๔ อย่างนี้ หรือด้วย | ||
มูลเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๔ อย่างนี้ ไม่พ้นไปจากนี้ | มูลเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๔ อย่างนี้ ไม่พ้นไปจากนี้ | ||
- | [๓๖]<a name=36></a> ภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า มูลเหตุแห่งทิฏฐิเหล่านี้ที่บุคคลยึด | + | </br> |
+ | |||
+ | [๓๖]<a name=36></a> ภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า มูลเหตุแห่งทิฏฐิเหล่านี้ที่บุคคลยึด | ||
ถืออย่างนี้แล้ว ย่อมมีคติและภพหน้าอย่างนั้นๆ ตถาคตรู้มูลเหตุนั้นชัด และยังรู้ชัด | ถืออย่างนี้แล้ว ย่อมมีคติและภพหน้าอย่างนั้นๆ ตถาคตรู้มูลเหตุนั้นชัด และยังรู้ชัด | ||
ยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีกจึงไม่ยึดมั่นเมื่อไม่ยึดมั่นจึงรู้ความดับด้วยตนเองรู้ความเกิดความดับ | ยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีกจึงไม่ยึดมั่นเมื่อไม่ยึดมั่นจึงรู้ความดับด้วยตนเองรู้ความเกิดความดับ | ||
คุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดเวทนาออกตามความเป็นจริง ตถาคตจึงหลุดพ้น | คุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดเวทนาออกตามความเป็นจริง ตถาคตจึงหลุดพ้น | ||
เพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น | เพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น | ||
- | [๓๗]<a name=37></a> ภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แล ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๓๗]<a name=37></a> ภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แล ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ | ||
ประณีต ใช้เหตุผลคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตรู้แจ้งได้ | ประณีต ใช้เหตุผลคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตรู้แจ้งได้ | ||
เองแล้วสั่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งตามอันเป็นเหตุให้คนกล่าวยกย่องตถาคตถูกต้องตาม | เองแล้วสั่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งตามอันเป็นเหตุให้คนกล่าวยกย่องตถาคตถูกต้องตาม | ||
บรรทัด 484: | บรรทัด 587: | ||
</center><center>เอกัจจสัสสตวาทะ ๔ | </center><center>เอกัจจสัสสตวาทะ ๔ | ||
</center><center>เห็นว่าอัตตาและโลกเที่ยงเป็นบางอย่าง | </center><center>เห็นว่าอัตตาและโลกเที่ยงเป็นบางอย่าง | ||
- | </center> [๓๘]<a name=38></a> ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๓๘]<a name=38></a> ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง | ||
บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วย | บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วย | ||
มูลเหตุ ๔ อย่าง ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นอาศัยอะไรปรารภอะไร จึงมีวาทะ | มูลเหตุ ๔ อย่าง ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นอาศัยอะไรปรารภอะไร จึงมีวาทะ | ||
ว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บาง | ว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บาง | ||
อย่างไม่เที่ยง ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง | อย่างไม่เที่ยง ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง | ||
- | [๓๙]<a name=39></a> ภิกษุทั้งหลาย สมัยหนึ่งเมื่อล่วงไปนานๆ โลกนี้พินาศ เมื่อโลกกำลัง | + | </br> |
+ | |||
+ | [๓๙]<a name=39></a> ภิกษุทั้งหลาย สมัยหนึ่งเมื่อล่วงไปนานๆ โลกนี้พินาศ เมื่อโลกกำลัง | ||
พินาศเหล่าสัตว์ส่วนมากไปเกิดที่อาภัสสรพรหมโลก นึกคิดอะไรก็สำเร็จได้ตามปรารถนา | พินาศเหล่าสัตว์ส่วนมากไปเกิดที่อาภัสสรพรหมโลก นึกคิดอะไรก็สำเร็จได้ตามปรารถนา | ||
มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากร่างกาย เที่ยวสัญจรไปในอากาศ อยู่ในวิมาน | มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากร่างกาย เที่ยวสัญจรไปในอากาศ อยู่ในวิมาน | ||
บรรทัด 495: | บรรทัด 602: | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๖}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๖}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p17></a><a href=#p17><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p17></a><a href=#p17><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ทิฏฐิ ๖๒ เอกัจจสัสสตวาทะ ๔ | + | |
- | </p class=reftop> [๔๐]<a name=40></a> สมัยหนึ่ง เมื่อล่วงไปนานๆ โลกนี้กลับฟื้นขึ้น เมื่อโลกกำลังฟื้นขึ้น | + | [๑. พรหมชาลสูตร] |
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ทิฏฐิ ๖๒ เอกัจจสัสสตวาทะ ๔ | ||
+ | </p class=reftop></br> | ||
+ | |||
+ | [๔๐]<a name=40></a> สมัยหนึ่ง เมื่อล่วงไปนานๆ โลกนี้กลับฟื้นขึ้น เมื่อโลกกำลังฟื้นขึ้น | ||
วิมานของพรหมปรากฏว่าว่างเปล่า เวลานั้นสัตว์ผู้จุติจากชั้นอาภัสสรพรหมโลก | วิมานของพรหมปรากฏว่าว่างเปล่า เวลานั้นสัตว์ผู้จุติจากชั้นอาภัสสรพรหมโลก | ||
เพราะสิ้นอายุหรือสิ้นบุญ ย่อมเกิดที่วิมานพรหมอันว่างเปล่า นึกคิดอะไรก็สำเร็จได้ | เพราะสิ้นอายุหรือสิ้นบุญ ย่อมเกิดที่วิมานพรหมอันว่างเปล่า นึกคิดอะไรก็สำเร็จได้ | ||
ตามปรารถนา มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากร่างกาย เที่ยวสัญจรไปในอากาศ | ตามปรารถนา มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากร่างกาย เที่ยวสัญจรไปในอากาศ | ||
อยู่ในวิมานอันงดงาม สถิตอยู่นานแสนนาน | อยู่ในวิมานอันงดงาม สถิตอยู่นานแสนนาน | ||
- | [๔๑]<a name=41></a> เพราะสัตว์ผู้นั้นอยู่ในวิมานแต่ผู้เดียวเป็นเวลานานจึงเกิดเบื่อหน่ายว่า | + | </br> |
+ | |||
+ | [๔๑]<a name=41></a> เพราะสัตว์ผู้นั้นอยู่ในวิมานแต่ผู้เดียวเป็นเวลานานจึงเกิดเบื่อหน่ายว่า | ||
โอหนอ แม้สัตว์เหล่าอื่นพึงมาเป็นอย่างนี้บ้าง ต่อมา สัตว์เหล่าอื่นจุติจากชั้น | โอหนอ แม้สัตว์เหล่าอื่นพึงมาเป็นอย่างนี้บ้าง ต่อมา สัตว์เหล่าอื่นจุติจากชั้น | ||
อาภัสสรพรหมโลกเพราะสิ้นอายุหรือสิ้นบุญ ย่อมเกิดที่วิมานพรหมเป็นผู้อยู่ร่วมกับ | อาภัสสรพรหมโลกเพราะสิ้นอายุหรือสิ้นบุญ ย่อมเกิดที่วิมานพรหมเป็นผู้อยู่ร่วมกับ | ||
บรรทัด 508: | บรรทัด 621: | ||
ซ่านออกจากร่างกาย เที่ยวสัญจรไปในอากาศ อยู่ในวิมานอันงดงาม สถิตอยู่นาน | ซ่านออกจากร่างกาย เที่ยวสัญจรไปในอากาศ อยู่ในวิมานอันงดงาม สถิตอยู่นาน | ||
แสนนาน | แสนนาน | ||
- | [๔๒]<a name=42></a> ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสัตว์พวกนั้น ผู้เกิดก่อนมีความคิดอย่างนี้ว่า เรา | + | </br> |
+ | |||
+ | [๔๒]<a name=42></a> ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสัตว์พวกนั้น ผู้เกิดก่อนมีความคิดอย่างนี้ว่า เรา | ||
เป็นพรหม เป็นท้าวมหาพรหม ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีใครข่มเหงได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุม | เป็นพรหม เป็นท้าวมหาพรหม ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีใครข่มเหงได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุม | ||
อำนาจ เป็นอิสระ เป็นผู้สร้าง ผู้บันดาล ผู้ประเสริฐ ผู้บงการ ผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดา | อำนาจ เป็นอิสระ เป็นผู้สร้าง ผู้บันดาล ผู้ประเสริฐ ผู้บงการ ผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดา | ||
บรรทัด 514: | บรรทัด 629: | ||
เพราะว่าเรามีความคิดมาก่อนว่า โอหนอ แม้สัตว์เหล่าอื่นพึงมาเป็นอย่างนี้บ้าง เรา | เพราะว่าเรามีความคิดมาก่อนว่า โอหนอ แม้สัตว์เหล่าอื่นพึงมาเป็นอย่างนี้บ้าง เรา | ||
มีความตั้งใจอย่างนี้และสัตว์เหล่านี้ก็ได้มาเป็นอย่างนี้แล้ว | มีความตั้งใจอย่างนี้และสัตว์เหล่านี้ก็ได้มาเป็นอย่างนี้แล้ว | ||
- | แม้พวกสัตว์ที่เกิดภายหลังก็มีความคิดอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญนี้เป็นพระพรหม | + | </br> แม้พวกสัตว์ที่เกิดภายหลังก็มีความคิดอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญนี้เป็นพระพรหม |
เป็นท้าวมหาพรหม ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีใครข่มเหงได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ | เป็นท้าวมหาพรหม ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีใครข่มเหงได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ | ||
เป็นอิสระ เป็นผู้สร้าง ผู้บันดาล ผู้ประเสริฐ ผู้บงการ ผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของ | เป็นอิสระ เป็นผู้สร้าง ผู้บันดาล ผู้ประเสริฐ ผู้บงการ ผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของ | ||
บรรทัด 520: | บรรทัด 635: | ||
เหตุไร เพราะว่าพวกเราได้เห็นพระพรหมองค์นี้เกิดในที่นี้ก่อน ส่วนพวกเราเกิดมา | เหตุไร เพราะว่าพวกเราได้เห็นพระพรหมองค์นี้เกิดในที่นี้ก่อน ส่วนพวกเราเกิดมา | ||
ภายหลัง | ภายหลัง | ||
- | [๔๓]<a name=43></a> ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสัตว์พวกนั้น ผู้เกิดก่อนมีอายุยืน ผิวพรรณ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๔๓]<a name=43></a> ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสัตว์พวกนั้น ผู้เกิดก่อนมีอายุยืน ผิวพรรณ | ||
งดงามและมีศักดิ์มากกว่า ส่วนผู้เกิดภายหลังมีอายุสั้น ผิวพรรณทรามและมีศักดิ์ | งดงามและมีศักดิ์มากกว่า ส่วนผู้เกิดภายหลังมีอายุสั้น ผิวพรรณทรามและมีศักดิ์ | ||
น้อยกว่า | น้อยกว่า | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๗}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๗}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p18></a><a href=#p18><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p18></a><a href=#p18><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ทิฏฐิ ๖๒ เอกัจจสัสสตวาทะ ๔ | + | |
+ | [๑. พรหมชาลสูตร] | ||
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ทิฏฐิ ๖๒ เอกัจจสัสสตวาทะ ๔ | ||
</p class=reftop><center>มูลเหตุที่ ๑ | </p class=reftop><center>มูลเหตุที่ ๑ | ||
- | </center> [๔๔]<a name=44></a> ๕. (๑) ข้อที่สัตว์ผู้จุติ (เคลื่อน) จากชั้นนั้นแล้วมาเป็นอย่างนี้<sup>๑-</sup> เป็น | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๔๔]<a name=44></a> ๕. (๑) ข้อที่สัตว์ผู้จุติ (เคลื่อน) จากชั้นนั้นแล้วมาเป็นอย่างนี้<sup>๑-</sup> เป็น | ||
เรื่องที่เป็นไปได้ เมื่อเขามาเป็นอย่างนี้แล้วออกจากเรือนไปบวชเป็นบรรพชิต เมื่อ | เรื่องที่เป็นไปได้ เมื่อเขามาเป็นอย่างนี้แล้วออกจากเรือนไปบวชเป็นบรรพชิต เมื่อ | ||
บวชแล้วอาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส ความเพียรที่ตั้งมั่น ความหมั่นประกอบ | บวชแล้วอาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส ความเพียรที่ตั้งมั่น ความหมั่นประกอบ | ||
ความไม่ประมาท และอาศัยการใช้ความคิดอย่างถูกวิธีแล้วบรรลุเจโตสมาธิที่เป็น | ความไม่ประมาท และอาศัยการใช้ความคิดอย่างถูกวิธีแล้วบรรลุเจโตสมาธิที่เป็น | ||
เหตุทำจิตให้ตั้งมั่น ระลึกถึงชาติก่อนนั้นได้ ถัดจากนั้นไประลึกไม่ได้ | เหตุทำจิตให้ตั้งมั่น ระลึกถึงชาติก่อนนั้นได้ ถัดจากนั้นไประลึกไม่ได้ | ||
- | เขาจึงพูดอย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้เป็นพระพรหมผู้เจริญ เป็นท้าวมหาพรหม ผู้ยิ่งใหญ่ | + | </br> เขาจึงพูดอย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้เป็นพระพรหมผู้เจริญ เป็นท้าวมหาพรหม ผู้ยิ่งใหญ่ |
ไม่มีใครข่มเหงได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ เป็นอิสระ เป็นผู้สร้าง ผู้บันดาล ผู้ | ไม่มีใครข่มเหงได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ เป็นอิสระ เป็นผู้สร้าง ผู้บันดาล ผู้ | ||
ประเสริฐ ผู้บงการ ผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของสัตว์ผู้เกิดแล้วและกำลังจะเกิด พระ | ประเสริฐ ผู้บงการ ผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของสัตว์ผู้เกิดแล้วและกำลังจะเกิด พระ | ||
บรรทัด 539: | บรรทัด 660: | ||
ดำรงอยู่เที่ยงแท้ไปเช่นนั้นทีเดียว ส่วนพวกเราที่พระพรหมผู้เจริญนั้นบันดาลขึ้น | ดำรงอยู่เที่ยงแท้ไปเช่นนั้นทีเดียว ส่วนพวกเราที่พระพรหมผู้เจริญนั้นบันดาลขึ้น | ||
มากลับเป็นผู้ไม่เที่ยงแท้ ไม่ยั่งยืน อายุสั้น ต้องจุติมาเป็นอย่างนี้’ | มากลับเป็นผู้ไม่เที่ยงแท้ ไม่ยั่งยืน อายุสั้น ต้องจุติมาเป็นอย่างนี้’ | ||
- | ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๑ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ | + | </br> ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๑ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ |
แล้วจึงมีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่าง | แล้วจึงมีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่าง | ||
เที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง | เที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง | ||
<center>มูลเหตุที่ ๒ | <center>มูลเหตุที่ ๒ | ||
- | </center> [๔๕]<a name=45></a> ๖. (๒) อนึ่ง ในมูลเหตุที่ ๒ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๔๕]<a name=45></a> ๖. (๒) อนึ่ง ในมูลเหตุที่ ๒ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร | ||
ปรารภอะไรจึงมีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลก | ปรารภอะไรจึงมีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลก | ||
ว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ภิกษุทั้งหลาย มีเทวดาพวกหนึ่งชื่อว่า | ว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ภิกษุทั้งหลาย มีเทวดาพวกหนึ่งชื่อว่า | ||
บรรทัด 549: | บรรทัด 672: | ||
เมื่อหมกมุ่นอยู่ในความสนุกสนานสรวลเสเฮฮาเกินเวลาย่อมหลงลืมสติ เพราะหลง | เมื่อหมกมุ่นอยู่ในความสนุกสนานสรวลเสเฮฮาเกินเวลาย่อมหลงลืมสติ เพราะหลง | ||
ลืมสติจึงพากันจุติจากชั้นนั้น | ลืมสติจึงพากันจุติจากชั้นนั้น | ||
- | <a name=p18attha></a><a href=#p18attha><small class=atta>@เชิงอรรถ :</small></a> | + | <a name=p18attha></a><a href=#p18attha><small class=atta></br></br>@เชิงอรรถ :</small></a> |
<small>@<sup>๑</sup> จากพรหมโลกมาเกิดเป็นมนุษย์ (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=103&pages=2&pagebreak=1&modeTY=2&edition=thai#44>๔๔/๑๐๓-๑๐๔</a>)</small> | <small>@<sup>๑</sup> จากพรหมโลกมาเกิดเป็นมนุษย์ (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=103&pages=2&pagebreak=1&modeTY=2&edition=thai#44>๔๔/๑๐๓-๑๐๔</a>)</small> | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๘}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๘}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p19></a><a href=#p19><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p19></a><a href=#p19><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ทิฏฐิ ๖๒ เอกัจจสัสสตวาทะ ๔ | + | |
- | </p class=reftop> [๔๖]<a name=46></a> ข้อที่สัตว์ผู้จุติจากชั้นนั้นแล้วมาเป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เมื่อ | + | [๑. พรหมชาลสูตร] |
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ทิฏฐิ ๖๒ เอกัจจสัสสตวาทะ ๔ | ||
+ | </p class=reftop></br> | ||
+ | |||
+ | [๔๖]<a name=46></a> ข้อที่สัตว์ผู้จุติจากชั้นนั้นแล้วมาเป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เมื่อ | ||
เขามาเป็นอย่างนี้แล้วออกจากเรือนไปบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้วอาศัยความ | เขามาเป็นอย่างนี้แล้วออกจากเรือนไปบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้วอาศัยความ | ||
เพียรเครื่องเผากิเลส ความเพียรที่ตั้งมั่น ความหมั่นประกอบ ความไม่ประมาท | เพียรเครื่องเผากิเลส ความเพียรที่ตั้งมั่น ความหมั่นประกอบ ความไม่ประมาท | ||
และอาศัยการใช้ความคิดอย่างถูกวิธีแล้วบรรลุเจโตสมาธิที่เป็นเหตุทำจิตให้ตั้งมั่น | และอาศัยการใช้ความคิดอย่างถูกวิธีแล้วบรรลุเจโตสมาธิที่เป็นเหตุทำจิตให้ตั้งมั่น | ||
ระลึกถึงชาติก่อนนั้นได้ ถัดจากนั้นไประลึกไม่ได้ | ระลึกถึงชาติก่อนนั้นได้ ถัดจากนั้นไประลึกไม่ได้ | ||
- | เขาจึงพูดอย่างนี้ว่า ‘พวกเทวดาผู้เจริญ ผู้ไม่ใช่เหล่าขิฑฑาปโทสิกะย่อมไม่ | + | </br> เขาจึงพูดอย่างนี้ว่า ‘พวกเทวดาผู้เจริญ ผู้ไม่ใช่เหล่าขิฑฑาปโทสิกะย่อมไม่ |
หมกมุ่นอยู่ในความสนุกสนานสรวลเสเฮฮาเกินเวลา เมื่อไม่หมกมุ่นอยู่ในความ | หมกมุ่นอยู่ในความสนุกสนานสรวลเสเฮฮาเกินเวลา เมื่อไม่หมกมุ่นอยู่ในความ | ||
สนุกสนานสรวลเสเฮฮาเกินเวลาย่อมไม่หลงลืมสติ เพราะไม่หลงลืมสติจึงไม่จุติจาก | สนุกสนานสรวลเสเฮฮาเกินเวลาย่อมไม่หลงลืมสติ เพราะไม่หลงลืมสติจึงไม่จุติจาก | ||
บรรทัด 568: | บรรทัด 695: | ||
เพราะหลงลืมสติจึงต้องจุติจากชั้นนั้น เป็นผู้ไม่เที่ยงแท้ ไม่ยั่งยืน อายุสั้น ต้องจุติมา | เพราะหลงลืมสติจึงต้องจุติจากชั้นนั้น เป็นผู้ไม่เที่ยงแท้ ไม่ยั่งยืน อายุสั้น ต้องจุติมา | ||
เป็นอย่างนี้’ | เป็นอย่างนี้’ | ||
- | ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๒ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ | + | </br> ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๒ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ |
แล้ว จึงมีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บาง | แล้ว จึงมีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บาง | ||
อย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง | อย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง | ||
<center>มูลเหตุที่ ๓ | <center>มูลเหตุที่ ๓ | ||
- | </center> [๔๗]<a name=47></a> ๗. (๓) อนึ่ง ในมูลเหตุที่ ๓ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๔๗]<a name=47></a> ๗. (๓) อนึ่ง ในมูลเหตุที่ ๓ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร | ||
ปรารภอะไร จึงมีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า | ปรารภอะไร จึงมีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า | ||
บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ภิกษุทั้งหลาย มีเทวดาพวกหนึ่งชื่อว่ามโนปโทสิกะ | บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ภิกษุทั้งหลาย มีเทวดาพวกหนึ่งชื่อว่ามโนปโทสิกะ | ||
บรรทัด 578: | บรรทัด 707: | ||
ควรจึงคิดมุ่งร้ายต่อกัน เมื่อคิดมุ่งร้ายต่อกันจึงเหนื่อยกายเหนื่อยใจพากันจุติจาก | ควรจึงคิดมุ่งร้ายต่อกัน เมื่อคิดมุ่งร้ายต่อกันจึงเหนื่อยกายเหนื่อยใจพากันจุติจาก | ||
ชั้นนั้น | ชั้นนั้น | ||
- | [๔๘]<a name=48></a> ข้อที่สัตว์ผู้จุติจากชั้นนั้นแล้วมาเป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เมื่อ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๔๘]<a name=48></a> ข้อที่สัตว์ผู้จุติจากชั้นนั้นแล้วมาเป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เมื่อ | ||
เขามาเป็นอย่างนี้แล้วออกจากเรือนไปบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้วอาศัยความ | เขามาเป็นอย่างนี้แล้วออกจากเรือนไปบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้วอาศัยความ | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๙}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๙}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p20></a><a href=#p20><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p20></a><a href=#p20><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ทิฏฐิ ๖๒ อันตานันติกวาทะ ๔ | + | |
+ | [๑. พรหมชาลสูตร] | ||
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ทิฏฐิ ๖๒ อันตานันติกวาทะ ๔ | ||
</p class=reftop>เพียรเครื่องเผากิเลส ความเพียรที่ตั้งมั่น ความหมั่นประกอบ ความไม่ประมาท | </p class=reftop>เพียรเครื่องเผากิเลส ความเพียรที่ตั้งมั่น ความหมั่นประกอบ ความไม่ประมาท | ||
และอาศัยการใช้ความคิดอย่างถูกวิธีแล้วบรรลุเจโตสมาธิที่เป็นเหตุทำจิตให้ตั้งมั่น | และอาศัยการใช้ความคิดอย่างถูกวิธีแล้วบรรลุเจโตสมาธิที่เป็นเหตุทำจิตให้ตั้งมั่น | ||
ระลึกถึงชาติก่อนนั้นได้ ถัดจากนั้นไประลึกไม่ได้ | ระลึกถึงชาติก่อนนั้นได้ ถัดจากนั้นไประลึกไม่ได้ | ||
- | เขาจึงพูดอย่างนี้ว่า ‘พวกเทวดาผู้เจริญ ผู้ไม่ใช่เหล่ามโนปโทสิกะ ย่อมไม่มัว | + | </br> เขาจึงพูดอย่างนี้ว่า ‘พวกเทวดาผู้เจริญ ผู้ไม่ใช่เหล่ามโนปโทสิกะ ย่อมไม่มัว |
จ้องจับผิดกันและกันเกินควร เมื่อไม่มัวจ้องจับผิดกันและกันเกินควรก็ไม่คิดมุ่งร้าย | จ้องจับผิดกันและกันเกินควร เมื่อไม่มัวจ้องจับผิดกันและกันเกินควรก็ไม่คิดมุ่งร้าย | ||
ต่อกัน เมื่อไม่คิดมุ่งร้ายต่อกันก็ไม่เหนื่อยกายเหนื่อยใจจึงไม่จุติจากชั้นนั้น เป็นผู้ | ต่อกัน เมื่อไม่คิดมุ่งร้ายต่อกันก็ไม่เหนื่อยกายเหนื่อยใจจึงไม่จุติจากชั้นนั้น เป็นผู้ | ||
บรรทัด 594: | บรรทัด 727: | ||
เกินควรจึงคิดมุ่งร้ายต่อกัน เมื่อคิดมุ่งร้ายต่อกัน จึงเหนื่อยกายเหนื่อยใจ พากันจุติ | เกินควรจึงคิดมุ่งร้ายต่อกัน เมื่อคิดมุ่งร้ายต่อกัน จึงเหนื่อยกายเหนื่อยใจ พากันจุติ | ||
จากชั้นนั้น เป็นผู้ไม่เที่ยงแท้ ไม่ยั่งยืน ไม่คงทน อายุสั้น ต้องจุติมาเป็นอย่างนี้’ | จากชั้นนั้น เป็นผู้ไม่เที่ยงแท้ ไม่ยั่งยืน ไม่คงทน อายุสั้น ต้องจุติมาเป็นอย่างนี้’ | ||
- | ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๓ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ | + | </br> ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๓ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ |
แล้ว จึงมีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บาง | แล้ว จึงมีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บาง | ||
อย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง | อย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง | ||
<center>มูลเหตุที่ ๔ | <center>มูลเหตุที่ ๔ | ||
- | </center> [๔๙]<a name=49></a> ๘. (๔) อนึ่ง ในมูลเหตุที่ ๔ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๔๙]<a name=49></a> ๘. (๔) อนึ่ง ในมูลเหตุที่ ๔ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร | ||
ปรารภอะไร จึงมีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า | ปรารภอะไร จึงมีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า | ||
บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้เป็น | บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้เป็น | ||
บรรทัด 606: | บรรทัด 741: | ||
นี้เรียกว่าอัตตา เป็นของเที่ยงแท้ ยั่งยืน คงทน ไม่ผันแปร จักดำรงอยู่เที่ยงแท้ไป | นี้เรียกว่าอัตตา เป็นของเที่ยงแท้ ยั่งยืน คงทน ไม่ผันแปร จักดำรงอยู่เที่ยงแท้ไป | ||
เช่นนั้นทีเดียว’ | เช่นนั้นทีเดียว’ | ||
- | ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๔ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ | + | </br> ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๔ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ |
แล้ว จึงมีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บาง | แล้ว จึงมีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บาง | ||
อย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง | อย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๐}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๐}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p21></a><a href=#p21><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p21></a><a href=#p21><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ทิฏฐิ ๖๒ อันตานันติกวาทะ ๔ | + | |
+ | [๑. พรหมชาลสูตร] | ||
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ทิฏฐิ ๖๒ อันตานันติกวาทะ ๔ | ||
</p class=reftop><center>สรุปเอกัจจสัสสตวาทะ | </p class=reftop><center>สรุปเอกัจจสัสสตวาทะ | ||
- | </center> [๕๐]<a name=50></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นมีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง บาง | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๕๐]<a name=50></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นมีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง บาง | ||
อย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยมูลเหตุ | อย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยมูลเหตุ | ||
๔ อย่างนี้แล ก็สมณพราหมณ์เหล่านั้นทุกจำพวกมีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง บาง | ๔ อย่างนี้แล ก็สมณพราหมณ์เหล่านั้นทุกจำพวกมีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง บาง | ||
อย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยมูลเหตุ | อย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยมูลเหตุ | ||
ทั้ง ๔ อย่างนี้ หรือด้วยมูลเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๔ อย่างนี้ ไม่พ้นไปจากนี้ | ทั้ง ๔ อย่างนี้ หรือด้วยมูลเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๔ อย่างนี้ ไม่พ้นไปจากนี้ | ||
- | [๕๑]<a name=51></a> ภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า มูลเหตุแห่งทิฏฐิเหล่านี้ที่บุคคล | + | </br> |
+ | |||
+ | [๕๑]<a name=51></a> ภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า มูลเหตุแห่งทิฏฐิเหล่านี้ที่บุคคล | ||
ยึดถืออย่างนี้แล้วย่อมมีคติและภพหน้าอย่างนั้นๆ ตถาคตรู้มูลเหตุนั้นชัดและยังรู้ | ยึดถืออย่างนี้แล้วย่อมมีคติและภพหน้าอย่างนั้นๆ ตถาคตรู้มูลเหตุนั้นชัดและยังรู้ | ||
ชัดยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีกจึงไม่ยึดมั่น เมื่อไม่ยึดมั่นจึงรู้ความดับด้วยตนเอง รู้ความเกิด | ชัดยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีกจึงไม่ยึดมั่น เมื่อไม่ยึดมั่นจึงรู้ความดับด้วยตนเอง รู้ความเกิด | ||
ความดับ คุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดเวทนาออกตามความเป็นจริง ตถาคตจึง | ความดับ คุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดเวทนาออกตามความเป็นจริง ตถาคตจึง | ||
หลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น | หลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น | ||
- | [๕๒]<a name=52></a> ภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แล ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๕๒]<a name=52></a> ภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แล ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ | ||
ประณีต ใช้เหตุผลคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตรู้แจ้งได้ | ประณีต ใช้เหตุผลคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตรู้แจ้งได้ | ||
เองแล้วสั่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งตามอันเป็นเหตุให้คนกล่าวยกย่องตถาคตถูกต้องตาม | เองแล้วสั่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งตามอันเป็นเหตุให้คนกล่าวยกย่องตถาคตถูกต้องตาม | ||
บรรทัด 630: | บรรทัด 773: | ||
<center>อันตานันติกวาทะ ๔ | <center>อันตานันติกวาทะ ๔ | ||
</center><center>เห็นว่าโลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด<sup>๑-</sup> | </center><center>เห็นว่าโลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด<sup>๑-</sup> | ||
- | </center> [๕๓]<a name=53></a> ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะว่า โลกมีที่สุด โลก | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๕๓]<a name=53></a> ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะว่า โลกมีที่สุด โลก | ||
ไม่มีที่สุด บัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง ก็ | ไม่มีที่สุด บัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง ก็ | ||
สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นอาศัยอะไรปรารภอะไร จึงมีวาทะว่า โลกมีที่สุด โลก | สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นอาศัยอะไรปรารภอะไร จึงมีวาทะว่า โลกมีที่สุด โลก | ||
ไม่มีที่สุด บัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง | ไม่มีที่สุด บัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง | ||
- | <a name=p21attha></a><a href=#p21attha><small class=atta>@เชิงอรรถ :</small></a> | + | <a name=p21attha></a><a href=#p21attha><small class=atta></br></br>@เชิงอรรถ :</small></a> |
<small>@<sup>๑</sup> คำว่า ที่สุด ในที่นี้หมายถึงขอบเขตของโลก ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง และตามขวาง ซึ่งเป็นข้อที่ยกขึ้นโต้แย้งกัน</small> | <small>@<sup>๑</sup> คำว่า ที่สุด ในที่นี้หมายถึงขอบเขตของโลก ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง และตามขวาง ซึ่งเป็นข้อที่ยกขึ้นโต้แย้งกัน</small> | ||
<small>@ว่า โลกมีขอบเขตกำจัด หรือไม่มีขอบเขตจำกัด (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=106&modeTY=2&edition=thai>๕๔/๑๐๖</a>)</small> | <small>@ว่า โลกมีขอบเขตกำจัด หรือไม่มีขอบเขตจำกัด (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=106&modeTY=2&edition=thai>๕๔/๑๐๖</a>)</small> | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๑}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๑}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p22></a><a href=#p22><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p22></a><a href=#p22><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ทิฏฐิ ๖๒ อันตานันติกวาทะ ๔ | + | |
+ | [๑. พรหมชาลสูตร] | ||
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ทิฏฐิ ๖๒ อันตานันติกวาทะ ๔ | ||
</p class=reftop><center>มูลเหตุที่ ๑ | </p class=reftop><center>มูลเหตุที่ ๑ | ||
- | </center> [๕๔]<a name=54></a> ๙. (๑) ภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้อาศัย | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๕๔]<a name=54></a> ๙. (๑) ภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้อาศัย | ||
ความเพียรเครื่องเผากิเลส ความเพียรที่ตั้งมั่น ความหมั่นประกอบ ความไม่ | ความเพียรเครื่องเผากิเลส ความเพียรที่ตั้งมั่น ความหมั่นประกอบ ความไม่ | ||
ประมาท และอาศัยการใช้ความคิดอย่างถูกวิธีแล้วบรรลุเจโตสมาธิที่เป็นเหตุทำจิต | ประมาท และอาศัยการใช้ความคิดอย่างถูกวิธีแล้วบรรลุเจโตสมาธิที่เป็นเหตุทำจิต | ||
ให้ตั้งมั่น จึงเข้าใจว่าโลกมีที่สุด | ให้ตั้งมั่น จึงเข้าใจว่าโลกมีที่สุด | ||
- | เขาจึงพูดอย่างนี้ว่า ‘โลกนี้มีที่สุด มีสัณฐานกลม เพราะเหตุไร เพราะเราอาศัย | + | </br> เขาจึงพูดอย่างนี้ว่า ‘โลกนี้มีที่สุด มีสัณฐานกลม เพราะเหตุไร เพราะเราอาศัย |
ความเพียรเครื่องเผากิเลส ความเพียรที่ตั้งมั่น ความหมั่นประกอบ ความไม่ | ความเพียรเครื่องเผากิเลส ความเพียรที่ตั้งมั่น ความหมั่นประกอบ ความไม่ | ||
ประมาท และอาศัยการใช้ความคิดอย่างถูกวิธีแล้วบรรลุเจโตสมาธิที่เป็นเหตุทำ | ประมาท และอาศัยการใช้ความคิดอย่างถูกวิธีแล้วบรรลุเจโตสมาธิที่เป็นเหตุทำ | ||
จิตให้ตั้งมั่น จึงเข้าใจว่าโลกมีที่สุด เพราะการบรรลุคุณวิเศษนี้ เราจึงรู้อาการที่โลก | จิตให้ตั้งมั่น จึงเข้าใจว่าโลกมีที่สุด เพราะการบรรลุคุณวิเศษนี้ เราจึงรู้อาการที่โลก | ||
นี้มีที่สุด และมีสัณฐานกลม’ | นี้มีที่สุด และมีสัณฐานกลม’ | ||
- | ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๑ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ | + | </br> ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๑ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ |
แล้ว จึงมีวาทะว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด บัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด | แล้ว จึงมีวาทะว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด บัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด | ||
<center>มูลเหตุที่ ๒ | <center>มูลเหตุที่ ๒ | ||
- | </center> [๕๕]<a name=55></a> ๑๐. (๒) อนึ่ง ในมูลเหตุที่ ๒ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๕๕]<a name=55></a> ๑๐. (๒) อนึ่ง ในมูลเหตุที่ ๒ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร | ||
ปรารภอะไร จึงมีวาทะว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด บัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มี | ปรารภอะไร จึงมีวาทะว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด บัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มี | ||
ที่สุด ภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้อาศัยความเพียรเครื่อง | ที่สุด ภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้อาศัยความเพียรเครื่อง | ||
บรรทัด 660: | บรรทัด 811: | ||
การใช้ความคิดอย่างถูกวิธีแล้วบรรลุเจโตสมาธิที่เป็นเหตุทำจิตให้ตั้งมั่น จึงเข้าใจว่า | การใช้ความคิดอย่างถูกวิธีแล้วบรรลุเจโตสมาธิที่เป็นเหตุทำจิตให้ตั้งมั่น จึงเข้าใจว่า | ||
โลกไม่มีที่สุด | โลกไม่มีที่สุด | ||
- | เขาจึงพูดอย่างนี้ว่า ‘โลกนี้ไม่มีที่สุด หาที่สุดไม่ได้ สมณพราหมณ์ที่กล่าวอย่าง | + | </br> เขาจึงพูดอย่างนี้ว่า ‘โลกนี้ไม่มีที่สุด หาที่สุดไม่ได้ สมณพราหมณ์ที่กล่าวอย่าง |
นี้ว่า โลกนี้มีที่สุด มีสัณฐานกลม เป็นผู้กล่าวเท็จ (ที่จริงแล้ว) โลกนี้ไม่มีที่สุด หา | นี้ว่า โลกนี้มีที่สุด มีสัณฐานกลม เป็นผู้กล่าวเท็จ (ที่จริงแล้ว) โลกนี้ไม่มีที่สุด หา | ||
ที่สุดไม่ได้ เพราะเหตุไร เพราะเราอาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส ความเพียรที่ตั้ง | ที่สุดไม่ได้ เพราะเหตุไร เพราะเราอาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส ความเพียรที่ตั้ง | ||
บรรทัด 668: | บรรทัด 819: | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๒}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๒}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p23></a><a href=#p23><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p23></a><a href=#p23><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ทิฏฐิ ๖๒ อันตานันติกวาทะ ๔ | + | |
- | </p class=reftop> ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๒ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ | + | [๑. พรหมชาลสูตร] |
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ทิฏฐิ ๖๒ อันตานันติกวาทะ ๔ | ||
+ | </p class=reftop></br> ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๒ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ | ||
แล้ว จึงมีวาทะว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด บัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด | แล้ว จึงมีวาทะว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด บัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด | ||
<center>มูลเหตุที่ ๓ | <center>มูลเหตุที่ ๓ | ||
- | </center> [๕๖]<a name=56></a> ๑๑. (๓) อนึ่ง ในมูลเหตุที่ ๓ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๕๖]<a name=56></a> ๑๑. (๓) อนึ่ง ในมูลเหตุที่ ๓ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร | ||
ปรารภอะไรจึงมีวาทะว่าโลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด บัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มี | ปรารภอะไรจึงมีวาทะว่าโลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด บัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มี | ||
ที่สุด ภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้อาศัยความเพียรเครื่อง | ที่สุด ภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้อาศัยความเพียรเครื่อง | ||
บรรทัด 679: | บรรทัด 834: | ||
ใช้ความคิดอย่างถูกวิธีแล้วบรรลุเจโตสมาธิที่เป็นเหตุทำจิตให้ตั้งมั่น จึงเข้าใจโลกว่า | ใช้ความคิดอย่างถูกวิธีแล้วบรรลุเจโตสมาธิที่เป็นเหตุทำจิตให้ตั้งมั่น จึงเข้าใจโลกว่า | ||
ด้านบนด้านล่างมีที่สุด ด้านขวางไม่มีที่สุด | ด้านบนด้านล่างมีที่สุด ด้านขวางไม่มีที่สุด | ||
- | เขาจึงพูดอย่างนี้ว่า ‘โลกนี้ทั้งมีที่สุดและไม่มีที่สุด สมณพราหมณ์ที่กล่าวอย่าง | + | </br> เขาจึงพูดอย่างนี้ว่า ‘โลกนี้ทั้งมีที่สุดและไม่มีที่สุด สมณพราหมณ์ที่กล่าวอย่าง |
นี้ว่า โลกนี้มีที่สุด มีสัณฐานกลม เป็นผู้กล่าวเท็จ แม้สมณพราหมณ์ที่กล่าวอย่าง | นี้ว่า โลกนี้มีที่สุด มีสัณฐานกลม เป็นผู้กล่าวเท็จ แม้สมณพราหมณ์ที่กล่าวอย่าง | ||
นี้ว่า โลกนี้ไม่มีที่สุด หาที่สุดไม่ได้ ก็เป็นผู้กล่าวเท็จ (ที่จริงแล้ว) โลกนี้ทั้งมีที่สุด | นี้ว่า โลกนี้ไม่มีที่สุด หาที่สุดไม่ได้ ก็เป็นผู้กล่าวเท็จ (ที่จริงแล้ว) โลกนี้ทั้งมีที่สุด | ||
บรรทัด 687: | บรรทัด 842: | ||
ด้านขวางไม่มีที่สุด เพราะการบรรลุคุณวิเศษนี้ เราจึงรู้อาการที่โลกนี้ทั้งมีที่สุดและ | ด้านขวางไม่มีที่สุด เพราะการบรรลุคุณวิเศษนี้ เราจึงรู้อาการที่โลกนี้ทั้งมีที่สุดและ | ||
ไม่มีที่สุด’ | ไม่มีที่สุด’ | ||
- | ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๓ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ | + | </br> ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๓ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ |
แล้ว จึงมีวาทะว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด บัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด | แล้ว จึงมีวาทะว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด บัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด | ||
<center>มูลเหตุที่ ๔ | <center>มูลเหตุที่ ๔ | ||
- | </center> [๕๗]<a name=57></a> ๑๒. (๔) อนึ่ง ในมูลเหตุที่ ๔ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไรปรารภ | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๕๗]<a name=57></a> ๑๒. (๔) อนึ่ง ในมูลเหตุที่ ๔ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไรปรารภ | ||
อะไร จึงมีวาทะว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด บัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด | อะไร จึงมีวาทะว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด บัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด | ||
ภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้เป็นนักตรรกะ เป็นนัก | ภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้เป็นนักตรรกะ เป็นนัก | ||
บรรทัด 698: | บรรทัด 855: | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๓}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๓}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p24></a><a href=#p24><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p24></a><a href=#p24><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ทิฏฐิ ๖๒ อมราวิกเขปวาทะ ๔ | + | |
+ | [๑. พรหมชาลสูตร] | ||
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ทิฏฐิ ๖๒ อมราวิกเขปวาทะ ๔ | ||
</p class=reftop>หาที่สุดไม่ได้ ก็เป็นผู้กล่าวเท็จ แม้สมณพราหมณ์ที่กล่าวอย่างนี้ว่า โลกนี้ทั้งมีที่สุด | </p class=reftop>หาที่สุดไม่ได้ ก็เป็นผู้กล่าวเท็จ แม้สมณพราหมณ์ที่กล่าวอย่างนี้ว่า โลกนี้ทั้งมีที่สุด | ||
และไม่มีที่สุด ก็เป็นผู้กล่าวเท็จ (ที่จริงแล้ว) โลกนี้มีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่’ | และไม่มีที่สุด ก็เป็นผู้กล่าวเท็จ (ที่จริงแล้ว) โลกนี้มีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่’ | ||
- | ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๔ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ | + | </br> ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๔ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ |
แล้ว จึงมีวาทะว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด บัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด | แล้ว จึงมีวาทะว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด บัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด | ||
<center>สรุปอันตานันติกวาทะ | <center>สรุปอันตานันติกวาทะ | ||
- | </center> [๕๘]<a name=58></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นมีวาทะว่า โลกมีที่สุด โลก | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๕๘]<a name=58></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นมีวาทะว่า โลกมีที่สุด โลก | ||
ไม่มีที่สุด บัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่างนี้แล ก็ | ไม่มีที่สุด บัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่างนี้แล ก็ | ||
สมณพราหมณ์เหล่านั้นทุกจำพวก บัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ด้วยมูลเหตุ | สมณพราหมณ์เหล่านั้นทุกจำพวก บัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ด้วยมูลเหตุ | ||
ทั้ง ๔ อย่างนี้หรือด้วยมูลเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๔ อย่างนี้ ไม่พ้นไปจากนี้ | ทั้ง ๔ อย่างนี้หรือด้วยมูลเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๔ อย่างนี้ ไม่พ้นไปจากนี้ | ||
- | [๕๙]<a name=59></a> ภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า มูลเหตุแห่งทิฏฐิเหล่านี้ที่บุคคล | + | </br> |
+ | |||
+ | [๕๙]<a name=59></a> ภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า มูลเหตุแห่งทิฏฐิเหล่านี้ที่บุคคล | ||
ยึดถืออย่างนี้แล้วย่อมมีคติและภพหน้าอย่างนั้นๆ ตถาคตรู้มูลเหตุนั้นชัด และยังรู้ | ยึดถืออย่างนี้แล้วย่อมมีคติและภพหน้าอย่างนั้นๆ ตถาคตรู้มูลเหตุนั้นชัด และยังรู้ | ||
ชัดยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีกจึงไม่ยึดมั่น เมื่อไม่ยึดมั่นจึงรู้ความดับด้วยตนเอง รู้ความเกิด | ชัดยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีกจึงไม่ยึดมั่น เมื่อไม่ยึดมั่นจึงรู้ความดับด้วยตนเอง รู้ความเกิด | ||
ความดับ คุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดเวทนาออกตามความเป็นจริง ตถาคตจึง | ความดับ คุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดเวทนาออกตามความเป็นจริง ตถาคตจึง | ||
หลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น | หลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น | ||
- | [๖๐]<a name=60></a> ภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แล ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๖๐]<a name=60></a> ภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แล ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ | ||
ประณีต ใช้เหตุผลคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตรู้แจ้งได้ | ประณีต ใช้เหตุผลคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตรู้แจ้งได้ | ||
เองแล้วสั่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งตามอันเป็นเหตุให้คนกล่าวยกย่องตถาคตถูกต้องตาม | เองแล้วสั่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งตามอันเป็นเหตุให้คนกล่าวยกย่องตถาคตถูกต้องตาม | ||
บรรทัด 720: | บรรทัด 885: | ||
<center>อมราวิกเขปวาทะ<sup>๑-</sup> ๔ | <center>อมราวิกเขปวาทะ<sup>๑-</sup> ๔ | ||
</center><center>ความเห็นหลบเลี่ยง ไม่แน่นอน | </center><center>ความเห็นหลบเลี่ยง ไม่แน่นอน | ||
- | </center> [๖๑]<a name=61></a> ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะหลบเลี่ยงไม่แน่นอน | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๖๑]<a name=61></a> ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะหลบเลี่ยงไม่แน่นอน | ||
พอถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ ย่อมกล่าวหลบเลี่ยงไม่แน่นอนด้วยมูลเหตุ ๔ | พอถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ ย่อมกล่าวหลบเลี่ยงไม่แน่นอนด้วยมูลเหตุ ๔ | ||
อย่าง ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นอาศัยอะไรปรารภอะไรจึงมีวาทะหลบเลี่ยง | อย่าง ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นอาศัยอะไรปรารภอะไรจึงมีวาทะหลบเลี่ยง | ||
- | <a name=p24attha></a><a href=#p24attha><small class=atta>@เชิงอรรถ :</small></a> | + | <a name=p24attha></a><a href=#p24attha><small class=atta></br></br>@เชิงอรรถ :</small></a> |
<small>@<sup>๑</sup> ลัทธิที่มีความเห็นหลบเลี่ยงไม่แน่นอนว่าใช่หรือไม่ใช่ เป็นความเห็นที่ลื่นไหลจับได้ยากเหมือนปลาไหล</small> | <small>@<sup>๑</sup> ลัทธิที่มีความเห็นหลบเลี่ยงไม่แน่นอนว่าใช่หรือไม่ใช่ เป็นความเห็นที่ลื่นไหลจับได้ยากเหมือนปลาไหล</small> | ||
<small>@(ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=106&modeTY=2&edition=thai#61>๖๑/๑๐๖</a>)</small> | <small>@(ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=106&modeTY=2&edition=thai#61>๖๑/๑๐๖</a>)</small> | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๔}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๔}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p25></a><a href=#p25><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p25></a><a href=#p25><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ทิฏฐิ ๖๒ อมราวิกเขปวาทะ ๔ | + | |
+ | [๑. พรหมชาลสูตร] | ||
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ทิฏฐิ ๖๒ อมราวิกเขปวาทะ ๔ | ||
</p class=reftop>ไม่แน่นอน พอถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ ย่อมกล่าวหลบเลี่ยงไม่แน่นอนด้วย | </p class=reftop>ไม่แน่นอน พอถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ ย่อมกล่าวหลบเลี่ยงไม่แน่นอนด้วย | ||
มูลเหตุ ๔ อย่าง | มูลเหตุ ๔ อย่าง | ||
<center>มูลเหตุที่ ๑ | <center>มูลเหตุที่ ๑ | ||
- | </center> [๖๒]<a name=62></a> ๑๓. (๑) ภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ไม่รู้ชัด | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๖๒]<a name=62></a> ๑๓. (๑) ภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ไม่รู้ชัด | ||
ตามความเป็นจริงว่า ‘สิ่งนี้เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล’ เขามีความเห็นอย่างนี้ว่า ‘เราไม่ | ตามความเป็นจริงว่า ‘สิ่งนี้เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล’ เขามีความเห็นอย่างนี้ว่า ‘เราไม่ | ||
รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า สิ่งนี้เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ก็ถ้าเราไม่รู้ชัดว่า สิ่งนี้เป็น | รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า สิ่งนี้เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ก็ถ้าเราไม่รู้ชัดว่า สิ่งนี้เป็น | ||
บรรทัด 741: | บรรทัด 912: | ||
ถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ จึงกล่าวหลบเลี่ยงไม่แน่นอนว่า ‘เรามีความเห็นว่า | ถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ จึงกล่าวหลบเลี่ยงไม่แน่นอนว่า ‘เรามีความเห็นว่า | ||
อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ จะว่าไม่ใช่ก็มิใช่ จะว่ามิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่’ | อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ จะว่าไม่ใช่ก็มิใช่ จะว่ามิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่’ | ||
- | ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๑ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ | + | </br> ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๑ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ |
แล้ว จึงมีวาทะหลบเลี่ยงไม่แน่นอน พอถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ ย่อมกล่าว | แล้ว จึงมีวาทะหลบเลี่ยงไม่แน่นอน พอถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ ย่อมกล่าว | ||
หลบเลี่ยงไม่แน่นอน | หลบเลี่ยงไม่แน่นอน | ||
<center>มูลเหตุที่ ๒ | <center>มูลเหตุที่ ๒ | ||
- | </center> [๖๓]<a name=63></a> ๑๔. (๒) อนึ่ง ในมูลเหตุที่ ๒ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๖๓]<a name=63></a> ๑๔. (๒) อนึ่ง ในมูลเหตุที่ ๒ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร | ||
ปรารภอะไร จึงมีวาทะหลบเลี่ยงไม่แน่นอน พอถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ ย่อม | ปรารภอะไร จึงมีวาทะหลบเลี่ยงไม่แน่นอน พอถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ ย่อม | ||
กล่าวหลบเลี่ยงไม่แน่นอน ภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ไม่รู้ | กล่าวหลบเลี่ยงไม่แน่นอน ภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ไม่รู้ | ||
บรรทัด 755: | บรรทัด 928: | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๕}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๕}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p26></a><a href=#p26><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p26></a><a href=#p26><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ทิฏฐิ ๖๒ อมราวิกเขปวาทะ ๔ | + | |
- | </p class=reftop> ดังนั้น เขาจึงตอบว่า ‘สิ่งนี้เป็นกุศลก็หามิได้ เป็นอกุศลก็หามิได้’ เพราะกลัวและ | + | [๑. พรหมชาลสูตร] |
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ทิฏฐิ ๖๒ อมราวิกเขปวาทะ ๔ | ||
+ | </p class=reftop></br> ดังนั้น เขาจึงตอบว่า ‘สิ่งนี้เป็นกุศลก็หามิได้ เป็นอกุศลก็หามิได้’ เพราะกลัวและ | ||
รังเกียจการยึดมั่น เมื่อถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ จึงกล่าวหลบเลี่ยงไม่แน่นอน | รังเกียจการยึดมั่น เมื่อถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ จึงกล่าวหลบเลี่ยงไม่แน่นอน | ||
ว่า ‘เรามีความเห็นว่า อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ จะว่าไม่ใช่ก็มิใช่ | ว่า ‘เรามีความเห็นว่า อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ จะว่าไม่ใช่ก็มิใช่ | ||
จะว่ามิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่’ | จะว่ามิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่’ | ||
- | ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๒ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้ว | + | </br> ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๒ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้ว |
ปรารภแล้วจึงมีวาทะหลบเลี่ยงไม่แน่นอน พอถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ ย่อม | ปรารภแล้วจึงมีวาทะหลบเลี่ยงไม่แน่นอน พอถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ ย่อม | ||
กล่าวหลบเลี่ยงไม่แน่นอน | กล่าวหลบเลี่ยงไม่แน่นอน | ||
<center>มูลเหตุที่ ๓ | <center>มูลเหตุที่ ๓ | ||
- | </center> [๖๔]<a name=64></a> ๑๕. (๓) อนึ่ง ในมูลเหตุที่ ๓ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไรปรารภ | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๖๔]<a name=64></a> ๑๕. (๓) อนึ่ง ในมูลเหตุที่ ๓ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไรปรารภ | ||
อะไร จึงมีวาทะหลบเลี่ยงไม่แน่นอน เมื่อถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ ย่อมกล่าว | อะไร จึงมีวาทะหลบเลี่ยงไม่แน่นอน เมื่อถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ ย่อมกล่าว | ||
หลบเลี่ยงไม่แน่นอน ภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ไม่รู้ชัดตาม | หลบเลี่ยงไม่แน่นอน ภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ไม่รู้ชัดตาม | ||
บรรทัด 778: | บรรทัด 955: | ||
กล่าวหลบเลี่ยงไม่แน่นอนว่า ‘เรามีความเห็นว่า อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่าง | กล่าวหลบเลี่ยงไม่แน่นอนว่า ‘เรามีความเห็นว่า อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่าง | ||
อื่นก็มิใช่ จะว่าไม่ใช่ก็มิใช่ จะว่ามิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่’ | อื่นก็มิใช่ จะว่าไม่ใช่ก็มิใช่ จะว่ามิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่’ | ||
- | ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๓ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ | + | </br> ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๓ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ |
แล้ว จึงมีวาทะหลบเลี่ยงไม่แน่นอน พอถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ ย่อมกล่าว | แล้ว จึงมีวาทะหลบเลี่ยงไม่แน่นอน พอถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ ย่อมกล่าว | ||
หลบเลี่ยงไม่แน่นอน | หลบเลี่ยงไม่แน่นอน | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๖}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๖}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p27></a><a href=#p27><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p27></a><a href=#p27><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ทิฏฐิ ๖๒ อมราวิกเขปวาทะ ๔ | + | |
+ | [๑. พรหมชาลสูตร] | ||
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ทิฏฐิ ๖๒ อมราวิกเขปวาทะ ๔ | ||
</p class=reftop><center>มูลเหตุที่ ๔ | </p class=reftop><center>มูลเหตุที่ ๔ | ||
- | </center> [๖๕]<a name=65></a> ๑๖. (๔) อนึ่ง ในมูลเหตุที่ ๔ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๖๕]<a name=65></a> ๑๖. (๔) อนึ่ง ในมูลเหตุที่ ๔ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร | ||
ปรารภอะไรจึงมีวาทะหลบเลี่ยงไม่แน่นอน เมื่อถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ ย่อม | ปรารภอะไรจึงมีวาทะหลบเลี่ยงไม่แน่นอน เมื่อถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ ย่อม | ||
กล่าวหลบเลี่ยงไม่แน่นอน ภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้เป็น | กล่าวหลบเลี่ยงไม่แน่นอน ภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้เป็น | ||
บรรทัด 806: | บรรทัด 987: | ||
ว่าไม่เกิดอีกก็มิใช่ แต่เรามีความเห็นว่า อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ | ว่าไม่เกิดอีกก็มิใช่ แต่เรามีความเห็นว่า อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ | ||
จะว่าไม่ใช่ก็มิใช่ จะว่ามิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่’ | จะว่าไม่ใช่ก็มิใช่ จะว่ามิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่’ | ||
- | ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๔ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ | + | </br> ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๔ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ |
แล้ว จึงมีวาทะหลบเลี่ยงไม่แน่นอน พอถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ ย่อมกล่าว | แล้ว จึงมีวาทะหลบเลี่ยงไม่แน่นอน พอถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ ย่อมกล่าว | ||
หลบเลี่ยงไม่แน่นอน | หลบเลี่ยงไม่แน่นอน | ||
- | <a name=p27attha></a><a href=#p27attha><small class=atta>@เชิงอรรถ :</small></a> | + | <a name=p27attha></a><a href=#p27attha><small class=atta></br></br>@เชิงอรรถ :</small></a> |
<small>@<sup>๑</sup> โอปปาติกะ สัตว์ที่เกิดและเติบโตเต็มที่ทันที และเมื่อจุติ(ตาย) ก็หายวับไป ไม่ทิ้งซากศพไว้ เช่น เทวดา</small> | <small>@<sup>๑</sup> โอปปาติกะ สัตว์ที่เกิดและเติบโตเต็มที่ทันที และเมื่อจุติ(ตาย) ก็หายวับไป ไม่ทิ้งซากศพไว้ เช่น เทวดา</small> | ||
<small>@และสัตว์นรก เป็นต้น (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=149&modeTY=2&edition=thai#171>๑๗๑/๑๔๙</a>)</small> | <small>@และสัตว์นรก เป็นต้น (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=149&modeTY=2&edition=thai#171>๑๗๑/๑๔๙</a>)</small> | ||
บรรทัด 816: | บรรทัด 997: | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๗}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๗}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p28></a><a href=#p28><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p28></a><a href=#p28><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ทิฏฐิ ๖๒ อธิจจสมุปปันนวาทะ ๒ | + | |
+ | [๑. พรหมชาลสูตร] | ||
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ทิฏฐิ ๖๒ อธิจจสมุปปันนวาทะ ๒ | ||
</p class=reftop><center>สรุปอมราวิกเขปวาทะ | </p class=reftop><center>สรุปอมราวิกเขปวาทะ | ||
- | </center> [๖๖]<a name=66></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นมีวาทะหลบเลี่ยงไม่แน่นอน พอ | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๖๖]<a name=66></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นมีวาทะหลบเลี่ยงไม่แน่นอน พอ | ||
ถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ ย่อมกล่าวหลบเลี่ยงไม่แน่นอน ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง | ถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ ย่อมกล่าวหลบเลี่ยงไม่แน่นอน ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง | ||
นี้แล ก็สมณพราหมณ์เหล่านั้นทุกจำพวกพอถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ ย่อม | นี้แล ก็สมณพราหมณ์เหล่านั้นทุกจำพวกพอถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ ย่อม | ||
บรรทัด 827: | บรรทัด 1012: | ||
<center>อธิจจสมุปปันนวาทะ ๒ | <center>อธิจจสมุปปันนวาทะ ๒ | ||
</center><center>เห็นว่าอัตตาและโลกเกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย | </center><center>เห็นว่าอัตตาและโลกเกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย | ||
- | </center> [๖๗]<a name=67></a> ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะว่า อัตตาและโลก | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๖๗]<a name=67></a> ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะว่า อัตตาและโลก | ||
เกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย บัญญัติอัตตาและโลกว่า เกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย ด้วย | เกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย บัญญัติอัตตาและโลกว่า เกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย ด้วย | ||
มูลเหตุ ๒ อย่าง ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นอาศัยอะไรปรารภอะไรจึงมีวาทะ | มูลเหตุ ๒ อย่าง ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นอาศัยอะไรปรารภอะไรจึงมีวาทะ | ||
บรรทัด 833: | บรรทัด 1020: | ||
เหตุปัจจัย ด้วยมูลเหตุ ๒ อย่าง | เหตุปัจจัย ด้วยมูลเหตุ ๒ อย่าง | ||
<center>มูลเหตุที่ ๑ | <center>มูลเหตุที่ ๑ | ||
- | </center> [๖๘]<a name=68></a> ๑๗. (๑) ภิกษุทั้งหลาย มีทวยเทพชื่ออสัญญีสัตว์จุติ (เคลื่อน) จาก | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๖๘]<a name=68></a> ๑๗. (๑) ภิกษุทั้งหลาย มีทวยเทพชื่ออสัญญีสัตว์จุติ (เคลื่อน) จาก | ||
ชั้นนั้นเพราะเกิดสัญญาขึ้น ข้อที่สัตว์ผู้จุติจากชั้นนั้นแล้วมาเป็นอย่างนี้ เป็นสิ่งที่เป็น | ชั้นนั้นเพราะเกิดสัญญาขึ้น ข้อที่สัตว์ผู้จุติจากชั้นนั้นแล้วมาเป็นอย่างนี้ เป็นสิ่งที่เป็น | ||
ไปได้ เมื่อเขามาเป็นอย่างนี้แล้วออกจากเรือนไปบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว | ไปได้ เมื่อเขามาเป็นอย่างนี้แล้วออกจากเรือนไปบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว | ||
บรรทัด 841: | บรรทัด 1030: | ||
‘อัตตาและโลกเกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย เพราะเหตุไร เพราะเมื่อก่อนเราไม่ได้มีแล้ว | ‘อัตตาและโลกเกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย เพราะเหตุไร เพราะเมื่อก่อนเราไม่ได้มีแล้ว | ||
บัดนี้ก็ไม่มี จึงน้อมไปเพื่อเป็นผู้สงบ’ | บัดนี้ก็ไม่มี จึงน้อมไปเพื่อเป็นผู้สงบ’ | ||
- | <a name=p28attha></a><a href=#p28attha><small class=atta>@เชิงอรรถ :</small></a> | + | <a name=p28attha></a><a href=#p28attha><small class=atta></br></br>@เชิงอรรถ :</small></a> |
<small>@<sup>๑</sup> ความเต็มเหมือนสัสสตทิฏฐิ <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/read_page.php?book=9&page=16&edition=mcu>ข้อ ๓๖ และ ๓๗</a></small> | <small>@<sup>๑</sup> ความเต็มเหมือนสัสสตทิฏฐิ <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/read_page.php?book=9&page=16&edition=mcu>ข้อ ๓๖ และ ๓๗</a></small> | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๘}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๘}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p29></a><a href=#p29><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p29></a><a href=#p29><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ทิฏฐิ ๖๒ สรุปปพพันตกัปปิกวาทะ ๑๘ | + | |
- | </p class=reftop> ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๑ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ | + | [๑. พรหมชาลสูตร] |
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ทิฏฐิ ๖๒ สรุปปพพันตกัปปิกวาทะ ๑๘ | ||
+ | </p class=reftop></br> ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๑ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ | ||
แล้ว จึงมีวาทะว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย บัญญัติอัตตาและโลก | แล้ว จึงมีวาทะว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย บัญญัติอัตตาและโลก | ||
ว่า เกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย | ว่า เกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย | ||
<center>มูลเหตุที่ ๒ | <center>มูลเหตุที่ ๒ | ||
- | </center> [๖๙]<a name=69></a> ๑๘. (๒) อนึ่ง ในมูลเหตุที่ ๒ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๖๙]<a name=69></a> ๑๘. (๒) อนึ่ง ในมูลเหตุที่ ๒ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร | ||
ปรารภอะไร จึงมีวาทะว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย บัญญัติอัตตาและ | ปรารภอะไร จึงมีวาทะว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย บัญญัติอัตตาและ | ||
โลกว่า เกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย ภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลก | โลกว่า เกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย ภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลก | ||
นี้เป็นนักตรรกะ เป็นนักอภิปรัชญา แสดงทรรศนะของตนตามหลักเหตุผลและการ | นี้เป็นนักตรรกะ เป็นนักอภิปรัชญา แสดงทรรศนะของตนตามหลักเหตุผลและการ | ||
คาดคะเนความจริงอย่างนี้ว่า ‘อัตตาและโลกเกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย’ | คาดคะเนความจริงอย่างนี้ว่า ‘อัตตาและโลกเกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย’ | ||
- | ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๒ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ | + | </br> ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุที่ ๒ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภ |
แล้ว จึงมีวาทะว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย บัญญัติอัตตาและโลกว่า | แล้ว จึงมีวาทะว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย บัญญัติอัตตาและโลกว่า | ||
เกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย | เกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย | ||
<center>สรุปอธิจจสมุปปันนวาทะ | <center>สรุปอธิจจสมุปปันนวาทะ | ||
- | </center> [๗๐]<a name=70></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นมีวาทะว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้น | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๗๐]<a name=70></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นมีวาทะว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้น | ||
เองไม่มีเหตุปัจจัย บัญญัติอัตตาและโลกว่า เกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย ด้วยมูลเหตุ ๒ | เองไม่มีเหตุปัจจัย บัญญัติอัตตาและโลกว่า เกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย ด้วยมูลเหตุ ๒ | ||
อย่างนี้แล ก็สมณพราหมณ์เหล่านั้นทุกจำพวกมีวาทะว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นเองไม่ | อย่างนี้แล ก็สมณพราหมณ์เหล่านั้นทุกจำพวกมีวาทะว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นเองไม่ | ||
บรรทัด 867: | บรรทัด 1062: | ||
เป็นเหตุให้คนกล่าวยกย่องตถาคตถูกต้องตามความเป็นจริง | เป็นเหตุให้คนกล่าวยกย่องตถาคตถูกต้องตามความเป็นจริง | ||
<center>สรุปปุพพันตกัปปิกวาทะ ๑๘ | <center>สรุปปุพพันตกัปปิกวาทะ ๑๘ | ||
- | </center> [๗๑]<a name=71></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นกำหนดขันธ์ (สรรพสิ่ง) ส่วนอดีต | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๗๑]<a name=71></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นกำหนดขันธ์ (สรรพสิ่ง) ส่วนอดีต | ||
มีความเห็นคล้อยตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภขันธ์ส่วนอดีต ประกาศวาทะแสดงทิฏฐิ | มีความเห็นคล้อยตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภขันธ์ส่วนอดีต ประกาศวาทะแสดงทิฏฐิ | ||
ต่างๆ ด้วยมูลเหตุ ๑๘ อย่างนี้แล ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นทุกจำพวก กล่าว | ต่างๆ ด้วยมูลเหตุ ๑๘ อย่างนี้แล ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นทุกจำพวก กล่าว | ||
บรรทัด 874: | บรรทัด 1071: | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๙}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๒๙}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p30></a><a href=#p30><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p30></a><a href=#p30><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ทิฏฐิ ๖๒ สัญญีวาทะ ๑๖ | + | |
- | </p class=reftop> [๗๒]<a name=72></a> ภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า มูลเหตุแห่งทิฏฐิเหล่านี้ที่บุคคลยึด | + | [๑. พรหมชาลสูตร] |
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ทิฏฐิ ๖๒ สัญญีวาทะ ๑๖ | ||
+ | </p class=reftop></br> | ||
+ | |||
+ | [๗๒]<a name=72></a> ภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า มูลเหตุแห่งทิฏฐิเหล่านี้ที่บุคคลยึด | ||
ถืออย่างนี้แล้ว ย่อมมีคติและภพหน้าอย่างนั้นๆ ตถาคตรู้มูลเหตุนั้นชัด และยัง | ถืออย่างนี้แล้ว ย่อมมีคติและภพหน้าอย่างนั้นๆ ตถาคตรู้มูลเหตุนั้นชัด และยัง | ||
รู้ชัดยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีกจึงไม่ยึดมั่น เมื่อไม่ยึดมั่นจึงรู้ความดับด้วยตนเอง รู้ความ | รู้ชัดยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีกจึงไม่ยึดมั่น เมื่อไม่ยึดมั่นจึงรู้ความดับด้วยตนเอง รู้ความ | ||
เกิด ความดับ คุณ โทษแห่งเวทนา และอุบายเครื่องสลัดเวทนาออกตามความเป็น | เกิด ความดับ คุณ โทษแห่งเวทนา และอุบายเครื่องสลัดเวทนาออกตามความเป็น | ||
จริง ตถาคตจึงหลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น | จริง ตถาคตจึงหลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น | ||
- | [๗๓]<a name=73></a> ภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แล ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๗๓]<a name=73></a> ภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แล ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ | ||
ประณีต ใช้เหตุผลคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตรู้แจ้งได้ | ประณีต ใช้เหตุผลคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตรู้แจ้งได้ | ||
เองแล้วสั่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งตามอันเป็นเหตุให้คนกล่าวยกย่องตถาคตถูกต้องตาม | เองแล้วสั่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งตามอันเป็นเหตุให้คนกล่าวยกย่องตถาคตถูกต้องตาม | ||
บรรทัด 887: | บรรทัด 1090: | ||
<center>อปรันตกัปปิกวาทะ ๔๔ | <center>อปรันตกัปปิกวาทะ ๔๔ | ||
</center><center>ความเห็นกำหนดขันธ์ส่วนอนาคต | </center><center>ความเห็นกำหนดขันธ์ส่วนอนาคต | ||
- | </center> [๗๔]<a name=74></a> ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งกำหนดขันธ์ (สรรพสิ่ง) ส่วน | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๗๔]<a name=74></a> ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งกำหนดขันธ์ (สรรพสิ่ง) ส่วน | ||
อนาคต เห็นคล้อยตามขันธ์ส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ส่วนอนาคต ประกาศวาทะ | อนาคต เห็นคล้อยตามขันธ์ส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ส่วนอนาคต ประกาศวาทะ | ||
แสดงทิฏฐิต่างๆ ด้วยมูลเหตุ ๔๔ อย่าง ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นอาศัย | แสดงทิฏฐิต่างๆ ด้วยมูลเหตุ ๔๔ อย่าง ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นอาศัย | ||
บรรทัด 894: | บรรทัด 1099: | ||
<center>สัญญีวาทะ<sup>๑-</sup> ๑๖ | <center>สัญญีวาทะ<sup>๑-</sup> ๑๖ | ||
</center><center>เห็นว่าอัตตาหลังจากตายแล้วมีสัญญา | </center><center>เห็นว่าอัตตาหลังจากตายแล้วมีสัญญา | ||
- | </center> [๗๕]<a name=75></a> ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะว่า อัตตาหลังจากตาย | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๗๕]<a name=75></a> ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะว่า อัตตาหลังจากตาย | ||
แล้วมีสัญญา บัญญัติอัตตาหลังจากตายแล้วว่ามีสัญญา ด้วยมูลเหตุ ๑๖ อย่าง ก็ | แล้วมีสัญญา บัญญัติอัตตาหลังจากตายแล้วว่ามีสัญญา ด้วยมูลเหตุ ๑๖ อย่าง ก็ | ||
สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นอาศัยอะไรปรารภอะไรจึงมีวาทะว่า อัตตาหลังจาก | สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นอาศัยอะไรปรารภอะไรจึงมีวาทะว่า อัตตาหลังจาก | ||
ตายแล้วมีสัญญา บัญญัติอัตตาหลังจากตายแล้วว่ามีสัญญา ด้วยมูลเหตุ ๑๖ อย่าง | ตายแล้วมีสัญญา บัญญัติอัตตาหลังจากตายแล้วว่ามีสัญญา ด้วยมูลเหตุ ๑๖ อย่าง | ||
- | <a name=p30attha></a><a href=#p30attha><small class=atta>@เชิงอรรถ :</small></a> | + | <a name=p30attha></a><a href=#p30attha><small class=atta></br></br>@เชิงอรรถ :</small></a> |
<small>@<sup>๑</sup> ลัทธิที่ถือว่า หลังจากตายแล้วอัตตายังมีสัญญาเหลืออยู่ คำว่า สัญญา ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความจำได้</small> | <small>@<sup>๑</sup> ลัทธิที่ถือว่า หลังจากตายแล้วอัตตายังมีสัญญาเหลืออยู่ คำว่า สัญญา ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความจำได้</small> | ||
<small>@หมายรู้ธรรมดา แต่หมายถึงภาวะที่เป็นความรู้สึกรู้ขั้นละเอียด</small> | <small>@หมายรู้ธรรมดา แต่หมายถึงภาวะที่เป็นความรู้สึกรู้ขั้นละเอียด</small> | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๓๐}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๓๐}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p31></a><a href=#p31><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p31></a><a href=#p31><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ทิฏฐิ ๖๒ สัญญีวาทะ ๑๖ | + | |
- | </p class=reftop> [๗๖]<a name=76></a> สมณพราหมณ์เหล่านั้นย่อมบัญญัติว่า | + | [๑. พรหมชาลสูตร] |
- | ๑๙. (๑) อัตตาที่มีรูป ยั่งยืน หลังจากตายแล้วมีสัญญา | + | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ทิฏฐิ ๖๒ สัญญีวาทะ ๑๖ |
- | ๒๐. (๒) อัตตาที่ไม่มีรูป ยั่งยืน หลังจากตายแล้วมีสัญญา | + | </p class=reftop></br> |
- | ๒๑. (๓) อัตตาทั้งที่มีรูปและไม่มีรูป ยั่งยืน หลังจากตายแล้วมีสัญญา | + | |
- | ๒๒. (๔) อัตตาที่มีรูปก็มิใช่ ไม่มีรูปก็มิใช่ ยั่งยืน หลังจากตายแล้วมี | + | [๗๖]<a name=76></a> สมณพราหมณ์เหล่านั้นย่อมบัญญัติว่า |
+ | </br> ๑๙. (๑) อัตตาที่มีรูป ยั่งยืน หลังจากตายแล้วมีสัญญา | ||
+ | </br> ๒๐. (๒) อัตตาที่ไม่มีรูป ยั่งยืน หลังจากตายแล้วมีสัญญา | ||
+ | </br> ๒๑. (๓) อัตตาทั้งที่มีรูปและไม่มีรูป ยั่งยืน หลังจากตายแล้วมีสัญญา | ||
+ | </br> ๒๒. (๔) อัตตาที่มีรูปก็มิใช่ ไม่มีรูปก็มิใช่ ยั่งยืน หลังจากตายแล้วมี | ||
สัญญา | สัญญา | ||
- | ๒๓. (๕) อัตตาที่มีที่สุด ยั่งยืน หลังจากตายแล้วมีสัญญา | + | </br> ๒๓. (๕) อัตตาที่มีที่สุด ยั่งยืน หลังจากตายแล้วมีสัญญา |
- | ๒๔. (๖) อัตตาที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน หลังจากตายแล้วมีสัญญา | + | </br> ๒๔. (๖) อัตตาที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน หลังจากตายแล้วมีสัญญา |
- | ๒๕. (๗) อัตตาทั้งที่มีที่สุดและไม่มีที่สุด ยั่งยืน หลังจากตายแล้วมี | + | </br> ๒๕. (๗) อัตตาทั้งที่มีที่สุดและไม่มีที่สุด ยั่งยืน หลังจากตายแล้วมี |
สัญญา | สัญญา | ||
- | ๒๖. (๘) อัตตาที่มีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ยั่งยืน หลังจากตาย | + | </br> ๒๖. (๘) อัตตาที่มีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ยั่งยืน หลังจากตาย |
แล้วมีสัญญา | แล้วมีสัญญา | ||
- | ๒๗. (๙) อัตตาที่มีสัญญาอย่างเดียวกัน ยั่งยืน หลังจากตายแล้วมี | + | </br> ๒๗. (๙) อัตตาที่มีสัญญาอย่างเดียวกัน ยั่งยืน หลังจากตายแล้วมี |
สัญญา | สัญญา | ||
- | ๒๘. (๑๐) อัตตาที่มีสัญญาต่างกัน ยั่งยืน หลังจากตายแล้วมีสัญญา | + | </br> ๒๘. (๑๐) อัตตาที่มีสัญญาต่างกัน ยั่งยืน หลังจากตายแล้วมีสัญญา |
- | ๒๙. (๑๑) อัตตาที่มีสัญญาเล็กน้อย ยั่งยืน หลังจากตายแล้วมีสัญญา | + | </br> ๒๙. (๑๑) อัตตาที่มีสัญญาเล็กน้อย ยั่งยืน หลังจากตายแล้วมีสัญญา |
- | ๓๐. (๑๒) อัตตาที่มีสัญญาหาประมาณมิได้ ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว | + | </br> ๓๐. (๑๒) อัตตาที่มีสัญญาหาประมาณมิได้ ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว |
มีสัญญา | มีสัญญา | ||
- | ๓๑. (๑๓) อัตตาที่มีสุขอย่างเดียว ยั่งยืน หลังจากตายแล้วมีสัญญา | + | </br> ๓๑. (๑๓) อัตตาที่มีสุขอย่างเดียว ยั่งยืน หลังจากตายแล้วมีสัญญา |
- | ๓๒. (๑๔) อัตตาที่มีทุกข์อย่างเดียว ยั่งยืน หลังจากตายแล้วมีสัญญา | + | </br> ๓๒. (๑๔) อัตตาที่มีทุกข์อย่างเดียว ยั่งยืน หลังจากตายแล้วมีสัญญา |
- | ๓๓. (๑๕) อัตตาที่มีทั้งสุขและทุกข์ ยั่งยืน หลังจากตายแล้วมีสัญญา | + | </br> ๓๓. (๑๕) อัตตาที่มีทั้งสุขและทุกข์ ยั่งยืน หลังจากตายแล้วมีสัญญา |
- | ๓๔. (๑๖) อัตตาที่มีทุกข์ก็มิใช่ มีสุขก็มิใช่ ยั่งยืน หลังจากตายแล้วมี | + | </br> ๓๔. (๑๖) อัตตาที่มีทุกข์ก็มิใช่ มีสุขก็มิใช่ ยั่งยืน หลังจากตายแล้วมี |
สัญญา | สัญญา | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๓๑}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๓๑}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p32></a><a href=#p32><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p32></a><a href=#p32><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ทิฏฐิ ๖๒ อสัญญีวาทะ ๘ | + | |
+ | [๑. พรหมชาลสูตร] | ||
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ทิฏฐิ ๖๒ อสัญญีวาทะ ๘ | ||
</p class=reftop><center>สรุปสัญญีวาทะ ๑๖ | </p class=reftop><center>สรุปสัญญีวาทะ ๑๖ | ||
- | </center> [๗๗]<a name=77></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นมีวาทะว่า อัตตาหลังจากตาย | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๗๗]<a name=77></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นมีวาทะว่า อัตตาหลังจากตาย | ||
แล้วมีสัญญา บัญญัติอัตตาหลังจากตายแล้วว่ามีสัญญา ด้วยมูลเหตุ ๑๖ อย่างนี้แล | แล้วมีสัญญา บัญญัติอัตตาหลังจากตายแล้วว่ามีสัญญา ด้วยมูลเหตุ ๑๖ อย่างนี้แล | ||
ก็สมณพราหมณ์เหล่านั้นทุกจำพวกมีวาทะว่า อัตตาหลังจากตายแล้วมีสัญญา | ก็สมณพราหมณ์เหล่านั้นทุกจำพวกมีวาทะว่า อัตตาหลังจากตายแล้วมีสัญญา | ||
บรรทัด 942: | บรรทัด 1157: | ||
</center><center>อสัญญีวาทะ ๘ | </center><center>อสัญญีวาทะ ๘ | ||
</center><center>เห็นว่าอัตตาหลังจากตายแล้วไม่มีสัญญา | </center><center>เห็นว่าอัตตาหลังจากตายแล้วไม่มีสัญญา | ||
- | </center> [๗๘]<a name=78></a> ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะว่า อัตตาหลังจากตาย | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๗๘]<a name=78></a> ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะว่า อัตตาหลังจากตาย | ||
แล้วไม่มีสัญญา บัญญัติอัตตาหลังจากตายแล้วว่าไม่มีสัญญา ด้วยมูลเหตุ ๘ อย่าง | แล้วไม่มีสัญญา บัญญัติอัตตาหลังจากตายแล้วว่าไม่มีสัญญา ด้วยมูลเหตุ ๘ อย่าง | ||
ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นอาศัยอะไรปรารภอะไรจึงมีวาทะว่า อัตตาหลังจากตาย | ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นอาศัยอะไรปรารภอะไรจึงมีวาทะว่า อัตตาหลังจากตาย | ||
แล้วไม่มีสัญญา บัญญัติอัตตาหลังจากตายแล้วว่าไม่มีสัญญา ด้วยมูลเหตุ ๘ อย่าง | แล้วไม่มีสัญญา บัญญัติอัตตาหลังจากตายแล้วว่าไม่มีสัญญา ด้วยมูลเหตุ ๘ อย่าง | ||
- | [๗๙]<a name=79></a> สมณพราหมณ์เหล่านั้นย่อมบัญญัติว่า | + | </br> |
- | ๓๕. (๑) อัตตาที่มีรูป ยั่งยืน หลังจากตายแล้วไม่มีสัญญา | + | |
- | ๓๖. (๒) อัตตาที่ไม่มีรูป ยั่งยืน หลังจากตายแล้วไม่มีสัญญา | + | [๗๙]<a name=79></a> สมณพราหมณ์เหล่านั้นย่อมบัญญัติว่า |
- | ๓๗. (๓) อัตตาทั้งที่มีรูปและไม่มีรูป ยั่งยืน หลังจากตายแล้วไม่มี | + | </br> ๓๕. (๑) อัตตาที่มีรูป ยั่งยืน หลังจากตายแล้วไม่มีสัญญา |
+ | </br> ๓๖. (๒) อัตตาที่ไม่มีรูป ยั่งยืน หลังจากตายแล้วไม่มีสัญญา | ||
+ | </br> ๓๗. (๓) อัตตาทั้งที่มีรูปและไม่มีรูป ยั่งยืน หลังจากตายแล้วไม่มี | ||
สัญญา | สัญญา | ||
- | ๓๘. (๔) อัตตาที่มีรูปก็มิใช่ ไม่มีรูปก็มิใช่ ยั่งยืน หลังจากตายแล้วไม่ | + | </br> ๓๘. (๔) อัตตาที่มีรูปก็มิใช่ ไม่มีรูปก็มิใช่ ยั่งยืน หลังจากตายแล้วไม่ |
มีสัญญา | มีสัญญา | ||
- | ๓๙. (๕) อัตตาที่มีที่สุด ยั่งยืน หลังจากตายแล้วไม่มีสัญญา | + | </br> ๓๙. (๕) อัตตาที่มีที่สุด ยั่งยืน หลังจากตายแล้วไม่มีสัญญา |
- | ๔๐. (๖) อัตตาที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน หลังจากตายแล้วไม่มีสัญญา | + | </br> ๔๐. (๖) อัตตาที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน หลังจากตายแล้วไม่มีสัญญา |
- | ๔๑. (๗) อัตตาทั้งที่มีที่สุดและไม่มีที่สุด ยั่งยืน หลังจากตายแล้วไม่มี | + | </br> ๔๑. (๗) อัตตาทั้งที่มีที่สุดและไม่มีที่สุด ยั่งยืน หลังจากตายแล้วไม่มี |
สัญญา | สัญญา | ||
- | ๔๒. (๘) อัตตาที่มีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว | + | </br> ๔๒. (๘) อัตตาที่มีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว |
ไม่มีสัญญา | ไม่มีสัญญา | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๓๒}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๓๒}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p33></a><a href=#p33><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p33></a><a href=#p33><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ทิฏฐิ ๖๒ เนวสัญญีนาสัญญีวาทะ ๘ | + | |
- | </p class=reftop> [๘๐]<a name=80></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นมีวาทะว่า อัตตาหลังจากตาย | + | [๑. พรหมชาลสูตร] |
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ทิฏฐิ ๖๒ เนวสัญญีนาสัญญีวาทะ ๘ | ||
+ | </p class=reftop></br> | ||
+ | |||
+ | [๘๐]<a name=80></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นมีวาทะว่า อัตตาหลังจากตาย | ||
แล้วไม่มีสัญญา บัญญัติอัตตาหลังจากตายแล้วว่าไม่มีสัญญา ด้วยมูลเหตุ ๘ อย่างนี้ | แล้วไม่มีสัญญา บัญญัติอัตตาหลังจากตายแล้วว่าไม่มีสัญญา ด้วยมูลเหตุ ๘ อย่างนี้ | ||
แล สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นทุกจำพวกมีวาทะว่า อัตตาหลังจากตายแล้วไม่มี | แล สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นทุกจำพวกมีวาทะว่า อัตตาหลังจากตายแล้วไม่มี | ||
บรรทัด 971: | บรรทัด 1194: | ||
<center>เนวสัญญีนาสัญญีวาทะ ๘ | <center>เนวสัญญีนาสัญญีวาทะ ๘ | ||
</center><center>เห็นว่าอัตตาหลังจากตายแล้วมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ | </center><center>เห็นว่าอัตตาหลังจากตายแล้วมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ | ||
- | </center> [๘๑]<a name=81></a> ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะว่า อัตตาหลังจาก | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๘๑]<a name=81></a> ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะว่า อัตตาหลังจาก | ||
ตายแล้วมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ บัญญัติอัตตาหลังจากตายแล้วว่ามีสัญญา | ตายแล้วมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ บัญญัติอัตตาหลังจากตายแล้วว่ามีสัญญา | ||
ก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ด้วยมูลเหตุ ๘ อย่าง ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นอาศัย | ก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ด้วยมูลเหตุ ๘ อย่าง ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นอาศัย | ||
บรรทัด 977: | บรรทัด 1202: | ||
ก็มิใช่ บัญญัติอัตตาหลังจากตายแล้วว่ามีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ด้วยมูลเหตุ | ก็มิใช่ บัญญัติอัตตาหลังจากตายแล้วว่ามีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ด้วยมูลเหตุ | ||
๘ อย่าง | ๘ อย่าง | ||
- | [๘๒]<a name=82></a> สมณพราหมณ์เหล่านั้นย่อมบัญญัติว่า | + | </br> |
- | ๔๓. (๑) อัตตาที่มีรูป ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มี | + | |
+ | [๘๒]<a name=82></a> สมณพราหมณ์เหล่านั้นย่อมบัญญัติว่า | ||
+ | </br> ๔๓. (๑) อัตตาที่มีรูป ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มี | ||
สัญญาก็มิใช่ | สัญญาก็มิใช่ | ||
- | ๔๔. (๒) อัตตาที่ไม่มีรูป ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว มีสัญญาก็มิใช่ ไม่ | + | </br> ๔๔. (๒) อัตตาที่ไม่มีรูป ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว มีสัญญาก็มิใช่ ไม่ |
มีสัญญาก็มิใช่ | มีสัญญาก็มิใช่ | ||
- | ๔๕. (๓) อัตตาทั้งที่มีรูปและไม่มีรูป ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว มี | + | </br> ๔๕. (๓) อัตตาทั้งที่มีรูปและไม่มีรูป ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว มี |
สัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ | สัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ | ||
- | ๔๖. (๔) อัตตาที่มีรูปก็มิใช่ ไม่มีรูปก็มิใช่ ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว | + | </br> ๔๖. (๔) อัตตาที่มีรูปก็มิใช่ ไม่มีรูปก็มิใช่ ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว |
มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ | มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ | ||
- | ๔๗. (๕) อัตตาที่มีที่สุด ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มี | + | </br> ๔๗. (๕) อัตตาที่มีที่สุด ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มี |
สัญญาก็มิใช่ | สัญญาก็มิใช่ | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๓๓}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๓๓}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p34></a><a href=#p34><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p34></a><a href=#p34><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ทิฏฐิ ๖๒ อุจเฉทวาทะ ๗ | + | |
- | </p class=reftop> ๔๘. (๖) อัตตาที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว มีสัญญาก็มิใช่ | + | [๑. พรหมชาลสูตร] |
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ทิฏฐิ ๖๒ อุจเฉทวาทะ ๗ | ||
+ | </p class=reftop></br> ๔๘. (๖) อัตตาที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว มีสัญญาก็มิใช่ | ||
ไม่มีสัญญาก็มิใช่ | ไม่มีสัญญาก็มิใช่ | ||
- | ๔๙. (๗) อัตตาทั้งที่มีที่สุดและไม่มีที่สุด ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว มี | + | </br> ๔๙. (๗) อัตตาทั้งที่มีที่สุดและไม่มีที่สุด ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว มี |
สัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ | สัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ | ||
- | ๕๐. (๘) อัตตาที่มีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว | + | </br> ๕๐. (๘) อัตตาที่มีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว |
มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ | มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ | ||
- | [๘๓]<a name=83></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นมีวาทะว่า อัตตาหลังจากตาย | + | </br> |
+ | |||
+ | [๘๓]<a name=83></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นมีวาทะว่า อัตตาหลังจากตาย | ||
แล้ว มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ บัญญัติอัตตาหลังจากตายแล้วว่า มีสัญญา | แล้ว มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ บัญญัติอัตตาหลังจากตายแล้วว่า มีสัญญา | ||
ก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ด้วยมูลเหตุ ๘ อย่างนี้แล ก็สมณพราหมณ์เหล่านั้นทุก | ก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ด้วยมูลเหตุ ๘ อย่างนี้แล ก็สมณพราหมณ์เหล่านั้นทุก | ||
บรรทัด 1007: | บรรทัด 1238: | ||
<center>อุจเฉทวาทะ<sup>๑-</sup> ๗ | <center>อุจเฉทวาทะ<sup>๑-</sup> ๗ | ||
</center><center>เห็นว่าหลังจากตายแล้วอัตตาขาดสูญ | </center><center>เห็นว่าหลังจากตายแล้วอัตตาขาดสูญ | ||
- | </center> [๘๔]<a name=84></a> ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะว่าหลังจากตายแล้ว | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๘๔]<a name=84></a> ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะว่าหลังจากตายแล้ว | ||
อัตตาขาดสูญ บัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ และความไม่เกิดอีกของสัตว์ | อัตตาขาดสูญ บัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ และความไม่เกิดอีกของสัตว์ | ||
ด้วยมูลเหตุ ๗ อย่าง ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นอาศัยอะไรปรารภอะไรจึงมี | ด้วยมูลเหตุ ๗ อย่าง ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นอาศัยอะไรปรารภอะไรจึงมี | ||
วาทะว่า หลังจากตายแล้ว อัตตาขาดสูญ บัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ และ | วาทะว่า หลังจากตายแล้ว อัตตาขาดสูญ บัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ และ | ||
ความไม่เกิดอีกของสัตว์ ด้วยมูลเหตุ ๗ อย่าง | ความไม่เกิดอีกของสัตว์ ด้วยมูลเหตุ ๗ อย่าง | ||
- | [๘๕]<a name=85></a> ๕๑. (๑) สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้มีวาทะมีทรรศนะอย่างนี้ว่า | + | </br> |
+ | |||
+ | [๘๕]<a name=85></a> ๕๑. (๑) สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้มีวาทะมีทรรศนะอย่างนี้ว่า | ||
‘ท่านผู้เจริญ อัตตานี้มีรูปมาจากมหาภูตรูป ๔ เกิดจากบิดามารดา หลังจากตายแล้ว | ‘ท่านผู้เจริญ อัตตานี้มีรูปมาจากมหาภูตรูป ๔ เกิดจากบิดามารดา หลังจากตายแล้ว | ||
อัตตาย่อมขาดสูญพินาศ ไม่เกิดอีก ด้วยเหตุเพียงเท่านี้อัตตานี้จึงขาดสูญเด็ดขาด’ | อัตตาย่อมขาดสูญพินาศ ไม่เกิดอีก ด้วยเหตุเพียงเท่านี้อัตตานี้จึงขาดสูญเด็ดขาด’ | ||
สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ และความไม่เกิดอีกของ | สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ และความไม่เกิดอีกของ | ||
สัตว์อย่างนี้ | สัตว์อย่างนี้ | ||
- | <a name=p34attha></a><a href=#p34attha><small class=atta>@เชิงอรรถ :</small></a> | + | <a name=p34attha></a><a href=#p34attha><small class=atta></br></br>@เชิงอรรถ :</small></a> |
<small>@<sup>๑</sup> ลัทธิที่ถือว่าตายแล้วไม่เกิดอีก เป็นแนวคิดเชิงวัตถุนิยม ลัทธินี้ทำให้หมกมุ่นในกามสุข (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=110&modeTY=2&edition=thai#84>๘๔/๑๑๐</a>)</small> | <small>@<sup>๑</sup> ลัทธิที่ถือว่าตายแล้วไม่เกิดอีก เป็นแนวคิดเชิงวัตถุนิยม ลัทธินี้ทำให้หมกมุ่นในกามสุข (ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=110&modeTY=2&edition=thai#84>๘๔/๑๑๐</a>)</small> | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๓๔}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๓๔}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p35></a><a href=#p35><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p35></a><a href=#p35><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ทิฏฐิ ๖๒ อุจเฉทวาทะ ๗ | + | |
- | </p class=reftop> [๘๖]<a name=86></a> ๕๒. (๒) สมณะหรือพราหมณ์คนอื่นกล่าวกับสมณะหรือพราหมณ์คน | + | [๑. พรหมชาลสูตร] |
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ทิฏฐิ ๖๒ อุจเฉทวาทะ ๗ | ||
+ | </p class=reftop></br> | ||
+ | |||
+ | [๘๖]<a name=86></a> ๕๒. (๒) สมณะหรือพราหมณ์คนอื่นกล่าวกับสมณะหรือพราหมณ์คน | ||
นั้นอย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้เจริญ อัตตาที่ท่านพูดถึงนั้นมีจริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่ | นั้นอย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้เจริญ อัตตาที่ท่านพูดถึงนั้นมีจริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่ | ||
อัตตานี้ไม่ใช่ขาดสูญเด็ดขาดเพราะเหตุเพียงเท่านี้ ยังมีอัตตาอื่นที่เป็นทิพย์ มีรูปเป็น | อัตตานี้ไม่ใช่ขาดสูญเด็ดขาดเพราะเหตุเพียงเท่านี้ ยังมีอัตตาอื่นที่เป็นทิพย์ มีรูปเป็น | ||
บรรทัด 1030: | บรรทัด 1269: | ||
เด็ดขาด’ สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ และความไม่ | เด็ดขาด’ สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ และความไม่ | ||
เกิดอีกของสัตว์อย่างนี้ | เกิดอีกของสัตว์อย่างนี้ | ||
- | [๘๗]<a name=87></a> ๕๓. (๓) สมณะหรือพราหมณ์คนอื่นกล่าวกับสมณะหรือพราหมณ์คน | + | </br> |
+ | |||
+ | [๘๗]<a name=87></a> ๕๓. (๓) สมณะหรือพราหมณ์คนอื่นกล่าวกับสมณะหรือพราหมณ์คน | ||
นั้นอย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้เจริญ อัตตาที่ท่านพูดถึงนั้นมีจริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่ | นั้นอย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้เจริญ อัตตาที่ท่านพูดถึงนั้นมีจริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่ | ||
อัตตานี้ไม่ใช่ขาดสูญเด็ดขาดเพราะเหตุเพียงเท่านี้ ยังมีอัตตาอื่นที่เป็นทิพย์ มีรูป | อัตตานี้ไม่ใช่ขาดสูญเด็ดขาดเพราะเหตุเพียงเท่านี้ ยังมีอัตตาอื่นที่เป็นทิพย์ มีรูป | ||
บรรทัด 1037: | บรรทัด 1278: | ||
อัตตาจึงขาดสูญเด็ดขาด’ สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติความขาดสูญ ความ | อัตตาจึงขาดสูญเด็ดขาด’ สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติความขาดสูญ ความ | ||
พินาศ และความไม่เกิดอีกของสัตว์อย่างนี้ | พินาศ และความไม่เกิดอีกของสัตว์อย่างนี้ | ||
- | [๘๘]<a name=88></a> ๕๔. (๔) สมณะหรือพราหมณ์คนอื่นกล่าวกับสมณะหรือพราหมณ์ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๘๘]<a name=88></a> ๕๔. (๔) สมณะหรือพราหมณ์คนอื่นกล่าวกับสมณะหรือพราหมณ์ | ||
คนนั้นอย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้เจริญ อัตตาที่ท่านพูดถึงนั้นมีจริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี | คนนั้นอย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้เจริญ อัตตาที่ท่านพูดถึงนั้นมีจริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี | ||
แต่อัตตานี้ไม่ใช่ขาดสูญเด็ดขาดเพราะเหตุเพียงเท่านี้ ยังมีอัตตาอื่นที่ถึงชั้น | แต่อัตตานี้ไม่ใช่ขาดสูญเด็ดขาดเพราะเหตุเพียงเท่านี้ ยังมีอัตตาอื่นที่ถึงชั้น | ||
บรรทัด 1045: | บรรทัด 1288: | ||
นี้อัตตาจึงขาดสูญเด็ดขาด’ สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติความขาดสูญ ความ | นี้อัตตาจึงขาดสูญเด็ดขาด’ สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติความขาดสูญ ความ | ||
พินาศ และความไม่เกิดอีกของสัตว์อย่างนี้ | พินาศ และความไม่เกิดอีกของสัตว์อย่างนี้ | ||
- | [๘๙]<a name=89></a> ๕๕. (๕) สมณะหรือพราหมณ์คนอื่นกล่าวกับสมณะหรือพราหมณ์คน | + | </br> |
+ | |||
+ | [๘๙]<a name=89></a> ๕๕. (๕) สมณะหรือพราหมณ์คนอื่นกล่าวกับสมณะหรือพราหมณ์คน | ||
นั้นอย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้เจริญ อัตตาที่ท่านพูดถึงนั้นมีจริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่ | นั้นอย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้เจริญ อัตตาที่ท่านพูดถึงนั้นมีจริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่ | ||
- | <a name=p35attha></a><a href=#p35attha><small class=atta>@เชิงอรรถ :</small></a> | + | <a name=p35attha></a><a href=#p35attha><small class=atta></br></br>@เชิงอรรถ :</small></a> |
<small>@<sup>๑</sup> เทวดาชั้นกามาวจร ๖ ชั้น คือ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตดี</small> | <small>@<sup>๑</sup> เทวดาชั้นกามาวจร ๖ ชั้น คือ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตดี</small> | ||
<small>@(ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=111&modeTY=2&edition=thai#86>๘๖/๑๑๑</a>)</small> | <small>@(ที.สี.อ. <a title='คลิกเพื่ออ่าน' target=_blank class=mcu2 href=../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=111&modeTY=2&edition=thai#86>๘๖/๑๑๑</a>)</small> | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๓๕}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๓๕}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p36></a><a href=#p36><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p36></a><a href=#p36><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ทิฏฐิ ๖๒ อุจเฉทวาทะ ๗ | + | |
+ | [๑. พรหมชาลสูตร] | ||
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ทิฏฐิ ๖๒ อุจเฉทวาทะ ๗ | ||
</p class=reftop>อัตตานี้ไม่ใช่ขาดสูญเด็ดขาดเพราะเหตุเพียงเท่านี้ ยังมีอัตตาอื่นที่ถึงชั้นวิญญาณัญ- | </p class=reftop>อัตตานี้ไม่ใช่ขาดสูญเด็ดขาดเพราะเหตุเพียงเท่านี้ ยังมีอัตตาอื่นที่ถึงชั้นวิญญาณัญ- | ||
จายตนะ โดยกำหนดว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงอากาสานัญจายตนะได้โดย | จายตนะ โดยกำหนดว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงอากาสานัญจายตนะได้โดย | ||
บรรทัด 1059: | บรรทัด 1306: | ||
สูญพินาศไม่เกิดอีก ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อัตตาจึงขาดสูญเด็ดขาด’ สมณพราหมณ์ | สูญพินาศไม่เกิดอีก ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อัตตาจึงขาดสูญเด็ดขาด’ สมณพราหมณ์ | ||
พวกหนึ่งบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ และความไม่เกิดอีกของสัตว์อย่างนี้ | พวกหนึ่งบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ และความไม่เกิดอีกของสัตว์อย่างนี้ | ||
- | [๙๐]<a name=90></a> ๕๖. (๖) สมณะหรือพราหมณ์คนอื่นกล่าวกับสมณะหรือพราหมณ์คน | + | </br> |
+ | |||
+ | [๙๐]<a name=90></a> ๕๖. (๖) สมณะหรือพราหมณ์คนอื่นกล่าวกับสมณะหรือพราหมณ์คน | ||
นั้นอย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้เจริญ อัตตาที่ท่านพูดถึงนั้นมีจริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่ | นั้นอย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้เจริญ อัตตาที่ท่านพูดถึงนั้นมีจริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่ | ||
อัตตานี้ไม่ใช่ขาดสูญเด็ดขาดเพราะเหตุเพียงเท่านี้ ยังมีอัตตาอื่นที่ถึงชั้น | อัตตานี้ไม่ใช่ขาดสูญเด็ดขาดเพราะเหตุเพียงเท่านี้ ยังมีอัตตาอื่นที่ถึงชั้น | ||
บรรทัด 1067: | บรรทัด 1316: | ||
สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ และความไม่เกิดอีก | สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ และความไม่เกิดอีก | ||
ของสัตว์อย่างนี้ | ของสัตว์อย่างนี้ | ||
- | [๙๑]<a name=91></a> ๕๗. (๗) สมณะหรือพราหมณ์คนอื่นกล่าวกับสมณะหรือพราหมณ์คน | + | </br> |
+ | |||
+ | [๙๑]<a name=91></a> ๕๗. (๗) สมณะหรือพราหมณ์คนอื่นกล่าวกับสมณะหรือพราหมณ์คน | ||
นั้นอย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้เจริญ อัตตาที่ท่านพูดถึงนั้นมีจริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่ | นั้นอย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้เจริญ อัตตาที่ท่านพูดถึงนั้นมีจริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่ | ||
อัตตานี้ไม่ใช่ขาดสูญเด็ดขาดเพราะเหตุเพียงเท่านี้ ยังมีอัตตาอื่นที่ถึงชั้นเนว- | อัตตานี้ไม่ใช่ขาดสูญเด็ดขาดเพราะเหตุเพียงเท่านี้ ยังมีอัตตาอื่นที่ถึงชั้นเนว- | ||
บรรทัด 1075: | บรรทัด 1326: | ||
เด็ดขาด’ สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ และความไม่ | เด็ดขาด’ สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ และความไม่ | ||
เกิดอีกของสัตว์อย่างนี้ | เกิดอีกของสัตว์อย่างนี้ | ||
- | [๙๒]<a name=92></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นมีวาทะว่า หลังจากตายแล้ว | + | </br> |
+ | |||
+ | [๙๒]<a name=92></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นมีวาทะว่า หลังจากตายแล้ว | ||
อัตตาขาดสูญ บัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ และความไม่เกิดอีกของสัตว์ด้วย | อัตตาขาดสูญ บัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ และความไม่เกิดอีกของสัตว์ด้วย | ||
มูลเหตุ ๗ อย่างนี้แล ก็สมณพราหมณ์เหล่านั้นทุกจำพวกมีวาทะว่าหลังจาก | มูลเหตุ ๗ อย่างนี้แล ก็สมณพราหมณ์เหล่านั้นทุกจำพวกมีวาทะว่าหลังจาก | ||
บรรทัด 1083: | บรรทัด 1336: | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๓๖}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๓๖}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p37></a><a href=#p37><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p37></a><a href=#p37><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ทิฏฐิ ๖๒ ทิฏฐธัมมนิพพานวาทะ ๕ | + | |
+ | [๑. พรหมชาลสูตร] | ||
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ทิฏฐิ ๖๒ ทิฏฐธัมมนิพพานวาทะ ๕ | ||
</p class=reftop><center>ทิฏฐธัมมนิพพานวาทะ<sup>๑-</sup> ๕ | </p class=reftop><center>ทิฏฐธัมมนิพพานวาทะ<sup>๑-</sup> ๕ | ||
</center><center>เห็นว่ามีสภาพบางอย่างเป็นนิพพานในปัจจุบัน | </center><center>เห็นว่ามีสภาพบางอย่างเป็นนิพพานในปัจจุบัน | ||
- | </center> [๙๓]<a name=93></a> ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะว่า มีสภาพบางอย่าง | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๙๓]<a name=93></a> ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะว่า มีสภาพบางอย่าง | ||
เป็นนิพพานในปัจจุบัน บัญญัตินิพพานในปัจจุบันว่า เป็นบรมธรรมของสัตว์ ด้วย | เป็นนิพพานในปัจจุบัน บัญญัตินิพพานในปัจจุบันว่า เป็นบรมธรรมของสัตว์ ด้วย | ||
มูลเหตุ ๕ อย่าง ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นอาศัยอะไรปรารภอะไรจึงมีวาทะ | มูลเหตุ ๕ อย่าง ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นอาศัยอะไรปรารภอะไรจึงมีวาทะ | ||
ว่า มีสภาพบางอย่างเป็นนิพพานในปัจจุบัน บัญญัตินิพพานในปัจจุบันว่า เป็น | ว่า มีสภาพบางอย่างเป็นนิพพานในปัจจุบัน บัญญัตินิพพานในปัจจุบันว่า เป็น | ||
บรมธรรมของสัตว์ ด้วยมูลเหตุ ๕ อย่าง | บรมธรรมของสัตว์ ด้วยมูลเหตุ ๕ อย่าง | ||
- | [๙๔]<a name=94></a> ๕๘. (๑) สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้มีวาทะมีทรรศนะอย่างนี้ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๙๔]<a name=94></a> ๕๘. (๑) สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้มีวาทะมีทรรศนะอย่างนี้ | ||
ว่า ‘ท่านผู้เจริญ เพราะเหตุที่อัตตานี้เอิบอิ่มเพลิดเพลินอยู่ด้วยกามคุณ ๕ จึงชื่อว่า | ว่า ‘ท่านผู้เจริญ เพราะเหตุที่อัตตานี้เอิบอิ่มเพลิดเพลินอยู่ด้วยกามคุณ ๕ จึงชื่อว่า | ||
บรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรม’ สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัตินิพพาน | บรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรม’ สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัตินิพพาน | ||
ในปัจจุบันว่า เป็นบรมธรรมของสัตว์อย่างนี้ | ในปัจจุบันว่า เป็นบรมธรรมของสัตว์อย่างนี้ | ||
- | [๙๕]<a name=95></a> ๕๙. (๒) สมณะหรือพราหมณ์คนอื่นกล่าวกับสมณะหรือพราหมณ์คน | + | </br> |
+ | |||
+ | [๙๕]<a name=95></a> ๕๙. (๒) สมณะหรือพราหมณ์คนอื่นกล่าวกับสมณะหรือพราหมณ์คน | ||
นั้นอย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้เจริญ อัตตาที่ท่านพูดถึงนั้นมีจริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่ | นั้นอย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้เจริญ อัตตาที่ท่านพูดถึงนั้นมีจริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่ | ||
อัตตานี้ไม่ใช่จะบรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรมได้เพราะเหตุเพียงเท่า | อัตตานี้ไม่ใช่จะบรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรมได้เพราะเหตุเพียงเท่า | ||
บรรทัด 1105: | บรรทัด 1366: | ||
จึงชื่อว่าบรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรม’ สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติ | จึงชื่อว่าบรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรม’ สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติ | ||
นิพพานในปัจจุบันว่า เป็นบรมธรรมของสัตว์อย่างนี้ | นิพพานในปัจจุบันว่า เป็นบรมธรรมของสัตว์อย่างนี้ | ||
- | [๙๖]<a name=96></a> ๖๐. (๓) สมณะหรือพราหมณ์คนอื่นกล่าวกับสมณะหรือพราหมณ์คน | + | </br> |
+ | |||
+ | [๙๖]<a name=96></a> ๖๐. (๓) สมณะหรือพราหมณ์คนอื่นกล่าวกับสมณะหรือพราหมณ์คน | ||
นั้นอย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้เจริญ อัตตาที่ท่านพูดถึงนั้นมีจริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่ | นั้นอย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้เจริญ อัตตาที่ท่านพูดถึงนั้นมีจริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่ | ||
อัตตานี้ไม่ใช่จะบรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรมได้เพราะเหตุเพียงเท่า | อัตตานี้ไม่ใช่จะบรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรมได้เพราะเหตุเพียงเท่า | ||
- | <a name=p37attha></a><a href=#p37attha><small class=atta>@เชิงอรรถ :</small></a> | + | <a name=p37attha></a><a href=#p37attha><small class=atta></br></br>@เชิงอรรถ :</small></a> |
<small>@<sup>๑</sup> ลัทธิที่ถือว่า สามารถบรรลุนิพพาน หรือสามารถดับทุกข์ได้โดยง่ายในอัตภาพนี้ เป็นความเข้าใจของ</small> | <small>@<sup>๑</sup> ลัทธิที่ถือว่า สามารถบรรลุนิพพาน หรือสามารถดับทุกข์ได้โดยง่ายในอัตภาพนี้ เป็นความเข้าใจของ</small> | ||
<small>@พวกที่เห็นความเพลิดเพลินจากกามคุณว่าเป็นนิพพาน หรือเห็นความสุขจากฌานว่าเป็นนิพพาน</small> | <small>@พวกที่เห็นความเพลิดเพลินจากกามคุณว่าเป็นนิพพาน หรือเห็นความสุขจากฌานว่าเป็นนิพพาน</small> | ||
บรรทัด 1114: | บรรทัด 1377: | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๓๗}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๓๗}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p38></a><a href=#p38><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p38></a><a href=#p38><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> สรุปทิฏฐิ ๖๒ | + | |
+ | [๑. พรหมชาลสูตร] | ||
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> สรุปทิฏฐิ ๖๒ | ||
</p class=reftop>นี้ เพราะเหตุไร เพราะปฐมฌานที่มีวิตกมีวิจารนั้นบัณฑิตกล่าวว่า ยังหยาบอยู่ | </p class=reftop>นี้ เพราะเหตุไร เพราะปฐมฌานที่มีวิตกมีวิจารนั้นบัณฑิตกล่าวว่า ยังหยาบอยู่ | ||
เพราะเหตุที่วิตกวิจารสงบไป อัตตานี้จึงบรรลุทุติยฌานมีความผ่องใสในภายใน | เพราะเหตุที่วิตกวิจารสงบไป อัตตานี้จึงบรรลุทุติยฌานมีความผ่องใสในภายใน | ||
บรรทัด 1121: | บรรทัด 1386: | ||
จึงชื่อว่าบรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรม’ สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติ | จึงชื่อว่าบรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรม’ สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติ | ||
นิพพานในปัจจุบันว่าเป็นบรมธรรมของสัตว์อย่างนี้ | นิพพานในปัจจุบันว่าเป็นบรมธรรมของสัตว์อย่างนี้ | ||
- | [๙๗]<a name=97></a> ๖๑. (๔) สมณะหรือพราหมณ์คนอื่นกล่าวกับสมณะหรือพราหมณ์คน | + | </br> |
+ | |||
+ | [๙๗]<a name=97></a> ๖๑. (๔) สมณะหรือพราหมณ์คนอื่นกล่าวกับสมณะหรือพราหมณ์คน | ||
นั้นอย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้เจริญ อัตตาที่ท่านพูดถึงนั้นมีจริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่ | นั้นอย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้เจริญ อัตตาที่ท่านพูดถึงนั้นมีจริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่ | ||
อัตตานี้ไม่ใช่จะบรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรมได้เพราะเหตุเพียงเท่านี้ | อัตตานี้ไม่ใช่จะบรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรมได้เพราะเหตุเพียงเท่านี้ | ||
บรรทัด 1129: | บรรทัด 1396: | ||
มีสติอยู่เป็นสุข จึงชื่อว่าบรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรม’ สมณพราหมณ์ | มีสติอยู่เป็นสุข จึงชื่อว่าบรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรม’ สมณพราหมณ์ | ||
พวกหนึ่งบัญญัตินิพพานในปัจจุบันว่าเป็นบรมธรรมของสัตว์อย่างนี้ | พวกหนึ่งบัญญัตินิพพานในปัจจุบันว่าเป็นบรมธรรมของสัตว์อย่างนี้ | ||
- | [๙๘]<a name=98></a> ๖๒. (๕) สมณะหรือพราหมณ์คนอื่นกล่าวกับสมณะหรือพราหมณ์คน | + | </br> |
+ | |||
+ | [๙๘]<a name=98></a> ๖๒. (๕) สมณะหรือพราหมณ์คนอื่นกล่าวกับสมณะหรือพราหมณ์คน | ||
นั้นอย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้เจริญ อัตตาที่ท่านพูดถึงนั้นมีจริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่ | นั้นอย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้เจริญ อัตตาที่ท่านพูดถึงนั้นมีจริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่ | ||
อัตตานี้ไม่ใช่จะบรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรมได้เพราะเหตุเพียงเท่า | อัตตานี้ไม่ใช่จะบรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรมได้เพราะเหตุเพียงเท่า | ||
บรรทัด 1138: | บรรทัด 1407: | ||
ปัจจุบันว่าเป็นบรมธรรมของสัตว์อย่างนี้ | ปัจจุบันว่าเป็นบรมธรรมของสัตว์อย่างนี้ | ||
<center>สรุปทิฏฐธัมมนิพพานวาทะ | <center>สรุปทิฏฐธัมมนิพพานวาทะ | ||
- | </center> [๙๙]<a name=99></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นมีวาทะว่า มีสภาพบางอย่าง | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๙๙]<a name=99></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นมีวาทะว่า มีสภาพบางอย่าง | ||
เป็นนิพพานในปัจจุบัน บัญญัตินิพพานในปัจจุบันว่า เป็นบรมธรรมของสัตว์ ด้วย | เป็นนิพพานในปัจจุบัน บัญญัตินิพพานในปัจจุบันว่า เป็นบรมธรรมของสัตว์ ด้วย | ||
มูลเหตุ ๕ อย่างนี้แล ก็สมณพราหมณ์เหล่านั้นทุกจำพวกมีวาทะว่า มีสภาพ | มูลเหตุ ๕ อย่างนี้แล ก็สมณพราหมณ์เหล่านั้นทุกจำพวกมีวาทะว่า มีสภาพ | ||
บรรทัด 1144: | บรรทัด 1415: | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๓๘}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๓๘}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p39></a><a href=#p39><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p39></a><a href=#p39><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> สรุปทิฏฐิ ๖๒ | + | |
+ | [๑. พรหมชาลสูตร] | ||
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> สรุปทิฏฐิ ๖๒ | ||
</p class=reftop>สัตว์ ด้วยมูลเหตุทั้ง ๕ อย่างนี้ หรือด้วยมูลเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๕ อย่างนี้ ไม่ | </p class=reftop>สัตว์ ด้วยมูลเหตุทั้ง ๕ อย่างนี้ หรือด้วยมูลเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๕ อย่างนี้ ไม่ | ||
พ้นไปจากนี้ ฯลฯ อันเป็นเหตุให้คนกล่าวยกย่องตถาคตถูกต้องตามความเป็นจริง | พ้นไปจากนี้ ฯลฯ อันเป็นเหตุให้คนกล่าวยกย่องตถาคตถูกต้องตามความเป็นจริง | ||
- | [๑๐๐]<a name=100></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นกำหนดขันธ์ (สรรพสิ่ง) ส่วน | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๐๐]<a name=100></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นกำหนดขันธ์ (สรรพสิ่ง) ส่วน | ||
อนาคต เห็นคล้อยตามขันธ์ส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ส่วนอนาคต ประกาศวาทะ | อนาคต เห็นคล้อยตามขันธ์ส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ส่วนอนาคต ประกาศวาทะ | ||
แสดงทิฏฐิต่างๆ ด้วยมูลเหตุ ๔๔ อย่างนี้แล ก็สมณพราหมณ์เหล่านั้นทุกจำพวก | แสดงทิฏฐิต่างๆ ด้วยมูลเหตุ ๔๔ อย่างนี้แล ก็สมณพราหมณ์เหล่านั้นทุกจำพวก | ||
บรรทัด 1155: | บรรทัด 1430: | ||
อย่างหนึ่งใน ๔๔ อย่างนี้ ไม่พ้นไปจากนี้ ฯลฯ อันเป็นเหตุให้คนกล่าวยกย่อง | อย่างหนึ่งใน ๔๔ อย่างนี้ ไม่พ้นไปจากนี้ ฯลฯ อันเป็นเหตุให้คนกล่าวยกย่อง | ||
ตถาคตถูกต้องตามความเป็นจริง | ตถาคตถูกต้องตามความเป็นจริง | ||
- | [๑๐๑]<a name=101></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีต พวกที่ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๐๑]<a name=101></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีต พวกที่ | ||
กำหนดขันธ์ส่วนอนาคต และพวกที่กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต ล้วนมี | กำหนดขันธ์ส่วนอนาคต และพวกที่กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต ล้วนมี | ||
ความเห็นคล้อยตามขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตและ | ความเห็นคล้อยตามขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตและ | ||
อนาคต ประกาศวาทะแสดงทิฏฐิต่างๆ ด้วยมูลเหตุ ๖๒ อย่างนี้แล | อนาคต ประกาศวาทะแสดงทิฏฐิต่างๆ ด้วยมูลเหตุ ๖๒ อย่างนี้แล | ||
- | [๑๐๒]<a name=102></a> ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นทุกจำพวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีต ที่ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๐๒]<a name=102></a> ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นทุกจำพวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีต ที่ | ||
กำหนดขันธ์ส่วนอนาคต หรือที่กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต ล้วนมีความ | กำหนดขันธ์ส่วนอนาคต หรือที่กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต ล้วนมีความ | ||
เห็นคล้อยตามขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต | เห็นคล้อยตามขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต | ||
ประกาศวาทะแสดงทิฏฐิต่างๆ ด้วยมูลเหตุทั้ง ๖๒ อย่างนี้ หรือด้วยมูลเหตุอย่างใด | ประกาศวาทะแสดงทิฏฐิต่างๆ ด้วยมูลเหตุทั้ง ๖๒ อย่างนี้ หรือด้วยมูลเหตุอย่างใด | ||
อย่างหนึ่งใน ๖๒ อย่างนี้ ไม่พ้นไปจากนี้ | อย่างหนึ่งใน ๖๒ อย่างนี้ ไม่พ้นไปจากนี้ | ||
- | [๑๐๓]<a name=103></a> ภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า มูลเหตุแห่งทิฏฐิเหล่านี้ที่บุคคล | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๐๓]<a name=103></a> ภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า มูลเหตุแห่งทิฏฐิเหล่านี้ที่บุคคล | ||
ยึดถืออย่างนี้แล้วย่อมมีคติและภพหน้าอย่างนั้นๆ ตถาคตรู้มูลเหตุนั้นชัด และยังรู้ | ยึดถืออย่างนี้แล้วย่อมมีคติและภพหน้าอย่างนั้นๆ ตถาคตรู้มูลเหตุนั้นชัด และยังรู้ | ||
ชัดยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีกจึงไม่ยึดมั่น เมื่อไม่ยึดมั่นจึงรู้ความดับด้วยตนเอง รู้ความเกิด | ชัดยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีกจึงไม่ยึดมั่น เมื่อไม่ยึดมั่นจึงรู้ความดับด้วยตนเอง รู้ความเกิด | ||
ความดับ คุณ โทษแห่งเวทนา และอุบายเครื่องสลัดเวทนาออกตามความเป็นจริง | ความดับ คุณ โทษแห่งเวทนา และอุบายเครื่องสลัดเวทนาออกตามความเป็นจริง | ||
ตถาคตจึงหลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น | ตถาคตจึงหลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น | ||
- | [๑๐๔]<a name=104></a> ภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แล ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๐๔]<a name=104></a> ภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แล ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ | ||
ประณีต ใช้เหตุผลคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตรู้แจ้งได้ | ประณีต ใช้เหตุผลคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตรู้แจ้งได้ | ||
เองแล้วสั่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งตามอันเป็นเหตุให้คนกล่าวยกย่องตถาคตถูกต้องตาม | เองแล้วสั่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งตามอันเป็นเหตุให้คนกล่าวยกย่องตถาคตถูกต้องตาม | ||
บรรทัด 1176: | บรรทัด 1459: | ||
</center><small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๓๙}</small> | </center><small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๓๙}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p40></a><a href=#p40><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p40></a><a href=#p40><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ว่าด้วยการบัญญัติอัตตาและโลกเพราะความแส่หา ความดิ้นรน ของคนมีตัณหา | + | |
+ | [๑. พรหมชาลสูตร] | ||
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ว่าด้วยการบัญญัติอัตตาและโลกเพราะความแส่หา ความดิ้นรน ของคนมีตัณหา | ||
</p class=reftop><center>ว่าด้วยการบัญญัติอัตตาและโลกเพราะความแส่หา ความดิ้นรน | </p class=reftop><center>ว่าด้วยการบัญญัติอัตตาและโลกเพราะความแส่หา ความดิ้นรน | ||
</center><center>ของคนมีตัณหา | </center><center>ของคนมีตัณหา | ||
- | </center> [๑๐๕]<a name=105></a> ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น พวกที่มีวาทะว่าเที่ยง | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๑๐๕]<a name=105></a> ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น พวกที่มีวาทะว่าเที่ยง | ||
บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของ | บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของ | ||
พวกเขาผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา ความดิ้นรนของคนมีตัณหาเท่านั้น | พวกเขาผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา ความดิ้นรนของคนมีตัณหาเท่านั้น | ||
- | [๑๐๖]<a name=106></a> พวกที่มีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๐๖]<a name=106></a> พวกที่มีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและ | ||
โลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง ข้อนั้นเป็นความเข้า | โลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง ข้อนั้นเป็นความเข้า | ||
ใจของพวกเขาผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา ความดิ้นรนของคนมีตัณหาเหมือนกัน | ใจของพวกเขาผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา ความดิ้นรนของคนมีตัณหาเหมือนกัน | ||
- | [๑๐๗]<a name=107></a> พวกที่มีวาทะว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด บัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลก | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๐๗]<a name=107></a> พวกที่มีวาทะว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด บัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลก | ||
ไม่มีที่สุด ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของพวกเขาผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็น | ไม่มีที่สุด ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของพวกเขาผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็น | ||
ความแส่หา ความดิ้นรนของคนมีตัณหาเหมือนกัน | ความแส่หา ความดิ้นรนของคนมีตัณหาเหมือนกัน | ||
- | [๑๐๘]<a name=108></a> พวกที่มีวาทะหลบเลี่ยงไม่แน่นอน พอถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๐๘]<a name=108></a> พวกที่มีวาทะหลบเลี่ยงไม่แน่นอน พอถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ | ||
ย่อมกล่าวหลบเลี่ยงไม่แน่นอน ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของพวก | ย่อมกล่าวหลบเลี่ยงไม่แน่นอน ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของพวก | ||
เขาผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา ความดิ้นรนของคนมีตัณหาเหมือนกัน | เขาผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา ความดิ้นรนของคนมีตัณหาเหมือนกัน | ||
- | [๑๐๙]<a name=109></a> พวกที่มีวาทะว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย บัญญัติ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๐๙]<a name=109></a> พวกที่มีวาทะว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย บัญญัติ | ||
อัตตาและโลกว่า เกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย ด้วยมูลเหตุ ๒ อย่าง ข้อนั้นเป็นความ | อัตตาและโลกว่า เกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย ด้วยมูลเหตุ ๒ อย่าง ข้อนั้นเป็นความ | ||
เข้าใจของพวกเขาผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา ความดิ้นรนของคนมีตัณหาเหมือนกัน | เข้าใจของพวกเขาผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา ความดิ้นรนของคนมีตัณหาเหมือนกัน | ||
- | [๑๑๐]<a name=110></a> พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีต เห็นคล้อยตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภขันธ์ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๑๐]<a name=110></a> พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีต เห็นคล้อยตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภขันธ์ | ||
ส่วนอดีต ประกาศวาทะแสดงทิฏฐิต่างๆ ด้วยมูลเหตุ ๑๘ อย่าง ข้อนั้นเป็นความ | ส่วนอดีต ประกาศวาทะแสดงทิฏฐิต่างๆ ด้วยมูลเหตุ ๑๘ อย่าง ข้อนั้นเป็นความ | ||
เข้าใจของพวกเขาผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา ความดิ้นรนของคนมีตัณหาเท่านั้น | เข้าใจของพวกเขาผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา ความดิ้นรนของคนมีตัณหาเท่านั้น | ||
- | [๑๑๑]<a name=111></a> พวกที่มีวาทะว่า อัตตาหลังจากตายแล้วมีสัญญา บัญญัติอัตตาหลัง | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๑๑]<a name=111></a> พวกที่มีวาทะว่า อัตตาหลังจากตายแล้วมีสัญญา บัญญัติอัตตาหลัง | ||
จากตายแล้วว่ามีสัญญา ด้วยมูลเหตุ ๑๖ อย่าง ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของพวกเขา | จากตายแล้วว่ามีสัญญา ด้วยมูลเหตุ ๑๖ อย่าง ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของพวกเขา | ||
ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา ความดิ้นรนของคนมีตัณหาเหมือนกัน | ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา ความดิ้นรนของคนมีตัณหาเหมือนกัน | ||
- | [๑๑๒]<a name=112></a> พวกที่มีวาทะว่า อัตตาหลังจากตายแล้วไม่มีสัญญา บัญญัติอัตตา | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๑๒]<a name=112></a> พวกที่มีวาทะว่า อัตตาหลังจากตายแล้วไม่มีสัญญา บัญญัติอัตตา | ||
หลังจากตายแล้วว่าไม่มีสัญญา ด้วยมูลเหตุ ๘ อย่าง ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของพวก | หลังจากตายแล้วว่าไม่มีสัญญา ด้วยมูลเหตุ ๘ อย่าง ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของพวก | ||
เขาผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา ความดิ้นรนของคนมีตัณหาเหมือนกัน | เขาผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา ความดิ้นรนของคนมีตัณหาเหมือนกัน | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๔๐}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๔๐}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p41></a><a href=#p41><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p41></a><a href=#p41><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ว่าด้วยการบัญญัติอัตตาและโลกเพราะผัสสะเป็นเหตุ | + | |
- | </p class=reftop> [๑๑๓]<a name=113></a> พวกที่มีวาทะว่า อัตตาหลังจากตายแล้วมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญา | + | [๑. พรหมชาลสูตร] |
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ว่าด้วยการบัญญัติอัตตาและโลกเพราะผัสสะเป็นเหตุ | ||
+ | </p class=reftop></br> | ||
+ | |||
+ | [๑๑๓]<a name=113></a> พวกที่มีวาทะว่า อัตตาหลังจากตายแล้วมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญา | ||
ก็มิใช่ บัญญัติอัตตาหลังจากตายแล้วว่ามีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ด้วย | ก็มิใช่ บัญญัติอัตตาหลังจากตายแล้วว่ามีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ด้วย | ||
มูลเหตุ ๘ อย่าง ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของพวกเขาผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา | มูลเหตุ ๘ อย่าง ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของพวกเขาผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา | ||
ความดิ้นรนของคนมีตัณหาเหมือนกัน | ความดิ้นรนของคนมีตัณหาเหมือนกัน | ||
- | [๑๑๔]<a name=114></a> พวกที่มีวาทะว่า หลังจากตายแล้วอัตตาขาดสูญ บัญญัติความขาด | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๑๔]<a name=114></a> พวกที่มีวาทะว่า หลังจากตายแล้วอัตตาขาดสูญ บัญญัติความขาด | ||
สูญ ความพินาศ และความไม่เกิดอีกของสัตว์ ด้วยมูลเหตุ ๗ อย่าง ข้อนั้นเป็น | สูญ ความพินาศ และความไม่เกิดอีกของสัตว์ ด้วยมูลเหตุ ๗ อย่าง ข้อนั้นเป็น | ||
ความเข้าใจของพวกเขาผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา ความดิ้นรนของคนมีตัณหา | ความเข้าใจของพวกเขาผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา ความดิ้นรนของคนมีตัณหา | ||
เหมือนกัน | เหมือนกัน | ||
- | [๑๑๕]<a name=115></a> พวกที่มีวาทะว่า มีสภาพบางอย่างเป็นนิพพานในปัจจุบัน บัญญัติ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๑๕]<a name=115></a> พวกที่มีวาทะว่า มีสภาพบางอย่างเป็นนิพพานในปัจจุบัน บัญญัติ | ||
นิพพานในปัจจุบันว่าเป็นบรมธรรมของสัตว์ ด้วยมูลเหตุ ๕ อย่าง ข้อนั้นเป็น | นิพพานในปัจจุบันว่าเป็นบรมธรรมของสัตว์ ด้วยมูลเหตุ ๕ อย่าง ข้อนั้นเป็น | ||
ความเข้าใจของพวกเขาผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา ความดิ้นรนของคนมีตัณหา | ความเข้าใจของพวกเขาผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา ความดิ้นรนของคนมีตัณหา | ||
เหมือนกัน | เหมือนกัน | ||
- | [๑๑๖]<a name=116></a> พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอนาคต เห็นคล้อยตามขันธ์ส่วนอนาคต | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๑๖]<a name=116></a> พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอนาคต เห็นคล้อยตามขันธ์ส่วนอนาคต | ||
ปรารภขันธ์ส่วนอนาคต ประกาศวาทะแสดงทิฏฐิต่างๆ ด้วยมูลเหตุ ๔๔ อย่าง | ปรารภขันธ์ส่วนอนาคต ประกาศวาทะแสดงทิฏฐิต่างๆ ด้วยมูลเหตุ ๔๔ อย่าง | ||
ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของพวกเขาผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา ความดิ้นรนของ | ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของพวกเขาผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา ความดิ้นรนของ | ||
คนมีตัณหาเท่านั้น | คนมีตัณหาเท่านั้น | ||
- | [๑๑๗]<a name=117></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีต พวกที่ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๑๗]<a name=117></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีต พวกที่ | ||
กำหนดขันธ์ส่วนอนาคต และพวกที่กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต ล้วนมีความ | กำหนดขันธ์ส่วนอนาคต และพวกที่กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต ล้วนมีความ | ||
เห็นคล้อยตามขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต | เห็นคล้อยตามขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต | ||
บรรทัด 1230: | บรรทัด 1543: | ||
พวกเขาผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา ความดิ้นรนของคนมีตัณหาเท่านั้น | พวกเขาผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา ความดิ้นรนของคนมีตัณหาเท่านั้น | ||
<center>ว่าด้วยการบัญญัติอัตตาและโลกเพราะผัสสะเป็นเหตุ | <center>ว่าด้วยการบัญญัติอัตตาและโลกเพราะผัสสะเป็นเหตุ | ||
- | </center> [๑๑๘]<a name=118></a> ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น พวกที่มีวาทะว่าเที่ยง | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๑๑๘]<a name=118></a> ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น พวกที่มีวาทะว่าเที่ยง | ||
บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง ข้อนั้นเพราะผัสสะเป็นเหตุ | บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง ข้อนั้นเพราะผัสสะเป็นเหตุ | ||
- | [๑๑๙]<a name=119></a> พวกที่มีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๑๙]<a name=119></a> พวกที่มีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและ | ||
โลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง ข้อนั้นเพราะผัสสะ | โลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง ข้อนั้นเพราะผัสสะ | ||
เป็นเหตุ | เป็นเหตุ | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๔๑}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๔๑}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p42></a><a href=#p42><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p42></a><a href=#p42><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ว่าด้วยการบัญญัติอัตตาและโลกเพราะผัสสะเป็นเหตุ | + | |
- | </p class=reftop> [๑๒๐]<a name=120></a> พวกที่มีวาทะว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด บัญญัติว่า โลกมีที่สุด | + | [๑. พรหมชาลสูตร] |
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ว่าด้วยการบัญญัติอัตตาและโลกเพราะผัสสะเป็นเหตุ | ||
+ | </p class=reftop></br> | ||
+ | |||
+ | [๑๒๐]<a name=120></a> พวกที่มีวาทะว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด บัญญัติว่า โลกมีที่สุด | ||
โลกไม่มีที่สุด ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง ข้อนั้นเพราะผัสสะเป็นเหตุ | โลกไม่มีที่สุด ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง ข้อนั้นเพราะผัสสะเป็นเหตุ | ||
- | [๑๒๑]<a name=121></a> พวกที่มีวาทะหลบเลี่ยงไม่แน่นอน พอถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๒๑]<a name=121></a> พวกที่มีวาทะหลบเลี่ยงไม่แน่นอน พอถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ | ||
ย่อมกล่าวหลบเลี่ยงไม่แน่นอน ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง ข้อนั้นเพราะผัสสะเป็นเหตุ | ย่อมกล่าวหลบเลี่ยงไม่แน่นอน ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง ข้อนั้นเพราะผัสสะเป็นเหตุ | ||
- | [๑๒๒]<a name=122></a> พวกที่มีวาทะว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย บัญญัติ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๒๒]<a name=122></a> พวกที่มีวาทะว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย บัญญัติ | ||
อัตตาและโลกว่า เกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย ด้วยมูลเหตุ ๒ อย่าง ข้อนั้นเพราะผัสสะ | อัตตาและโลกว่า เกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย ด้วยมูลเหตุ ๒ อย่าง ข้อนั้นเพราะผัสสะ | ||
เป็นเหตุ | เป็นเหตุ | ||
- | [๑๒๓]<a name=123></a> พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีต เห็นคล้อยตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๒๓]<a name=123></a> พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีต เห็นคล้อยตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภ | ||
ขันธ์ส่วนอดีต ประกาศวาทะแสดงทิฏฐิต่างๆ ด้วยมูลเหตุ ๑๘ อย่าง ข้อนั้นก็ | ขันธ์ส่วนอดีต ประกาศวาทะแสดงทิฏฐิต่างๆ ด้วยมูลเหตุ ๑๘ อย่าง ข้อนั้นก็ | ||
เพราะผัสสะเป็นเหตุ | เพราะผัสสะเป็นเหตุ | ||
- | [๑๒๔]<a name=124></a> พวกที่มีวาทะว่า อัตตาหลังจากตายแล้วมีสัญญา บัญญัติอัตตา | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๒๔]<a name=124></a> พวกที่มีวาทะว่า อัตตาหลังจากตายแล้วมีสัญญา บัญญัติอัตตา | ||
หลังจากตายแล้วว่ามีสัญญา ด้วยมูลเหตุ ๑๖ อย่าง ข้อนั้นเพราะผัสสะเป็นเหตุ | หลังจากตายแล้วว่ามีสัญญา ด้วยมูลเหตุ ๑๖ อย่าง ข้อนั้นเพราะผัสสะเป็นเหตุ | ||
- | [๑๒๕]<a name=125></a> พวกที่มีวาทะว่า อัตตาหลังจากตายแล้วไม่มีสัญญา บัญญัติอัตตา | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๒๕]<a name=125></a> พวกที่มีวาทะว่า อัตตาหลังจากตายแล้วไม่มีสัญญา บัญญัติอัตตา | ||
หลังจากตายแล้วว่าไม่มีสัญญา ด้วยมูลเหตุ ๘ อย่าง ข้อนั้นเพราะผัสสะเป็นเหตุ | หลังจากตายแล้วว่าไม่มีสัญญา ด้วยมูลเหตุ ๘ อย่าง ข้อนั้นเพราะผัสสะเป็นเหตุ | ||
- | [๑๒๖]<a name=126></a> พวกที่มีวาทะว่า อัตตาหลังจากตายแล้วมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญา | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๒๖]<a name=126></a> พวกที่มีวาทะว่า อัตตาหลังจากตายแล้วมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญา | ||
ก็มิใช่ บัญญัติอัตตาหลังจากตายแล้วว่ามีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ด้วย | ก็มิใช่ บัญญัติอัตตาหลังจากตายแล้วว่ามีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ด้วย | ||
มูลเหตุ ๘ อย่าง ข้อนั้นเพราะผัสสะเป็นเหตุ | มูลเหตุ ๘ อย่าง ข้อนั้นเพราะผัสสะเป็นเหตุ | ||
- | [๑๒๗]<a name=127></a> พวกที่มีวาทะว่า หลังจากตายแล้วอัตตาขาดสูญ บัญญัติความขาด | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๒๗]<a name=127></a> พวกที่มีวาทะว่า หลังจากตายแล้วอัตตาขาดสูญ บัญญัติความขาด | ||
สูญ ความพินาศ และความไม่เกิดอีกของสัตว์ ด้วยมูลเหตุ ๗ อย่าง ข้อนั้นเพราะ | สูญ ความพินาศ และความไม่เกิดอีกของสัตว์ ด้วยมูลเหตุ ๗ อย่าง ข้อนั้นเพราะ | ||
ผัสสะเป็นเหตุ | ผัสสะเป็นเหตุ | ||
- | [๑๒๘]<a name=128></a> พวกที่มีวาทะว่า มีสภาพบางอย่างเป็นนิพพานในปัจจุบัน บัญญัติ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๒๘]<a name=128></a> พวกที่มีวาทะว่า มีสภาพบางอย่างเป็นนิพพานในปัจจุบัน บัญญัติ | ||
นิพพานในปัจจุบันว่าเป็นบรมธรรมของสัตว์ ด้วยมูลเหตุ ๕ อย่าง ข้อนั้นเพราะ | นิพพานในปัจจุบันว่าเป็นบรมธรรมของสัตว์ ด้วยมูลเหตุ ๕ อย่าง ข้อนั้นเพราะ | ||
ผัสสะเป็นเหตุ | ผัสสะเป็นเหตุ | ||
- | [๑๒๙]<a name=129></a> พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอนาคต เห็นคล้อยตามขันธ์ส่วนอนาคต | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๒๙]<a name=129></a> พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอนาคต เห็นคล้อยตามขันธ์ส่วนอนาคต | ||
ปรารภขันธ์ส่วนอนาคต ประกาศวาทะแสดงทิฏฐิต่างๆ ด้วยมูลเหตุ ๔๔ อย่าง ข้อ | ปรารภขันธ์ส่วนอนาคต ประกาศวาทะแสดงทิฏฐิต่างๆ ด้วยมูลเหตุ ๔๔ อย่าง ข้อ | ||
นั้นเพราะผัสสะเป็นเหตุ | นั้นเพราะผัสสะเป็นเหตุ | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๔๒}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๔๒}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p43></a><a href=#p43><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p43></a><a href=#p43><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ว่าด้วยสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ | + | |
- | </p class=reftop> [๑๓๐]<a name=130></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีต พวกที่ | + | [๑. พรหมชาลสูตร] |
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ว่าด้วยสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ | ||
+ | </p class=reftop></br> | ||
+ | |||
+ | [๑๓๐]<a name=130></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีต พวกที่ | ||
กำหนดขันธ์ส่วนอนาคต และพวกที่กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต ล้วนมีความ | กำหนดขันธ์ส่วนอนาคต และพวกที่กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต ล้วนมีความ | ||
เห็นคล้อยตามขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต | เห็นคล้อยตามขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต | ||
ประกาศวาทะแสดงทิฏฐิต่างๆ ด้วยมูลเหตุ ๖๒ อย่าง ข้อนั้นเพราะผัสสะเป็นเหตุ | ประกาศวาทะแสดงทิฏฐิต่างๆ ด้วยมูลเหตุ ๖๒ อย่าง ข้อนั้นเพราะผัสสะเป็นเหตุ | ||
<center>ว่าด้วยสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ | <center>ว่าด้วยสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ | ||
- | </center> [๑๓๑]<a name=131></a> ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น พวกที่มีวาทะว่าเที่ยง | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๑๓๑]<a name=131></a> ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น พวกที่มีวาทะว่าเที่ยง | ||
บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาเว้น | บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาเว้น | ||
จากผัสสะแล้วจะยังรู้สึกได้ | จากผัสสะแล้วจะยังรู้สึกได้ | ||
- | [๑๓๒]<a name=132></a> พวกที่มีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๓๒]<a name=132></a> พวกที่มีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและ | ||
โลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง เป็นไปไม่ได้เลยที่ | โลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง เป็นไปไม่ได้เลยที่ | ||
พวกเขาเว้นจากผัสสะแล้วจะยังรู้สึกได้ | พวกเขาเว้นจากผัสสะแล้วจะยังรู้สึกได้ | ||
- | [๑๓๓]<a name=133></a> พวกที่มีวาทะว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด บัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลกไม่ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๓๓]<a name=133></a> พวกที่มีวาทะว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด บัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลกไม่ | ||
มีที่สุดด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาเว้นจากผัสสะแล้วจะยังรู้สึกได้ | มีที่สุดด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาเว้นจากผัสสะแล้วจะยังรู้สึกได้ | ||
- | [๑๓๔]<a name=134></a> พวกที่มีวาทะหลบเลี่ยงไม่แน่นอน พอถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๓๔]<a name=134></a> พวกที่มีวาทะหลบเลี่ยงไม่แน่นอน พอถูกถามปัญหาในประเด็นนั้นๆ | ||
ย่อมกล่าวหลบเลี่ยงไม่แน่นอนด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาเว้น | ย่อมกล่าวหลบเลี่ยงไม่แน่นอนด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาเว้น | ||
จากผัสสะแล้วจะยังรู้สึกได้ | จากผัสสะแล้วจะยังรู้สึกได้ | ||
- | [๑๓๕]<a name=135></a> พวกที่มีวาทะว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย บัญญัติ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๓๕]<a name=135></a> พวกที่มีวาทะว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย บัญญัติ | ||
อัตตาและโลกว่า เกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย ด้วยมูลเหตุ ๒ อย่าง เป็นไปไม่ได้เลยที่ | อัตตาและโลกว่า เกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย ด้วยมูลเหตุ ๒ อย่าง เป็นไปไม่ได้เลยที่ | ||
พวกเขาเว้นจากผัสสะแล้วจะยังรู้สึกได้ | พวกเขาเว้นจากผัสสะแล้วจะยังรู้สึกได้ | ||
- | [๑๓๖]<a name=136></a> พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีต เห็นคล้อยตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๓๖]<a name=136></a> พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีต เห็นคล้อยตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภ | ||
ขันธ์ส่วนอดีต ประกาศวาทะแสดงทิฏฐิต่างๆ ด้วยมูลเหตุ ๑๘ อย่าง เป็นไปไม่ได้ | ขันธ์ส่วนอดีต ประกาศวาทะแสดงทิฏฐิต่างๆ ด้วยมูลเหตุ ๑๘ อย่าง เป็นไปไม่ได้ | ||
เลยที่พวกเขาเว้นจากผัสสะแล้วจะยังรู้สึกได้ | เลยที่พวกเขาเว้นจากผัสสะแล้วจะยังรู้สึกได้ | ||
- | [๑๓๗]<a name=137></a> พวกที่มีวาทะว่า อัตตาหลังจากตายแล้วมีสัญญา บัญญัติอัตตาหลัง | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๓๗]<a name=137></a> พวกที่มีวาทะว่า อัตตาหลังจากตายแล้วมีสัญญา บัญญัติอัตตาหลัง | ||
จากตายแล้วว่ามีสัญญา ด้วยมูลเหตุ ๑๖ อย่าง เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาเว้น | จากตายแล้วว่ามีสัญญา ด้วยมูลเหตุ ๑๖ อย่าง เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาเว้น | ||
จากผัสสะแล้วจะยังรู้สึกได้ | จากผัสสะแล้วจะยังรู้สึกได้ | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๔๓}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๔๓}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p44></a><a href=#p44><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p44></a><a href=#p44><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ว่าด้วยวัฏฏะที่เจ้าลัทธิตั้งไว้ | + | |
- | </p class=reftop> [๑๓๘]<a name=138></a> พวกที่มีวาทะว่า อัตตาหลังจากตายแล้วไม่มีสัญญา บัญญัติอัตตา | + | [๑. พรหมชาลสูตร] |
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ว่าด้วยวัฏฏะที่เจ้าลัทธิตั้งไว้ | ||
+ | </p class=reftop></br> | ||
+ | |||
+ | [๑๓๘]<a name=138></a> พวกที่มีวาทะว่า อัตตาหลังจากตายแล้วไม่มีสัญญา บัญญัติอัตตา | ||
หลังจากตายแล้วว่าไม่มีสัญญา ด้วยมูลเหตุ ๘ อย่าง เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาเว้น | หลังจากตายแล้วว่าไม่มีสัญญา ด้วยมูลเหตุ ๘ อย่าง เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาเว้น | ||
จากผัสสะแล้วจะยังรู้สึกได้ | จากผัสสะแล้วจะยังรู้สึกได้ | ||
- | [๑๓๙]<a name=139></a> พวกที่มีวาทะว่า อัตตาหลังจากตายแล้วมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญา | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๓๙]<a name=139></a> พวกที่มีวาทะว่า อัตตาหลังจากตายแล้วมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญา | ||
ก็มิใช่ บัญญัติอัตตาหลังจากตายแล้วว่ามีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ด้วย | ก็มิใช่ บัญญัติอัตตาหลังจากตายแล้วว่ามีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ด้วย | ||
มูลเหตุ ๘ อย่าง เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาเว้นจากผัสสะแล้วจะยังรู้สึกได้ | มูลเหตุ ๘ อย่าง เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาเว้นจากผัสสะแล้วจะยังรู้สึกได้ | ||
- | [๑๔๐]<a name=140></a> พวกที่มีวาทะว่า หลังจากตายแล้วอัตตาขาดสูญ บัญญัติความขาดสูญ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๔๐]<a name=140></a> พวกที่มีวาทะว่า หลังจากตายแล้วอัตตาขาดสูญ บัญญัติความขาดสูญ | ||
ความพินาศและความไม่เกิดอีกของสัตว์ ด้วยมูลเหตุ ๗ อย่าง เป็นไปไม่ได้เลย | ความพินาศและความไม่เกิดอีกของสัตว์ ด้วยมูลเหตุ ๗ อย่าง เป็นไปไม่ได้เลย | ||
ที่พวกเขาเว้นจากผัสสะแล้วจะยังรู้สึกได้ | ที่พวกเขาเว้นจากผัสสะแล้วจะยังรู้สึกได้ | ||
- | [๑๔๑]<a name=141></a> พวกที่มีวาทะว่า มีสภาพบางอย่างเป็นนิพพานในปัจจุบัน บัญญัติ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๔๑]<a name=141></a> พวกที่มีวาทะว่า มีสภาพบางอย่างเป็นนิพพานในปัจจุบัน บัญญัติ | ||
นิพพานในปัจจุบันว่าเป็นบรมธรรมของสัตว์ ด้วยมูลเหตุ ๕ อย่าง เป็นไปไม่ได้เลย | นิพพานในปัจจุบันว่าเป็นบรมธรรมของสัตว์ ด้วยมูลเหตุ ๕ อย่าง เป็นไปไม่ได้เลย | ||
ที่พวกเขาเว้นจากผัสสะแล้วจะยังรู้สึกได้ | ที่พวกเขาเว้นจากผัสสะแล้วจะยังรู้สึกได้ | ||
- | [๑๔๒]<a name=142></a> พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอนาคต เห็นคล้อยตามขันธ์ส่วนอนาคต | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๔๒]<a name=142></a> พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอนาคต เห็นคล้อยตามขันธ์ส่วนอนาคต | ||
ปรารภขันธ์ส่วนอนาคต ประกาศวาทะแสดงทิฏฐิต่างๆ ด้วยมูลเหตุ ๔๔ อย่าง | ปรารภขันธ์ส่วนอนาคต ประกาศวาทะแสดงทิฏฐิต่างๆ ด้วยมูลเหตุ ๔๔ อย่าง | ||
เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาเว้นจากผัสสะแล้วจะยังรู้สึกได้ | เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาเว้นจากผัสสะแล้วจะยังรู้สึกได้ | ||
- | [๑๔๓]<a name=143></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีต พวกที่ | + | </br> |
+ | |||
+ | [๑๔๓]<a name=143></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีต พวกที่ | ||
กำหนดขันธ์ส่วนอนาคต และพวกที่กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต ล้วนมี | กำหนดขันธ์ส่วนอนาคต และพวกที่กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต ล้วนมี | ||
ความเห็นคล้อยตามขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตและ | ความเห็นคล้อยตามขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตและ | ||
บรรทัด 1319: | บรรทัด 1690: | ||
พวกเขาเว้นจากผัสสะแล้วจะยังรู้สึกได้ | พวกเขาเว้นจากผัสสะแล้วจะยังรู้สึกได้ | ||
<center>ว่าด้วยวัฏฏะที่เจ้าลัทธิตั้งไว้ | <center>ว่าด้วยวัฏฏะที่เจ้าลัทธิตั้งไว้ | ||
- | </center> [๑๔๔]<a name=144></a> ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น พวกที่มีวาทะว่าเที่ยง | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๑๔๔]<a name=144></a> ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น พวกที่มีวาทะว่าเที่ยง | ||
บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง พวกที่มีวาทะว่า บางอย่าง | บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยมูลเหตุ ๔ อย่าง พวกที่มีวาทะว่า บางอย่าง | ||
เที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ฯลฯ พวกที่มีวาทะว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ฯลฯ พวก | เที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ฯลฯ พวกที่มีวาทะว่า โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ฯลฯ พวก | ||
บรรทัด 1326: | บรรทัด 1699: | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๔๔}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๔๔}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p45></a><a href=#p45><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p45></a><a href=#p45><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ว่าด้วยไม่มีวัฏฏะเป็นต้น | + | |
+ | [๑. พรหมชาลสูตร] | ||
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ว่าด้วยไม่มีวัฏฏะเป็นต้น | ||
</p class=reftop>ตายแล้วมีสัญญา ฯลฯ พวกที่มีวาทะว่า อัตตาหลังจากตายแล้วไม่มีสัญญา ฯลฯ | </p class=reftop>ตายแล้วมีสัญญา ฯลฯ พวกที่มีวาทะว่า อัตตาหลังจากตายแล้วไม่มีสัญญา ฯลฯ | ||
พวกที่มีวาทะว่า อัตตาหลังจากตายแล้วมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ฯลฯ พวก | พวกที่มีวาทะว่า อัตตาหลังจากตายแล้วมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ฯลฯ พวก | ||
บรรทัด 1343: | บรรทัด 1718: | ||
และอุปายาส (ความคับแค้นใจ) | และอุปายาส (ความคับแค้นใจ) | ||
<center>ว่าด้วยไม่มีวัฏฏะเป็นต้น | <center>ว่าด้วยไม่มีวัฏฏะเป็นต้น | ||
- | </center> [๑๔๕]<a name=145></a> ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดภิกษุรู้ชัดถึงความเกิด ความดับ คุณ โทษแห่ง | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๑๔๕]<a name=145></a> ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดภิกษุรู้ชัดถึงความเกิด ความดับ คุณ โทษแห่ง | ||
ผัสสายตนะ ๖ และอุบายเครื่องสลัดผัสสายตนะเหล่านั้นออกตามความเป็นจริง | ผัสสายตนะ ๖ และอุบายเครื่องสลัดผัสสายตนะเหล่านั้นออกตามความเป็นจริง | ||
เมื่อนั้นเธอย่อมรู้ชัดยิ่งกว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้น | เมื่อนั้นเธอย่อมรู้ชัดยิ่งกว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้น | ||
<center>อุปมาเหมือนชาวประมงทอดแห | <center>อุปมาเหมือนชาวประมงทอดแห | ||
- | </center> [๑๔๖]<a name=146></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีต พวก | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๑๔๖]<a name=146></a> ภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีต พวก | ||
ที่กำหนดขันธ์ส่วนอนาคต และพวกที่กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต ล้วนมี | ที่กำหนดขันธ์ส่วนอนาคต และพวกที่กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต ล้วนมี | ||
ความเห็นคล้อยตามขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตและ | ความเห็นคล้อยตามขันธ์ทั้งส่วนอดีตและอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตและ | ||
- | <a name=p45attha></a><a href=#p45attha><small class=atta>@เชิงอรรถ :</small></a> | + | <a name=p45attha></a><a href=#p45attha><small class=atta></br></br>@เชิงอรรถ :</small></a> |
<small>@<sup>๑</sup> สัมผัส หรือการกระทบกันระหว่างอายตนะภายในกับอายตนะภายนอก เช่น ตากระทบรูป เป็นต้น</small> | <small>@<sup>๑</sup> สัมผัส หรือการกระทบกันระหว่างอายตนะภายในกับอายตนะภายนอก เช่น ตากระทบรูป เป็นต้น</small> | ||
<small>@พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทิฏฐิ ๖๒ เริ่มต้นจากผัสสะนำไปสู่เวทนา สุดท้ายก็คือความทุกข์ ดังนั้นจึงไม่อาจนำ</small> | <small>@พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทิฏฐิ ๖๒ เริ่มต้นจากผัสสะนำไปสู่เวทนา สุดท้ายก็คือความทุกข์ ดังนั้นจึงไม่อาจนำ</small> | ||
บรรทัด 1356: | บรรทัด 1735: | ||
<small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๔๕}</small> | <small class=foot2>{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๔๕}</small> | ||
<hr> | <hr> | ||
- | <a name=p46></a><a href=#p46><p class=reftop> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑. พรหมชาลสูตร] | + | <a name=p46></a><a href=#p46><p class=reftop></br> พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค </br> |
- | </p class=reftop></a><p class=reftop> ว่าด้วยไม่มีวัฏฏะเป็นต้น | + | |
+ | [๑. พรหมชาลสูตร] | ||
+ | </p class=reftop></a><p class=reftop></br> ว่าด้วยไม่มีวัฏฏะเป็นต้น | ||
</p class=reftop>อนาคต ประกาศวาทะแสดงทิฏฐิต่างๆ ทั้งหมดถูกทิฏฐิ ๖๒ นี้ซึ่งเป็นดุจตาข่าย | </p class=reftop>อนาคต ประกาศวาทะแสดงทิฏฐิต่างๆ ทั้งหมดถูกทิฏฐิ ๖๒ นี้ซึ่งเป็นดุจตาข่าย | ||
ปกคลุมเอาไว้ ตกอยู่ในตาข่ายนี้ เมื่อโผล่ขึ้นก็โผล่อยู่ในตาข่ายนี้ ติดอยู่ในตาข่ายนี้ | ปกคลุมเอาไว้ ตกอยู่ในตาข่ายนี้ เมื่อโผล่ขึ้นก็โผล่อยู่ในตาข่ายนี้ ติดอยู่ในตาข่ายนี้ | ||
ถูกปกคลุมเอาไว้ เมื่อโผล่ขึ้นก็โผล่อยู่ในตาข่ายนี้เอง | ถูกปกคลุมเอาไว้ เมื่อโผล่ขึ้นก็โผล่อยู่ในตาข่ายนี้เอง | ||
- | เปรียบเหมือนชาวประมง หรือลูกมือชาวประมง ผู้ชำนาญ ใช้แหตาถี่ทอดลง | + | </br> เปรียบเหมือนชาวประมง หรือลูกมือชาวประมง ผู้ชำนาญ ใช้แหตาถี่ทอดลง |
หนองน้ำเล็กๆ เขาคิดว่า บรรดาสัตว์ตัวใหญ่ในหนองน้ำแห่งนี้ทั้งหมดถูกแหครอบ | หนองน้ำเล็กๆ เขาคิดว่า บรรดาสัตว์ตัวใหญ่ในหนองน้ำแห่งนี้ทั้งหมดถูกแหครอบ | ||
เอาไว้ อยู่ในแหนี้ เมื่อผุดขึ้นก็ผุดอยู่ในแหนี้ ติดอยู่ในแหนี้ ถูกครอบเอาไว้ เมื่อผุด | เอาไว้ อยู่ในแหนี้ เมื่อผุดขึ้นก็ผุดอยู่ในแหนี้ ติดอยู่ในแหนี้ ถูกครอบเอาไว้ เมื่อผุด | ||
บรรทัด 1371: | บรรทัด 1752: | ||
ถูกปกคลุมเอาไว้ เมื่อโผล่ขึ้นก็โผล่อยู่ในตาข่ายนี้เอง ฉันนั้น | ถูกปกคลุมเอาไว้ เมื่อโผล่ขึ้นก็โผล่อยู่ในตาข่ายนี้เอง ฉันนั้น | ||
<center>อุปมาร่างกายเหมือนผลมะม่วง | <center>อุปมาร่างกายเหมือนผลมะม่วง | ||
- | </center> [๑๔๗]<a name=147></a> ภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตขาดตัณหาที่พาไปสู่ภพเสียแล้ว<sup>๒-</sup> | + | </center></br> |
+ | |||
+ | [๑๔๗]<a name=147></a> ภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตขาดตัณหาที่พาไปสู่ภพเสียแล้ว<sup>๒-</sup> | ||
เทวดาและมนุษย์จักเห็นกายของตถาคตได้ชั่วเวลายังดำรงอยู่ หลังจากกายแตก | เทวดาและมนุษย์จักเห็นกายของตถาคตได้ชั่วเวลายังดำรงอยู่ หลังจากกายแตก | ||
สลายไปเพราะสิ้นชีวิตแล้ว เทวดาและมนุษย์จักไม่เห็นกายนั้นอีก | สลายไปเพราะสิ้นชีวิตแล้ว เทวดาและมนุษย์จักไม่เห็นกายนั้นอีก | ||
- | เปรียบเหมือนเมื่อกลุ่มผลมะม่วงถูกตัดขั้ว ผลมะม่วงทั้งหมดที่ห้อยอยู่กับขั้วก็ | + | </br> เปรียบเหมือนเมื่อกลุ่มผลมะม่วงถูกตัดขั้ว ผลมะม่วงทั้งหมดที่ห้อยอยู่กับขั้วก็ |
ย่อมติดตามขั้วนั้นไป ฉันใด กายของตถาคตขาดตัณหาที่พาไปสู่ภพเสียแล้ว เทวดา | ย่อมติดตามขั้วนั้นไป ฉันใด กายของตถาคตขาดตัณหาที่พาไปสู่ภพเสียแล้ว เทวดา | ||
และมนุษย์จักเห็นกายของตถาคตได้ชั่วเวลาที่ยังดำรงอยู่ หลังจากกายแตกสลายไป | และมนุษย์จักเห็นกายของตถาคตได้ชั่วเวลาที่ยังดำรงอยู่ หลังจากกายแตกสลายไป | ||
เพราะสิ้นชีวิตแล้ว เทวดาและมนุษย์จักไม่เห็นกายนั้นอีก ฉันนั้น” | เพราะสิ้นชีวิตแล้ว เทวดาและมนุษย์จักไม่เห็นกายนั้นอีก ฉันนั้น” | ||
- | <a name=p46attha></a><a href=#p46attha><small class=atta>@เชิงอรรถ :</small></a> | + | <a name=p46attha></a><a href=#p46attha><small class=atta></br></br>@เชิงอรรถ :</small></a> |
<small>@<sup>๑</sup> ทิฏฐิ ๖๒ คือทฤษฎีทางอภิปรัชญาที่มีอยู่ในอินเดีย ทั้งก่อนและร่วมสมัยกับพระพุทธองค์ มีอยู่ทั้งหมด ๖๒</small> | <small>@<sup>๑</sup> ทิฏฐิ ๖๒ คือทฤษฎีทางอภิปรัชญาที่มีอยู่ในอินเดีย ทั้งก่อนและร่วมสมัยกับพระพุทธองค์ มีอยู่ทั้งหมด ๖๒</small> | ||
<small>@ทฤษฎี พระพุทธองค์ทรงยกมาแสดงเพื่อยืนยันว่า พระองค์ทรงรู้ทฤษฎีดังกล่าวอย่างแจ่มแจ้ง และทรง</small> | <small>@ทฤษฎี พระพุทธองค์ทรงยกมาแสดงเพื่อยืนยันว่า พระองค์ทรงรู้ทฤษฎีดังกล่าวอย่างแจ่มแจ้ง และทรง</small> | ||
บรรทัด 1387: | บรรทัด 1770: | ||
<hr> | <hr> | ||
<a name=p47></a> | <a name=p47></a> | ||
- | </webcode> | + | [๑๔๘]<a name="148"></a> เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ ท่านพระอานนท์ได้ทูลถามว่า |
+ | “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยปรากฏ ธรรมบรรยายนี้มีชื่อว่าอะไร | ||
+ | พระพุทธเจ้าข้า” | ||
+ | พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “อานนท์ เธอจงจำธรรมบรรยายนี้ว่า ข่ายแห่ง | ||
+ | ประโยชน์ (อรรถชาละ) ก็ได้ ข่ายแห่งธรรม (ธรรมชาละ) ก็ได้ ข่ายแห่ง | ||
+ | สัพพัญญุตญาณอันประเสริฐ (พรหมชาละ) ก็ได้ ข่ายแห่งทิฏฐิ(ทิฏฐิชาละ) ก็ได้ | ||
+ | ตำราพิชัยสงคราม (สังคามวิชัย) อันยอดเยี่ยมก็ได้<sup>๑-</sup>” | ||
+ | [๑๔๙]<a name="149"></a> ภิกษุเหล่านั้นมีใจยินดีต่างชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาค ก็แล | ||
+ | เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสเวยยากรณภาษิตนี้จบลง โลกธาตุที่ประกอบด้วย ๑๐,๐๐๐ | ||
+ | จักรวาลได้หวั่นไหวแล้วแล | ||
+ | <center>พรหมชาลสูตรที่ ๑ จบ | ||
+ | </center><a name="p47attha"></a><a href="#p47attha"><small class="atta">@เชิงอรรถ :</small></a> | ||
+ | <small>@<sup>๑</sup> ที่ชื่อว่า ข่ายแห่งประโยชน์ เพราะเหตุที่ในพรหมชาลสูตร พระพุทธองค์ทรงแจกแจงประโยชน์ในโลกนี้</small> | ||
+ | <small>@และประโยชน์ในโลกหน้าอันเป็นดุจตาข่ายไว้ ที่ชื่อว่า ข่ายแห่งธรรม เพราะพระองค์ตรัสถึงแบบแผน</small> | ||
+ | <small>@และลัทธิธรรมเนียมอันเป็นดุจตาข่ายไว้ ที่ชื่อว่า ข่ายแห่งทิฏฐิ เพราะพระองค์ทรงแจกแจงทิฏฐิ ๖๒ อัน</small> | ||
+ | <small>@เป็นดุจตาข่ายที่ผูกมัดผู้ที่มีความเชื่อลัทธิเหล่านี้ไว้ และที่ชื่อว่า ตำราพิชัยสงครามเพราะผู้ที่ฟังสูตรนี้แล้ว</small> | ||
+ | <small>@สามารถพิชิต เทวปุตตมาร ขันธมาร มัจจุมาร หรือกิเลสมารได้ (ที.สี.อ. <a title="คลิกเพื่ออ่าน" target="_blank" class="mcu2" href="../pitaka_item/attha_page.php?book=4&page=119&modeTY=2&edition=thai">๑๔๘/๑๑๙</a>)</small> | ||
+ | </html> | ||