ความแตกต่าง
นี่เป็นการแสดงความแตกต่างระหว่างเพจสองรุ่น
ขุททกปาฐะ_ฉบับปรับสำนวน [2020/07/07 10:35] dhamma [มงคลสูตร] |
ขุททกปาฐะ_ฉบับปรับสำนวน [2021/01/02 20:14] |
||
---|---|---|---|
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
- | {{wst>วสธมฉปส head| }} | ||
- | {{wst>วสธมฉปส sidebar}} | ||
- | |||
- | '''พระสุตตันตปิฎก | ||
- | |||
- | ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ | ||
- | |||
- | _____________ | ||
- | |||
- | ขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น''' | ||
- | |||
- | =สรณคมน์= | ||
- | ''การถือเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งพิง(1)'' | ||
- | |||
- | *ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ, ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นสรณะ, ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ | ||
- | *แม้ครั้งที่ 2 ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ, แม้ครั้งที่ 2 ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นสรณะ, แม้ครั้งที่ 2 ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ | ||
- | *แม้ครั้งที่ 3 ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ, แม้ครั้งที่ 3 ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นสรณะ, แม้ครั้งที่ 3 ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ | ||
- | |||
- | ''สรณคมน์ จบ'' | ||
- | |||
- | เชิงอรรถ : | ||
- | 1 สรณะ หมายถึงสิ่งที่ทำลาย ขจัดปัดเป่า บรรเทาทุกข์ ภัย และกิเลส การยึดถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ | ||
- | ก็เพื่อเป็นเครื่องช่วย ทำลาย ขจัดปัดเป่าทุกข์ ภัยและกิเลสต่าง ๆ ในจิตใจให้หมดสิ้น (ขุ.ขุ.อ. 1/6-7) | ||
- | |||
- | อนึ่ง การเปล่งวาจาถึงพระรัตนตรัย ถือเป็นการบรรพชาและอุปสมบทในสมัยต้นพุทธกาล เรียกว่า | ||
- | ติสรณคมนูปสัมปทา (การอุปสมบทด้วยไตรสรณคมน์) (วิ.อ. 3/34/23) | ||
- | |||
- | =ทสสิกขาบท= | ||
- | ''พื้นฐานฝึกตนหลังถึงสรณคมน์'' | ||
- | |||
- | # ข้าพเจ้า,ตั้งเจตนายึดถือ "การงดเว้น,จากเจตนาฆ่าสัตว์" เอาไว้ เป็นพื้นฐาน,ฝึกตน. [ข้าพเจ้า,ตั้งเจตนายึดถือ (สมาทิยามิ) "การงดเว้น(เวรมณิ),จากเจตนาฆ่าสัตว์ (ปาณาติปาตา)" เอาไว้ เป็นพื้นฐาน (ปทํ),ฝึกตน(สิกฺขา)] | ||
- | # ข้าพเจ้าตั้งเจตนายึดถือ "การงดเว้นจากเจตนาลักทรัพย์" เอาไว้เป็นพื้นฐานฝึกตน. | ||
- | # ข้าพเจ้าตั้งเจตนายึดถือ "การงดเว้นจากเจตนาล่วงพรหมจรรย์" เอาไว้เป็นพื้นฐานฝึกตน. | ||
- | # ข้าพเจ้าตั้งเจตนายึดถือ "การงดเว้นจากเจตนาพูดปด" เอาไว้เป็นพื้นฐานฝึกตน. | ||
- | # ข้าพเจ้าตั้งเจตนายึดถือ "การงดเว้นจากเจตนาดื่มสุราเมรัย" เอาไว้เป็นพื้นฐานฝึกตน. | ||
- | # ข้าพเจ้าตั้งเจตนายึดถือ "การงดเว้นจากเจตนากินอาหารหลังเที่ยงวัน" เอาไว้เป็นพื้นฐานฝึกตน. | ||
- | # ข้าพเจ้าตั้งเจตนายึดถือ "การงดเว้นจากเจตนาดูฟังการเต้น การขับร้อง การเล่นดนตรี อันเป็นศัตรูของพรหมจรรย์" เอาไว้เป็นพื้นฐานฝึกตน (พรหมจรรย์ คือ การปฏิบัติแบบพรหม). | ||
- | # ข้าพเจ้าตั้งเจตนายึดถือ "การงดเว้นจากเจตนาสวมเครื่องประดับ, พรมน้ำหอม, ทาบำรุงผิว" เอาไว้เป็นพื้นฐานฝึกตน. | ||
- | # ข้าพเจ้าตั้งเจตนายึดถือ "การงดเว้นจากเจตนานั่งนอนเตียงตั่งสูงใหญ่" เอาไว้เป็นพื้นฐานฝึกตน. | ||
- | # ข้าพเจ้าตั้งเจตนายึดถือ "การงดเว้นจากเจตนาเปิดรับเงินทอง" เอาไว้เป็นพื้นฐานฝึกตน. | ||
- | |||
- | ''ทสสิกขาบท จบ'' | ||
- | |||
- | เชิงอรรถ : | ||
- | |||
- | 1 สิกขาบท แยกศัพท์อธิบายดังนี้ สิกขา + บท คำว่า สิกขา หมายถึงสิ่งที่จะต้องศึกษา ได้แก่ ศีล สมาธิ | ||
- | และปัญญา คำว่า บท หมายถึงอุบายเครื่องบรรลุ (ปชฺชเต อเนนาติ ปทํ) หมายถึงพื้นฐาน(มูละ) หมายถึง | ||
- | ที่อาศัย(นิสสยะ) และหมายถึงที่ตั้ง(ปติฏฐะ) ดุจในคำว่า สีลํ นิสฺสาย สีเล ปติฏฺฐาย สตฺต โพชฺฌงฺเค | ||
- | ภาเวนฺโต พหุลีกโรนฺโต เป็นต้น (สํ.ม. 19/182/58) ดังนั้น สิกขาบท จึงหมายถึงอุบายเครื่องบรรลุสิ่งที่ | ||
- | จะต้องศึกษา และหมายถึงพื้นฐาน ที่อาศัย หรือที่ตั้งแห่งสิ่งที่จะต้องศึกษา คือ ศีล สมาธิ และปัญญา | ||
- | คำว่า สิกขาบท มีความหมายเท่ากับคำว่า เวรมณี ดังบทวิเคราะห์ว่า เวรมณี เอว สิกฺขาปทํ | ||
- | จึงมีพระบาลีว่า เวรมณีสิกฺขาปทํ แปลว่า สิกขาบทคือเจตนางดเว้น คำว่า เจตนางดเว้น หมายถึงการงด | ||
- | (วิรัติ) การไม่ทำ(อกิริยา) การไม่ต้องอาบัติ(อนัชฌาบัติ) การไม่ล่วงละเมิดขอบเขต(เวลาอนติกกมะ) | ||
- | รวมถึงการกำจัดกิเลสด้วยอริยมรรคที่เรียกว่า เสตุ (เสตุฆาตะ) (ดู อภิ.วิ. (แปล) 35/704/447) | ||
- | ในที่นี้หมายถึงศีล 10 สำหรับสามเณร เป็นต้น (ขุ.ขุ.อ. 2/15-17) และดูเทียบ วิ.ม. (แปล) 4/105-106/ | ||
- | 168-169 | ||
- | |||
- | 2 พฤติกรรมอันมิใช่พรหมจรรย์ หมายถึงเจตนาที่จะเสพเมถุนธรรม(พฤติกรรมของคนคู่กัน) หรือเจตนาที่ | ||
- | แสดงออกทางกายโดยมุ่งหมายจะเสพเมถุนธรรม (ขุ.ขุ.อ. 2/17) | ||
- | |||
- | 3 อรรถกถาอธิบายว่า สุราและเมรัยเป็นของมึนเมา และมีสิ่งอื่นอีกที่เป็นของมึนเมา (ตทุภยเมว (สุราเมรยํ) | ||
- | มทนียฏฺเฐน มชฺชํ, ยํ วา ปนฺมฺปิ กิฺจิ มทนียํ) จึงอาจแปลตามนัยนี้ว่า ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท | ||
- | คือ เจตนางดเว้นจากการดื่มสุราเมรัย และของมึนเมาอันเป็นเหตุแห่งความประมาท (ขุ.ขุ.อ. 2/18) | ||
- | |||
- | 1 เวลาวิกาล ในที่นี้หมายถึงเวลาที่เลยเที่ยงวันไป (ขุ.ขุ.อ. 2/27) | ||
- | |||
- | 2 คำว่า นัจจคีตวาทิตวิสูกทัสสนา ในสิกขาบทนี้ แปลได้ 2 นัย คือ นัยที่ 1 แปลว่า การดูการละเล่นอัน | ||
- | เป็นข้าศึกต่อกุศลคือการฟ้อนรำ ขับร้อง และบรรเลงดนตรี (ดู ที.สี. (แปล) 9/13/6 ประกอบ) นัยที่ 2 | ||
- | แปลว่า การฟ้อนรำ ขับร้อง บรรเลงดนตรี และการดูการละเล่นอันเป็นข้าศึกต่อกุศล ในที่นี้แปล | ||
- | ตามนัยที่ 2 คำว่า ทัสสนา มิได้จำกัดความหมายเพียงการดู การเห็นเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึง | ||
- | การฟัง การได้ยินด้วย คำว่า ข้าศึกต่อกุศล แปลจากคำว่า วิสูกะ หมายถึงเป็นเหตุทำลายกุศลธรรม | ||
- | ให้อกุศลธรรมเกิดขึ้น และหมายถึงเป็นข้อประพฤติที่ไม่เหมาะสมต่อพระพุทธศาสนา | ||
- | ในสิกขาบทนี้พึงทราบนัยเพิ่มเติมอีก 2 นัย คือ (1) จะจัดเป็นการล่วงละเมิดสิกขาบทได้ต่อเมื่อ | ||
- | เข้าไปดูเพราะประสงค์จะเห็นเท่านั้น แต่ถ้าบังเอิญการละเล่นนั้นผ่านมาให้เห็นเองทางที่ตนยืน นั่ง หรือ | ||
- | นอนอยู่ ไม่จัดเป็นการล่วงละเมิด จัดเป็นเพียงความเศร้าหมอง (2) เพลงขับร้อง(คีตะ)ที่ประกอบด้วย | ||
- | ธรรม ถือเป็นความเหมาะสม ไม่ห้าม แต่ธรรมที่ประกอบเป็นเพลงขับร้อง ถือเป็นความไม่เหมาะสม | ||
- | (ขุ.ขุ.อ. 2/27-28) | ||
- | |||
- | 3 ดู สารตฺถ.ฏีกา 3/106/308 | ||
- | |||
- | =ทวัตติงสาการ= | ||
- | ''ว่าด้วยอาการ 32'' | ||
- | |||
- | ในร่างกายนี้มี | ||
- | *ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง | ||
- | *เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต1 | ||
- | *หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม2 ปอด | ||
- | *ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า | ||
- | *ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น | ||
- | *น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร3 และมันสมอง | ||
- | |||
- | ''ทวัตติงสาการ จบ'' | ||
- | |||
- | เชิงอรรถ : | ||
- | |||
- | 1 ไต แปลจากคำว่า วกฺก (โบราณแปลว่า ม้าม) ได้แก่ ก้อนเนื้อ 2 ก้อนมีขั้วเดียวกัน รูปร่างคล้ายลูก | ||
- | สะบ้าของเด็กๆ หรือคล้ายผลมะม่วง 2 ผลที่ติดอยู่ในขั้วเดียวกัน มีเอ็นใหญ่รึงรัดจากลำคอลงไปถึงหัวใจ | ||
- | แล้วแยกออกห้อยอยู่ทั้ง 2 ข้าง (ขุ.ขุ.อ. 3/43), พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 | ||
- | ให้บท นิยามคำว่า ไต ว่า อวัยวะคู่หนึ่งของคนและสัตว์ อยู่ในช่องท้องใกล้กระดูกสันหลัง ทำหน้าที่ | ||
- | ขับของเสียออกมากับน้ำปัสสาวะ, buddhadatta mahathera, a. concise pali-english dictionary, | ||
- | 1985, (224), และ rhys davids, t.w. pali-english dictionary, 1921-1925, (591) ให้ความหมาย | ||
- | ของคำว่า วกฺก ตรงกันกับคำว่า ไต (kidney) | ||
- | |||
- | 2 ม้าม แปลจากคำว่า ปิหก ตาม (ขุ.ขุ.อ. 3/45) (โบราณแปลว่า ไต), พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน | ||
- | พ.ศ. 2525 ให้บทนิยามไว้ว่า อวัยวะภายในร่างกาย ริมกระเพาะอาหารข้างซ้ายมีหน้าที่ทำลายเม็ด | ||
- | เลือดแดง สร้างเม็ดน้ำเหลืองและสร้างภูมิคุ้มกันแก่ร่างกาย | ||
- | |||
- | 3 มูตร หมายถึงน้ำปัสสาวะที่อยู่ในกระเพาะปัสสาวะ (ขุ.ขุ.อ. 3/57, วิสุทฺธิ. 1/213/288) และดู องฺ.ฉกฺก. | ||
- | (แปล) 22/29/469 | ||
- | |||
- | =สามเณรปัญหา= | ||
- | ''ว่าด้วยการถามปัญหากับโสปากสามเณร'' | ||
- | |||
- | 1. อะไรชื่อว่า หนึ่ง | ||
- | ที่ชื่อว่า หนึ่ง ได้แก่ สัตว์ทั้งปวงดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร1 | ||
- | |||
- | 2. อะไรชื่อว่า สอง | ||
- | ที่ชื่อว่า สอง ได้แก่ นามและรูป | ||
- | |||
- | 3. อะไรชื่อว่า สาม | ||
- | ที่ชื่อว่า สาม ได้แก่ เวทนา 32 | ||
- | |||
- | 4. อะไรชื่อว่า สี่ | ||
- | ที่ชื่อว่า สี่ ได้แก่ อริยสัจ 4 | ||
- | |||
- | 5. อะไรชื่อว่า ห้า | ||
- | ที่ชื่อว่า ห้า ได้แก่ อุปาทานขันธ์ 5(3) | ||
- | |||
- | 6. อะไรชื่อว่า หก | ||
- | ที่ชื่อว่า หก ได้แก่ อายตนะภายใน 6(4) | ||
- | |||
- | 7. อะไรชื่อว่า เจ็ด | ||
- | ที่ชื่อว่า เจ็ด ได้แก่ โพชฌงค์ 7 | ||
- | |||
- | 8. อะไรชื่อว่า แปด | ||
- | ที่ชื่อว่า แปด ได้แก่ อริยมรรคมีองค์ 8 | ||
- | |||
- | 9. อะไรชื่อว่า เก้า | ||
- | ที่ชื่อว่า เก้า ได้แก่ สัตตาวาส 9(1) | ||
- | |||
- | 10. อะไรชื่อว่า สิบ | ||
- | ที่ชื่อว่า สิบ ได้แก่ บุคคลผู้ประกอบด้วยองค์คุณ 10(2) เรียกว่า พระอรหันต์ | ||
- | |||
- | ''สามเณรปัญหา จบ'' | ||
- | |||
- | เชิงอรรถ : | ||
- | |||
- | 1 อาหาร หมายถึงปัจจัยที่เป็นเหตุให้สัตว์ดำรงชีพอยู่ได้ ได้แก่ อาหาร 4 คือ (1) กวฬิงการาหาร | ||
- | (อาหารคือคำข้าว) (2) ผัสสาหาร(อาหารคือผัสสะ) (3) มโนสัญเจตนาหาร(อาหารคือมโนสัญเจตนา) | ||
- | (4) วิญญาณาหาร(อาหารคือวิญญาณ) ยกเว้นอสัญญีสัตตพรหม ซึ่งมีฌานเป็นอาหาร (ขุ.ขุ.อ. 4/65, | ||
- | องฺ.ทสก.อ. 3/27/336) และดู ที.ปา. 11/303/191,311/203, องฺ.ทสก. (แปล) 24/27/62, ขุ.ป. (แปล) | ||
- | 31/208/345, ม.มู. (แปล) 12/90/84 | ||
- | |||
- | 2 ดู ที.ปา. 11/305/194, สํ.สฬา. (แปล) 18/270/303 | ||
- | |||
- | 3 ดู สํ.ข. (แปล) 17/48/66-67, อภิ.วิ (แปล) 35/1/1-2 | ||
- | |||
- | 4 ดู ที.ปา. 11/323/215, อภิ.วิ. (แปล) 35/154-167/112-118 | ||
- | |||
- | 1 ดู ที.ปา. 11/341/232, 359/272 | ||
- | |||
- | 2 องค์คุณ 10 ได้แก่ (1) สัมมาทิฏฐิ (2) สัมมาสังกัปปะ (3) สัมมาวาจา (4) สัมมากัมมันตะ (5) สัมมาอาชีวะ | ||
- | (6) สัมมาวายามะ (7) สัมมาสติ (8) สัมมาสมาธิ (9) สัมมาญาณะ (10) สัมมาวิมุตติ (ขุ.ขุ.อ. 4/77) | ||
- | |||
- | =มงคลสูตร= | ||
- | ''ว่าด้วยมงคล'' | ||
- | |||
- | [1] ข้าพเจ้า((ข้าพเจ้า ในตอนเริ่มต้นของพระสูตรนี้และพระสูตรอื่นๆ ในเล่มนี้หมายถึง พระอานนท์))ได้สดับมาอย่างนี้ | ||
- | สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี ครั้งนั้น เมื่อราตรีผ่านไป ((ราตรีผ่านไป ในที่นี้หมายถึงปฐมยาม(ยามแรก) กำหนดเวลา ๔ ชั่วโมงตั้งแต่เวลา ๑๘ นาฬิกาถึง ๒๒ | ||
- | @นาฬิกาแห่งราตรีที่ผ่านไป กำลังอยู่ในช่วงมัชฌิมยาม(ยามกลาง) คือกำลังอยู่ในช่วงเวลาตั้งแต่ ๒๒ นาฬิกา | ||
- | @ถึง ๒ นาฬิกาของวันใหม่ (องฺ.ฉกฺก.อ. ๓/๒๑-๒๒/๑๐๘, ขุ.ขุ.อ. ๕/๙๙))) เทวดาองค์หนึ่งมีวรรณะ | ||
- | งดงามยิ่งนัก เปล่งรัศมีให้สว่างไปทั่วพระเชตวัน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ | ||
- | ถวายอภิวาทแล้วยืนอยู่ ณ ที่สมควร((ที่สมควร (เอกมนฺตํ) ในที่นี้หมายถึงที่เหมาะสมเว้นโทษ ๖ ประการ คือ (๑) ไกลเกินไป (๒) ใกล้เกินไป | ||
- | @(๓) อยู่เหนือลม (๔) สูงเกินไป (๕) อยู่ตรงหน้าเกินไป (๖) อยู่ข้างหลังเกินไป (องฺ.ทุก.อ. ๒/๑๖/๑๕))) ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า | ||
- | |||
- | [2] เทวดาและมนุษย์จำนวนมาก ต่างมุ่งหวังชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด (มงคล) และความสุขสวัสดี ขอพระองค์ตรัสบอกเหตุให้ชีวิตเจริญรุ่งเรืองที่สุดด้วยเถิด | ||
- | (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบดังนี้) | ||
- | |||
- | [3] (1) การไม่คบคนไม่เห็นประโยชน์ในการประพฤติมงคล (2) การคบแต่ผู้ฉลาดในมงคล (3) การบูชาคนที่ควรบูชานี้เป็นมงคลอันสูงสุด | ||
- | |||
- | [4] (4) การอยู่ในถิ่นที่เหมาะสม | ||
- | (5) การได้สร้างบุญไว้ในปางก่อน (6) การตั้งตนไว้ชอบ | ||
- | นี้เป็นมงคลอันสูงสุด | ||
- | |||
- | [5] (7) ความเป็นพหูสูต (8) ความเป็นผู้มีศิลปะ | ||
- | (9) วินัยที่ศึกษามาดี (10) วาจาสุภาษิต | ||
- | นี้เป็นมงคลอันสูงสุด | ||
- | |||
- | [6] (11) การบำรุงมารดาบิดา (12) การสงเคราะห์บุตร | ||
- | (13) การสงเคราะห์ภรรยา (14) การงานที่ไม่อากูล1 | ||
- | นี้เป็นมงคลอันสูงสุด | ||
- | |||
- | [7] (15) การให้ทาน (16) การประพฤติธรรม | ||
- | (17) การสงเคราะห์ญาติ (18) การงานที่ไม่มีโทษ | ||
- | นี้เป็นมงคลอันสูงสุด | ||
- | |||
- | [8] (19) การงดเว้นจากบาป (20) การเว้นจากการดื่มน้ำเมา | ||
- | (21) ความไม่ประมาทในธรรม | ||
- | นี้เป็นมงคลอันสูงสุด | ||
- | |||
- | [9] (22) ความเคารพ (23) ความถ่อมตน (24) ความสันโดษ | ||
- | (25) ความกตัญญู (26) การฟังธรรมตามกาล | ||
- | นี้เป็นมงคลอันสูงสุด | ||
- | |||
- | [10] (27) ความอดทน1 (28) ความเป็นคนว่าง่าย | ||
- | (29) การพบเห็นสมณะ (30) การสนทนาธรรมตามกาล | ||
- | นี้เป็นมงคลอันสูงสุด | ||
- | |||
- | [11] (31) การเผาผลาญบาป (32) การประพฤติพรหมจรรย์2 | ||
- | (33) การเห็นอริยสัจ (34) การทำนิพพานให้แจ้ง | ||
- | นี้เป็นมงคลอันสูงสุด | ||
- | |||
- | [12] (35) จิตของผู้ที่ถูกโลกธรรมกระทบแล้วไม่หวั่นไหว | ||
- | (36) จิตไม่เศร้าโศก (37) จิตปราศจากธุลี (38) จิตเกษม | ||
- | นี้เป็นมงคลอันสูงสุด | ||
- | |||
- | [13] เทวดาและมนุษย์ทำมงคลดังกล่าวมานี้แล้ว | ||
- | ไม่พ่ายแพ้ข้าศึกทั้งปวง ย่อมถึงความสวัสดีในที่ทุกสถาน | ||
- | ทั้ง 38 ประการนั้น เป็นมงคลอันสูงสุด | ||
- | ของเทวดาและมนุษย์เหล่านั้น | ||
- | |||
- | ''มงคลสูตร จบ'' | ||
- | |||
- | เชิงอรรถ : | ||
- | |||
- | 1 ความอดทน ในที่นี้หมายถึงอธิวาสนขันติ (ขันติคือความอดกลั้น) ได้แก่ ความอดกลั้นต่อคำด่าต่าง ๆ | ||
- | อดกลั้นต่อการถูกเบียดเบียน ตลอดถึงอดกลั้นต่อทุกขเวทนา เช่น ความหนาว ความร้อน เป็นต้น ยกตน | ||
- | อยู่เหนือทุกข์ต่าง ๆ ดำรงตนอยู่ได้อย่างไม่หวั่นไหว (ขุ.ขุ.อ. 5/129) | ||
- | |||
- | 2 พรหมจรรย์ เป็นชื่อของ (1) เมถุนวิรัติ (ดู ที.สี. (แปล) 9/8/3, ม.มู. (แปล) 12/292/323) | ||
- | (2)สมณธรรม (ดู ม.มู. (แปล) 12/257/217) (3)ศาสนา (ดู ที.ม. (แปล) 10/168/113) (4)มรรค | ||
- | (ดู สํ.ม. (แปล) 19/6/9) (ขุ.ขุ.อ. 5/133) | ||
- | |||
- | =รตนสูตร= | ||
- | ''ว่าด้วยรตนะอันประณีต(1)'' | ||
- | |||
- | (พระผู้มีพระภาคตรัสรตนสูตรดังนี้) | ||
- | |||
- | [1] ภูตทั้งหลายผู้สิงสถิตอยู่บนภาคพื้น2 | ||
- | หรือผู้สิงสถิตอยู่ในอากาศ3 ที่มาประชุมกันอยู่ ณ ที่นี้ | ||
- | ขอให้ภูตทั้งปวงจงเป็นผู้มีใจดี และจงฟังภาษิตโดยเคารพเถิด | ||
- | |||
- | [2] เพราะฉะนั้นแล ภูตทั้งปวง ท่านจงใคร่ครวญ | ||
- | จงแผ่เมตตาต่อหมู่มนุษย์ด้วยเถิด | ||
- | มนุษย์เหล่าใดนำเครื่องเซ่นสรวงมาให้ | ||
- | ทั้งกลางวันและกลางคืน | ||
- | เพราะเหตุนั้น ขอท่านทั้งหลายอย่าประมาท | ||
- | จงรักษามนุษย์เหล่านั้น | ||
- | |||
- | [3] ทรัพย์เครื่องปลื้มใจ หรือรัตนชาติที่ประณีต4ใด ๆ | ||
- | ที่มีในโลกนี้ ในโลกอื่น หรือในสวรรค์ | ||
- | ทรัพย์หรือรัตนชาตินั้น ๆ ที่เสมอด้วยตถาคต ไม่มี | ||
- | นี้เป็นรัตนะอันประณีตในพระพุทธเจ้า | ||
- | ด้วยสัจจะนี้ ขอให้มีความสวัสดี | ||
- | |||
- | [4] พระศากยมุนีผู้มีพระทัยตั้งมั่น | ||
- | ทรงบรรลุธรรมใดอันเป็นที่สิ้นกิเลส | ||
- | ปราศจากราคะ เป็นอมตธรรมอันประณีต | ||
- | ไม่มีธรรมใด ๆ ที่เสมอด้วยธรรมนั้น | ||
- | นี้เป็นรัตนะอันประณีตในพระธรรม | ||
- | ด้วยสัจจะนี้ ขอให้มีความสวัสดี | ||
- | |||
- | [5] พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ | ||
- | ตรัสสรรเสริญสมาธิ1ใดว่าเป็นธรรมสะอาด | ||
- | ตรัสถึงสมาธิใดว่าให้ผลโดยลำดับ | ||
- | สมาธิอื่น2ที่เสมอด้วยสมาธินั้น ไม่มี | ||
- | นี้เป็นรัตนะอันประณีตในพระธรรม | ||
- | ด้วยสัจจะนี้ ขอให้มีความสวัสดี | ||
- | |||
- | [6] บุคคล 108 จำพวก3ที่สัตบุรุษสรรเสริญ | ||
- | ซึ่งจัดเป็นบุคคล 4 คู่ เป็นสาวกของพระสุคต | ||
- | เป็นผู้ควรแก่ทักษิณา | ||
- | ทานที่เขาถวายในบุคคลเหล่านั้น มีผลมาก | ||
- | นี้เป็นรัตนะอันประณีตในพระสงฆ์ | ||
- | ด้วยสัจจะนี้ ขอให้มีความสวัสดี | ||
- | |||
- | [7] บุคคลเหล่าใดในศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้า | ||
- | เป็นผู้ประกอบตนไว้ดี มีใจมั่นคง หมดความห่วงใย | ||
- | บุคคลเหล่านั้นชื่อว่าบรรลุอรหัตตผล | ||
- | หยั่งถึงอมตนิพพาน รับรสความดับสนิทแบบได้เปล่า1 | ||
- | นี้เป็นรัตนะอันประณีตในพระสงฆ์ | ||
- | ด้วยสัจจะนี้ ขอให้มีความสวัสดี | ||
- | |||
- | [8] สัตบุรุษใดพิจารณาเห็นแจ้งอริยสัจ | ||
- | เราเรียกสัตบุรุษนั้นว่า มีอุปมาเหมือนเสาเขื่อนที่ฝังลงดิน | ||
- | อันไม่หวั่นไหวเพราะลมที่พัดมาจากทิศทั้งสี่ | ||
- | นี้เป็นรัตนะอันประณีตในพระสงฆ์ | ||
- | ด้วยสัจจะนี้ ขอให้มีความสวัสดี | ||
- | |||
- | [9] พระโสดาบันเหล่าใดรู้แจ้งอริยสัจ | ||
- | ที่พระศาสดาผู้มีปัญญาลึกซึ้งแสดงแล้ว | ||
- | ถึงแม้ว่าพระโสดาบันเหล่านั้นจะประมาทไปบ้าง | ||
- | ท่านเหล่านั้นก็จะไม่ถือกำเนิดในภพที่ 81 | ||
- | นี้เป็นรัตนะอันประณีตในพระสงฆ์ | ||
- | ด้วยสัจจะนี้ ขอให้มีความสวัสดี | ||
- | |||
- | [10] พระโสดาบันนั้นละธรรม 3 ประการ คือ | ||
- | สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส | ||
- | พร้อมกับการบรรลุโสดาปัตติมรรคได้แล้ว | ||
- | แม้จะมีกิเลสบางอย่างเหลืออยู่2 | ||
- | |||
- | [11] พระโสดาบันนั้นพ้นแล้วจากอบายทั้งสี่3 | ||
- | และจะไม่ทำอภิฐาน 64 | ||
- | นี้เป็นรัตนะอันประณีตในพระสงฆ์ | ||
- | ด้วยสัจจะนี้ ขอให้มีความสวัสดี | ||
- | |||
- | [12] ถึงแม้ว่า พระโสดาบันนั้นจะทำบาปกรรม5 | ||
- | ทางกาย ทางวาจา หรือทางใจไปบ้าง | ||
- | ท่านก็ไม่ปกปิดบาปกรรมนั้นไว้ | ||
- | เรากล่าวว่าผู้เห็นบท6แล้ว ไม่อาจทำอย่างนั้นได้ | ||
- | นี้เป็นรัตนะอันประณีตในพระสงฆ์ | ||
- | ด้วยสัจจะนี้ ขอให้มีความสวัสดี | ||
- | |||
- | [13] พุ่มไม้งามในป่า ซึ่งมียอดออกดอกบานสะพรั่ง | ||
- | ในต้นเดือนห้าแห่งคิมหันตฤดู งามอย่างยิ่ง ฉันใด | ||
- | พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมอันประเสริฐ | ||
- | ที่ให้ถึงนิพพาน เพื่อประโยชน์อย่างยิ่ง ฉันนั้น | ||
- | นี้เป็นรัตนะอันประณีตในพระพุทธเจ้า | ||
- | ด้วยสัจจะนี้ ขอให้มีความสวัสดี | ||
- | |||
- | [14] พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ทรงรู้ธรรมอันประเสริฐ | ||
- | ทรงประทานธรรมอันประเสริฐ ทรงนำทางอันประเสริฐมาให้ | ||
- | ทรงเป็นผู้ยอดเยี่ยมกว่าใคร ๆ ได้ทรงแสดงธรรมอันประเสริฐไว้ | ||
- | นี้เป็นรัตนะอันประณีตในพระพุทธเจ้า | ||
- | ด้วยสัจจะนี้ ขอให้มีความสวัสดี | ||
- | |||
- | [15] พระขีณาสพเหล่าใดสิ้นภพเก่าแล้ว ไม่มีการเกิดใหม่ | ||
- | ทั้งมีจิตเบื่อหน่ายในภพที่จะเกิดต่อไป | ||
- | ท่านเหล่านั้นชื่อว่า มีพืช1สิ้นแล้ว ไม่มีฉันทะงอกขึ้น เป็นปราชญ์ | ||
- | ย่อมดับสนิทเหมือนประทีปดวงนี้ดับไป | ||
- | นี้เป็นรัตนะอันประณีตในพระสงฆ์ | ||
- | ด้วยสัจจะนี้ ขอให้มีความสวัสดี | ||
- | |||
- | (ท้าวสักกะจอมเทพกราบทูลเป็นคาถา ดังนี้ ) | ||
- | |||
- | [16] ภูตทั้งหลายผู้สิงสถิตอยู่บนภาคพื้น | ||
- | หรือผู้สิงสถิตอยู่ในอากาศ ที่มาประชุมกันอยู่ ณ ที่นี้ | ||
- | ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอนอบน้อมพระตถาคต1พุทธเจ้า | ||
- | ที่เทวดาและมนุษย์บูชาแล้ว ขอให้มีความสวัสดี | ||
- | |||
- | [17] ภูตทั้งหลายผู้สิงสถิตอยู่บนภาคพื้น | ||
- | หรือผู้สิงสถิตอยู่ในอากาศ ที่มาประชุมกันอยู่ ณ ที่นี้ | ||
- | ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอนอบน้อมพระธรรมของพระตถาคต | ||
- | ที่เทวดาและมนุษย์บูชาแล้ว ขอให้มีความสวัสดี | ||
- | |||
- | [18] ภูตทั้งหลายผู้สิงสถิตอยู่บนภาคพื้น | ||
- | หรือผู้สิงสถิตอยู่ในอากาศ ที่มาประชุมกันอยู่ ณ ที่นี้ | ||
- | ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอนอบน้อมพระสงฆ์ของพระตถาคต | ||
- | ที่เทวดาและมนุษย์บูชาแล้ว ขอให้มีความสวัสดี | ||
- | (พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถานี้แก่ภิกษุทั้งหลาย ดังนี้) | ||
- | ถ้าเห็นว่าจะได้สุขอันยิ่งใหญ่ | ||
- | ด้วยการเสียสละสุขอันเล็กน้อย | ||
- | นักปราชญ์พึงเสียสละสุขอันเล็กน้อย | ||
- | เพื่อเห็นแก่สุขอันยิ่งใหญ่2 | ||
- | |||
- | ''รตนสูตร จบ'' | ||
- | |||
- | เชิงอรรถ : | ||
- | |||
- | 1 ดู สุตตนิบาตข้อ 224-241 หน้า 529 ในเล่มนี้ | ||
- | |||
- | 2 คำว่า ภูต มีความหมายหลายนัย คือ นัยที่ 1 มีความหมายเชิงกริยาว่า มีแล้ว (หรือ เกิดแล้ว ดู วิ.มหา. | ||
- | (แปล) 2/153/327) นัยที่ 2 หมายถึงขันธ์ 5 (ดู ม.มู. (แปล) 12/401/432) นัยที่ 3 หมายถึงธาตุ 4 | ||
- | มีปฐวีธาตุ เป็นต้น (ดู ม.อุ. 14/86/68) นัยที่ 4 หมายถึงพระขีณาสพ (ดู ขุ.ชา. (แปล) 27/190/116) | ||
- | นัยที่ 5 หมายถึง สรรพสัตว์ (ดู ที.ม. (แปล) 10/220/167) นัยที่ 6 หมายถึงรุกขชาติต่าง ๆ (ดู วิ.มหา. | ||
- | (แปล) 2/90/116) นัยที่ 7 หมายถึงหมู่สัตว์นับแต่ท้าวมหาราชทั้ง 4 ลงมา (ดู ม.มู. (แปล) 12/3/5) | ||
- | ในที่นี้หมายถึงอมนุษย์ที่มีศักดิ์น้อย หรืออมนุษย์ที่มีศักดิ์มาก และคำว่า ผู้สิงสถิตอยู่บนภาคพื้น หมายถึง | ||
- | ภุมมเทวดาคือเทวดาที่บังเกิดบนพื้นดิน ต้นไม้ และภูเขา เป็นต้น (ขุ.ขุ.อ. 6/145) | ||
- | |||
- | 3 ผู้สิงสถิตอยู่ในอากาศ หมายถึงเทวดาที่บังเกิดในวิมานในอากาศตั้งแต่สวรรค์ชั้นยามาจนถึงพรหมโลก | ||
- | ชั้นอกนิษฐา (ขุ.ขุ.อ. 6/145) | ||
- | |||
- | 4 ประณีต ในที่นี้หมายถึงสูงสุด ประเสริฐสุด (ขุ.ขุ.อ. 6/149) | ||
- | |||
- | 1 สมาธิ ในที่นี้หมายถึงอริยสัมมาสมาธิ (ม.อุ. 14/136/121) ที่เรียกว่า อานันตริกสมาธิ (สมาธิที่ให้ผล | ||
- | โดยลำดับ) เพราะเป็นสมาธิที่ให้ผลแน่นนอนตามลำดับ สามารถถอนกิเลสได้สิ้นเชิง (ขุ.ขุ.อ. 6/158) | ||
- | |||
- | 2 สมาธิอื่น หมายถึงรูปาวจรสมาธิและอรูปาวจรสมาธิ (ขุ.ขุ.อ. 6/159) | ||
- | |||
- | 3 บุคคล 108 จำพวก ได้แก่ พระโสดาบัน 3 จำพวก คือ (1) เอกพีชี (2) โกลังโกละ (3) สัตตักขัตตุปรมะ | ||
- | พระสกทาคามี 3 จำพวก คือ (1) ผู้บรรลุผลในกามภพ (2) ผู้บรรลุผลในรูปภพ (3) ผู้บรรลุผลในอรูปภพ | ||
- | รวมพระโสดาบัน 3 จำพวก และพระสกทาคามี 3 จำพวก นับโดยปฏิปทา 4 ประการ จึงได้บุคคล 24 | ||
- | จำพวก (6 x 4 = 24) รวมกับพระอนาคามี 4 ชั้น คือ ชั้นอวิหา ชั้นอตัปปา ชั้นสุทัสสา ชั้นสุทัสสี | ||
- | อีกชั้นละ 5 จำพวก (4 x 5 = 20) และพระอนาคามีชั้นอกนิษฐคามีอีก 4 จำพวก (20 + 4 = 24) เป็น | ||
- | บุคคล 48 จำพวก (24 + 24 = 48) รวมกับพระอรหันต์ 2 จำพวก คือ (1) สุขวิปัสสก (2) สมถยานิก | ||
- | เป็นบุคคล 50 จำพวก (48 + 2 = 50) รวมกับพระอริยบุคคลผู้ดำรงอยู่ในมรรคอีก 4 จำพวก เป็น | ||
- | บุคคล 54 จำพวก (50 + 4 = 54) | ||
- | บุคคลเหล่านี้มี 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายสัทธาธุระ 54 จำพวก และฝ่ายปัญญาธุระ 54 จำพวก จึงเป็น | ||
- | พระอริยบุคคล 108 จำพวก (54 + 54 = 108) (ขุ.ขุ.อ. 6/159-160) นี้คือนัยโดยพิสดาร | ||
- | ส่วนนัยโดยย่อ ได้แก่ บุคคล 8 จำพวก คือ (1) พระโสดาบัน (2) บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้ง | ||
- | โสดาปัตติผล (3) พระสกทาคามี (4) บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งสกทาคามิผล (5) พระอนาคามี | ||
- | (6) บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งอนาคามิผล (7) พระอรหันต์ (8) บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งอรหัตตผล | ||
- | (ขุ.ขุ.อ. 6/160) | ||
- | |||
- | 1 แบบได้เปล่า หมายถึงได้โดยไม่ต้องจ่ายแม้แต่กากณึกเดียว (ขุ.ขุ.อ. 6/161) กากณึก เป็นมาตราเงิน | ||
- | อย่างต่ำที่สุด (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525) | ||
- | |||
- | 1 ไม่ถือกำเนิดในภพที่ 8 หมายถึงไม่เกิดในภพที่ 8 เพราะท่านเหล่านั้นละสังโยชน์ 3 ประการ (สักกายทิฏฐิ | ||
- | วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) ได้แล้ว และจะเวียนเกิดเวียนตายในเทวโลกและมนุษยโลกอย่างมากไม่เกิน | ||
- | 7 ครั้ง แล้วบรรลุอรหัตตผล เพราะนามรูปดับไปในภพที่ 7 นั่นเอง (ขุ.ขุ.อ. 6/163-164) | ||
- | |||
- | 2 อภิ.ก. 37/278/103 | ||
- | |||
- | 3 อบายทั้งสี่ หมายถึงภูมิที่ปราศจากความเจริญ มี 4 คือ นรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน เปรต และอสุรกาย | ||
- | (ขุ.ขุ.อ. 6/165) | ||
- | |||
- | 4 อภิฐาน 6 หมายถึงฐานะอันหนัก 6 ประการ ได้แก่ (1) ฆ่ามารดา (2) ฆ่าบิดา (3) ฆ่าพระอรหันต์ | ||
- | (4) ทำโลหิตของพระพุทธเจ้าให้ห้อ (5) ทำให้สงฆ์แตกกัน (6) เข้ารีตศาสดาอื่น (ขุ.ขุ.อ. 6/166) | ||
- | |||
- | 5 บาปกรรม ในที่นี้หมายถึงการต้องอาบัติเบา เช่น ต้องอาบัติเพราะนอนร่วมกับสามเณรเป็นต้น มิได้ | ||
- | หมายถึงอาบัติหนัก (ขุ.ขุ.อ. 6/167) และดู วิ.มหา. (แปล) 2/50/238 ประกอบ | ||
- | |||
- | 6 บท ในที่นี้หมายถึงทางแห่งนิพพาน (ขุ.ขุ.อ. 6/167) | ||
- | |||
- | 1 พืช ในที่นี้หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณ (ขุ.ขุ.อ. 6/171) และดู องฺ.ติก. (แปล) 20/77/300 ประกอบ | ||
- | |||
- | 1 ตถาคต แปลว่า ไปอย่างนั้นหรือมาอย่างนั้น มีความหมายหลายนัย เช่น ไปหรือมาอย่างบุคคลผู้ | ||
- | ขวนขวายเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวโลก ไปหรือมาด้วยการเพิกถอนกิเสสได้ด้วยกำลังแห่งสมถะและวิปัสสนา | ||
- | ไปหรือมาด้วยการกำจัดทุกข์ทั้งปวงได้ ไปหรือมาด้วยการปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน ในที่นี้ใช้เป็น | ||
- | คำแสดงคุณลักษณะของพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าไปอย่างนั้นหรือมาอย่างนั้น (ขุ.ขุ.อ. 6/172) | ||
- | |||
- | 2 สุขอันยิ่งใหญ่ ในที่นี้หมายถึงความสุขอันโอฬารคือพระนิพพาน (ขุ.ธ.อ. 7/87) ดู ขุ.ธ. แปลในเล่มนี้ | ||
- | ข้อ 290 หน้า 123 | ||
- | |||
- | |||
- | =ติโรกุฑฑสูตร= | ||
- | ''ว่าด้วยเรื่องเปรตที่อยู่ภายนอกฝาเรือน(1)(2)'' | ||
- | |||
- | (พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถานี้ เพื่ออนุโมทนาพระเจ้าพิมพิสารจอมทัพมคธรัฐ | ||
- | ดังนี้) | ||
- | |||
- | [1] พวกเปรตพากันมาสู่เรือนของตน3 | ||
- | บ้างยืนอยู่ที่ฝาเรือนด้านนอก | ||
- | บ้างยืนอยู่ที่ทางสี่แพร่ง สามแพร่ง | ||
- | บ้างยืนพิงอยู่ที่บานประตู | ||
- | |||
- | [2] เมื่อมีข้าวและน้ำดื่มมากมาย | ||
- | เมื่อของเคี้ยวของกินถูกจัดเตรียมไว้แล้ว | ||
- | ญาติสักคนก็ไม่นึกถึงเปรตเหล่านั้น | ||
- | เพราะกรรมของสัตว์เหล่านั้นเป็นปัจจัย | ||
- | |||
- | [3] เหล่าชนผู้อนุเคราะห์ ย่อมถวายอาหารและน้ำดื่ม | ||
- | ที่สะอาดประณีต เหมาะแก่พระสงฆ์ตามกาล | ||
- | อุทิศให้ญาติทั้งหลาย(ที่เกิดเป็นเปรต)อย่างนี้ว่า | ||
- | ขอทานนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของเรา | ||
- | ขอญาติทั้งหลาย จงเป็นสุขเถิด | ||
- | |||
- | [4] ส่วนญาติที่เกิดเป็นเปรตเหล่านั้น | ||
- | พากันมาประชุมพร้อมกัน ณ ที่ให้ทานนั้น | ||
- | ย่อมอนุโมทนาในอาหารและน้ำดื่มเป็นอันมากโดยเคารพว่า | ||
- | |||
- | [5] เพราะเหตุแห่งญาติเหล่าใด พวกเราจึงได้สุขสมบัติเช่นนี้ | ||
- | ขอญาติเหล่านั้นของพวกเราจงมีอายุยืน | ||
- | อนึ่ง การบูชา ญาติผู้เป็นทายกก็ได้ทำแก่พวกเราแล้ว | ||
- | และทายกก็ไม่ไร้ผล | ||
- | |||
- | [6] ในเปตวิสัย1นั้น ไม่มีกสิกรรม (การทำไร่ไถนา) | ||
- | ไม่มีโครักขกรรม (การเลี้ยงวัวไว้ขาย) | ||
- | ไม่มีพาณิชกรรม (การค้าขาย) เช่นนั้น | ||
- | การแลกเปลี่ยนซื้อขายด้วยเงิน ก็ไม่มี | ||
- | ผู้ที่ตายไปเกิดเป็นเปรตในเปตวิสัยนั้น | ||
- | ดำรงชีพด้วยผลทานที่พวกญาติอุทิศให้จากมนุษยโลกนี้ | ||
- | |||
- | [7] น้ำฝนที่ตกลงมาในที่ดอนย่อมไหลไปสู่ที่ลุ่ม ฉันใด | ||
- | ทานที่ทายกอุทิศให้จากมนุษยโลกนี้ | ||
- | ย่อมสำเร็จผลแน่นอนแก่พวกเปรต ฉันนั้นเหมือนกัน | ||
- | |||
- | [8] ห้วงน้ำที่เต็มย่อมยังสมุทรสาครให้เต็มเปี่ยม ฉันใด | ||
- | ทานที่ทายกอุทิศให้จากมนุษยโลกนี้ | ||
- | ย่อมสำเร็จแก่เปรตทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน | ||
- | |||
- | [9] กุลบุตรเมื่อระลึกถึงอุปการะ | ||
- | ที่ญาติผู้ละไปแล้ว(เปรต)เคยทำไว้ในกาลก่อนว่า | ||
- | ผู้นั้นได้ให้สิ่งนี้แก่เรา ได้ทำสิ่งนี้แก่เรา | ||
- | ได้เป็นญาติ มิตร และสหายของเรา | ||
- | ก็ควรถวายทักษิณาทานอุทิศให้แก่ญาติผู้ละไปแล้ว | ||
- | |||
- | [10] การร้องไห้ ความเศร้าโศก | ||
- | หรือความร่ำไห้คร่ำครวญอย่างอื่นใด | ||
- | ใคร ๆ ไม่ควรทำเลย เพราะการร้องไห้ เป็นต้นนั้น | ||
- | ไม่เป็นประโยชน์แก่ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว | ||
- | ญาติทั้งหลายก็ยังคงสภาพอยู่อย่างนั้น | ||
- | |||
- | [11] ส่วนทักษิณาทานนี้แล ที่ตั้งไว้ดีแล้วในพระสงฆ์ | ||
- | ย่อมสำเร็จประโยชน์เกื้อกูลสิ้นกาลนาน | ||
- | แก่หมู่ญาติที่เกิดเป็นเปรตนั้น โดยพลันทีเดียว | ||
- | |||
- | [12] ญาติธรรม1นี้นั้น ท่านแสดงออกแล้ว | ||
- | การบูชาญาติที่ตายไปเป็นเปรต ท่านทำอย่างยิ่งใหญ่แล้ว | ||
- | ทั้งกำลังกายของภิกษุ ท่านก็เพิ่มให้แล้ว | ||
- | เป็นอันว่าท่านสั่งสมบุญไว้มิใช่น้อยเลย | ||
- | |||
- | ''ติโรกุฑฑสูตร จบ'' | ||
- | |||
- | เชิงอรรถ : | ||
- | |||
- | 1 พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสแก่พระเจ้าพิมพิสาร ณ กรุงราชคฤห์ (ขุ.ขุ.อ. 7/177) | ||
- | |||
- | 2 ดูเทียบ ขุ.เปต. (แปล) 26/14-25/170-172, อภิ.ก. 37/490/295 | ||
- | |||
- | 3 เรือนของตน หมายถึงเรือนญาติของตน หรือเรือนที่เคยอยู่ในปางก่อน (ขุ.ขุ.อ. 7/181) | ||
- | |||
- | 1 เปตวิสัย หมายถึงภูมิหรือกำเนิดแห่งเปรต (ขุ.ขุ.อ. 7/188) | ||
- | |||
- | 1 ญาติธรรม หมายถึงกิจคือการสงเคราะห์ต่อกันที่ญาติจะพึงกระทำต่อกัน (ขุ.ขุ.อ. 7/190) | ||
- | |||
- | =นิธิกัณฑสูตร= | ||
- | ''ว่าด้วยการฝังขุมทรัพย์'' | ||
- | |||
- | (พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถานี้แก่กุฎุมพีคนหนึ่งในกรุงสาวัตถี ดังนี้) | ||
- | |||
- | [1] คนเราฝังขุมทรัพย์2ไว้ในที่ลึกจดถึงน้ำก็ด้วยคิดว่า | ||
- | เมื่อเกิดกิจที่จำเป็นขึ้น ขุมทรัพย์นี้จะเป็นประโยชน์แก่เรา | ||
- | |||
- | [2] คนเราฝังขุมทรัพย์ไว้ในโลก ก็เพื่อจุดประสงค์นี้ คือ | ||
- | เพื่อให้พ้นจากราชภัยที่คอยคุกคาม | ||
- | เพื่อให้พ้นจากโจรภัยที่คอยเบียดเบียน | ||
- | เพื่อเก็บไว้ใช้หนี้ก็มี เพื่อเก็บไว้ใช้ในยามเกิดทุพภิกขภัย3 | ||
- | หรือเพื่อใช้ในเวลามีภัยอันตรายต่าง ๆ | ||
- | |||
- | [3] ขุมทรัพย์ที่เขาฝังไว้อย่างดีในที่ลึกจดน้ำถึงเพียงนั้น | ||
- | จะสำเร็จประโยชน์แก่เขาไปทั้งหมด ตลอดเวลาก็หาไม่ | ||
- | |||
- | [4] เพราะบางทีขุมทรัพย์ก็เคลื่อนที่ไปก็มี | ||
- | บางทีเขาลืมที่ฝังไว้ก็มี | ||
- | บางทีพวกนาคเคลื่อนย้ายก็มี | ||
- | บางทีพวกยักษ์นำขุมทรัพย์นั้นไปก็มี | ||
- | |||
- | [5] หรือบางทีเมื่อเขาไม่เห็นทายาทผู้ไม่เป็นที่รักขโมยขุดเอาไปก็มี | ||
- | เมื่อเขาสิ้นบุญ ขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ทั้งหมดนั้นก็พินาศหายไป | ||
- | |||
- | [6] ขุมทรัพย์1ที่ผู้ใดจะเป็นสตรีก็ตาม เป็นบุรุษก็ตาม | ||
- | ฝังไว้ดีแล้ว ด้วยทาน ศีล สัญญมะ และทมะ2 | ||
- | |||
- | [7] ในพระเจดีย์ พระสงฆ์ บุคคล แขกที่มาหา | ||
- | ในมารดา บิดา หรือพี่ชาย | ||
- | |||
- | [8] ขุมทรัพย์นี้ชื่อว่าฝังไว้ดีแล้ว คนอื่นขนเอาไปไม่ได้ | ||
- | จะติดตามคนฝังตลอดไป | ||
- | บรรดาทรัพย์สมบัติที่เขาจำต้องละไป | ||
- | เขาพาไปได้เฉพาะขุมทรัพย์นี้เท่านั้น | ||
- | |||
- | [9] ขุมทรัพย์นี้ไม่ทั่วไปแก่คนเหล่าอื่น ทั้งโจรก็ลักเอาไปไม่ได้ | ||
- | ผู้มีปัญญาควรทำแต่บุญที่จะเป็นขุมทรัพย์ติดตามตนตลอดไป | ||
- | |||
- | [10] ขุมทรัพย์นี้ให้ผลอันน่าปรารถนาทุกประการ | ||
- | แก่เทวดา และมนุษย์ คือเทวดาและมนุษย์ปรารถนาผลใด ๆ | ||
- | ผลนั้น ๆ ทุกอย่าง จะได้ด้วยขุมทรัพย์นี้ | ||
- | |||
- | [11] ความมีผิวพรรณงดงาม ความมีเสียงไพเราะ | ||
- | ความมีทรวดทรงสมส่วน ความมีรูปสวย | ||
- | ความเป็นใหญ่ ความมีบริวาร ทั้งหมดจะได้ด้วยขุมทรัพย์นี้ | ||
- | |||
- | [12] ความเป็นพระราชาในประเทศ ความเป็นอิสระ1 | ||
- | ความสุขของความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิอันน่าพอใจ | ||
- | และแม้ความเป็นเทวราชของเทวดาในหมู่เทพ | ||
- | ทั้งหมดก็จะได้ด้วยขุมทรัพย์นี้ | ||
- | |||
- | [13] สมบัติของมนุษย์ก็ดี ความยินดีในเทวโลกก็ดี | ||
- | สมบัติคือนิพพานก็ดี ทั้งหมดจะได้ด้วยขุมทรัพย์นี้ | ||
- | |||
- | [14] บุคคลอาศัยมิตตสัมปทา2 | ||
- | ประกอบความเพียรโดยแยบคาย | ||
- | ก็จะเป็นผู้ชำนาญในวิชชาและวิมุตติ | ||
- | ทั้งหมดจะได้ด้วยขุมทรัพย์นี้ | ||
- | |||
- | [15] ปฏิสัมภิทา(3) วิโมกข์(4) สาวกบารมี(5) | ||
- | ปัจเจกโพธิ(6) และพุทธภูมิ(7) | ||
- | ทั้งหมดจะได้ด้วยขุมทรัพย์นี้ | ||
- | |||
- | [16] บุญสัมปทา1นี้มีประโยชน์มากอย่างนี้ | ||
- | เพราะฉะนั้น บัณฑิตผู้เป็นปราชญ์ | ||
- | จึงสรรเสริญภาวะแห่งบุญที่ทำไว้แล้ว | ||
- | |||
- | ''นิธิกัณฑสูตร จบ'' | ||
- | |||
- | เชิงอรรถ : | ||
- | |||
- | 2 ขุมทรัพย์ มี 4 ชนิด คือ (1) ถาวระ คือขุมทรัพย์ถาวร เช่น ที่ดิน ที่นา ที่สวน เงินและทอง (2) ชังคมะ | ||
- | คือขุมทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้ เช่น ทาสชาย ทาสหญิง ช้าง ม้า โค กระบือ แกะ ไก่ สุกร เป็นต้น (3) อังคสมะ | ||
- | คือขุมทรัพย์ติดตัว เช่น วิชาความรู้ ศิลปวิทยา เป็นต้น (4) อนุคามิกะ คือขุมทรัพย์ตามตัวทางคุณธรรม | ||
- | ได้แก่ บุญกุศล ทาน การรักษาศีล การเจริญภาวนา เป็นต้น ในที่นี้หมายถึงขุมทรัพย์ถาวร (ขุ.ขุ.อ. 8/193) | ||
- | |||
- | 3 ทุพภิกขภัย หมายถึงภัยที่เกิดจากข้าวยากหมากแพง หรือการขาดแคลนอาหารในบ้านเมือง (ขุ.ขุ.อ. | ||
- | 8/194) | ||
- | |||
- | 1 ขุมทรัพย์ ในที่นี้หมายถึงขุมทรัพย์ชนิดอนุคามิกะ (ดูเชิงอรรถหน้า 17 ประกอบ) (ขุ.ขุ.อ. 8/196) | ||
- | |||
- | 2 สัญญมะ หมายถึงการห้ามจิตมิให้ตกไปในอารมณ์ต่าง ๆ คำนี้เป็นชื่อของสมาธิและอินทรียสังวร ทมะ | ||
- | หมายถึงการฝึกตน ได้แก่ การเข้าไประงับกิเลส คำนี้เป็นชื่อของปัญญา (ขุ.ขุ.อ. 8/197) | ||
- | |||
- | 1 ความเป็นอิสระ หมายถึงความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีมหาสมุทรทั้ง 4 เป็นขอบเขต (ขุ.ขุ.อ. 8/203) | ||
- | |||
- | 2 มิตตสัมปทา หมายถึงความเพรียบพร้อมด้วยมิตรที่มีคุณความดี เช่น พระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจารี | ||
- | ผู้ดำรงตนน่าเคารพ (ขุ.ขุ.อ. 8/205) | ||
- | |||
- | 3 ปฏิสัมภิทา หมายถึงปัญญาแตกฉานมี 4 ประการ คือ (1) อัตถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ | ||
- | (2) ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม (3) นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในนิรุตติคือภาษา | ||
- | (4) ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ (ขุ.ขุ.อ. 8/206) | ||
- | |||
- | 4 วิโมกข์ หมายถึงวิโมกข์ 8 คือ รูปฌาน 4 อรูปฌาน 4 (ขุ.ขุ.อ. 8/206) | ||
- | |||
- | 5 สาวกบารมี หมายถึงบารมีที่ให้สำเร็จเป็นพระสาวก (ขุ.ขุ.อ. 8/206) | ||
- | |||
- | 6 ปัจเจกโพธิ หมายถึงบารมีที่ให้สำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ได้เอง (ขุ.ขุ.อ. 8/206) | ||
- | |||
- | 7 พุทธภูมิ หมายถึงบารมีที่ให้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าผู้สูงสุดกว่าสัตว์ทั้งปวง (ขุ.ขุ.อ. 8/206) | ||
- | |||
- | 1 บุญสัมปทา หมายถึงความถึงพร้อมแห่งบุญ (ขุ.ขุ.อ. 8/206) | ||
- | |||
- | =เมตตสูตร= | ||
- | ''ว่าด้วยการแผ่เมตตา'' | ||
- | |||
- | (พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถานี้แก่ภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ป่า ดังนี้) | ||
- | |||
- | [1] กรณียกิจ ที่ผู้ปฏิบัติธรรมที่ฉลาดในประโยชน์ มุ่งหวังบรรลุความสงบ จะต้องทำก่อนภาวนา คือ | ||
- | #ผู้อาจหาญ | ||
- | #ซื่อตรง | ||
- | #เคร่งครัด | ||
- | #ว่าง่าย | ||
- | #อ่อนโยน | ||
- | #และไม่เย่อหยิ่ง | ||
- | #ควรเป็นผู้สันโดษ | ||
- | #เลี้ยงง่าย | ||
- | #มีกิจน้อย | ||
- | #มีความประพฤติเบา | ||
- | #มีอินทรีย์สงบ | ||
- | #มีปัญญารักษาตน | ||
- | #ไม่คะนอง6 | ||
- | #ไม่ยึดติดในตระกูลทั้งหลาย | ||
- | #อนึ่ง ไม่ควรประพฤติความเสียหายใด ๆ | ||
- | ที่จะเป็นเหตุให้วิญญูชนเหล่าอื่นตำหนิเอาได้ | ||
- | |||
- | (ควรแผ่เมตตาไปในสรรพสัตว์อย่างนี้ว่า) ขอสัตว์ทั้งปวงจงมีความสุข มีความปลอดภัย มีตนเป็นสุขเถิด | ||
- | |||
- | [4] คือ เหล่าสัตว์ที่ยังเป็นผู้หวาดสะดุ้งหรือเป็นผู้มั่นคง1 | ||
- | ขอสัตว์เหล่านั้นทั้งหมดจงมีตนเป็นสุขเถิด | ||
- | เหล่าสัตว์ที่มีขนาดกายยาว ขนาดกายใหญ่ ขนาดกายปานกลาง | ||
- | ขนาดกายเตี้ย ขนาดกายผอม หรือขนาดกายอ้วน | ||
- | ขอสัตว์เหล่านั้นทั้งหมดจงมีตนเป็นสุขเถิด | ||
- | |||
- | [5] เหล่าสัตว์ที่เคยเห็นก็ดี เหล่าสัตว์ที่ไม่เคยเห็นก็ดี | ||
- | เหล่าสัตว์ที่อยู่ใกล้และอยู่ไกลก็ดี ภูตหรือสัมภเวสี2ก็ดี | ||
- | ขอสัตว์เหล่านั้นทั้งหมดจงมีตนเป็นสุขเถิด | ||
- | |||
- | [6] ไม่ควรข่มเหง ไม่ควรดูหมิ่นกันและกันในทุกโอกาส | ||
- | ไม่ควรปรารถนาทุกข์แก่กันและกัน | ||
- | เพราะความโกรธและความแค้น | ||
- | |||
- | [7] ควรแผ่เมตตาจิตอย่างไม่มีประมาณไปยังสรรพสัตว์ | ||
- | ดุจมารดาเฝ้าถนอมบุตรคนเดียวด้วยชีวิต ฉะนั้น | ||
- | |||
- | [8] อนึ่ง ควรแผ่เมตตาจิตอย่างไม่มีประมาณ | ||
- | กว้างขวาง ไม่มีเวร ไม่มีศัตรูไปยังสัตว์โลกทั่วทั้งหมด | ||
- | ทั้งชั้นบน1 ชั้นล่าง2 และชั้นกลาง3 | ||
- | |||
- | [9] ผู้แผ่เมตตาจะยืน เดิน นั่ง หรือนอน | ||
- | ควรตั้งสติ4นี้ไว้ตลอดเวลาที่ยังไม่ง่วง | ||
- | นักปราชญ์เรียกการอยู่ด้วยเมตตานี้ว่า พรหมวิหาร | ||
- | |||
- | [10] อนึ่ง ผู้แผ่เมตตาที่ไม่ยึดถือทิฏฐิ5 | ||
- | มีศีล ถึงพร้อมด้วยทัสสนะ6 | ||
- | กำจัดความยินดีในกามคุณได้แล้ว | ||
- | ก็จะไม่เกิดในครรภ์อีกต่อไป | ||
- | |||
- | ''เมตตสูตร จบ'' | ||
- | |||
- | ''ขุททกปาฐะ จบ'' | ||
- | |||
- | เชิงอรรถ : | ||
- | |||
- | 2 สันตบท หมายถึงนิพพาน (ขุ.ขุ.อ. 9/212) | ||
- | |||
- | 3 กรณียกิจ หมายถึงการศึกษาในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ตรงกันข้ามกับ อกรณียกิจ คือ สีลวิบัติ | ||
- | ทิฏฐิวิบัติ อาจารวิบัติ อาชีววิบัติ (ขุ.ขุ.อ. 9/212) | ||
- | |||
- | 4 มีกิจน้อย ในที่นี้หมายถึงไม่ขวนขวายการงานต่าง ๆ ที่จะทำให้จิตฟุ้งซ่าน ไม่พูดคุยเพ้อเจ้อ ไม่คลุกคลี | ||
- | หมู่คณะ ปล่อยวางหน้าที่รับผิดชอบงานก่อสร้าง งานบริหารคณะสงฆ์ เป็นต้น มุ่งบำเพ็ญสมณธรรมเป็น | ||
- | หลัก (ขุ.ขุ.อ. 9/216) | ||
- | |||
- | 5 มีความประพฤติเบา ในที่นี้หมายถึงมีเพียงบริขาร 8 เช่น บาตร จีวร เป็นต้น ไม่สะสมสิ่งของมากให้เป็น | ||
- | ภาระ เหมือนนกมีเพียงปีกบินไปฉะนั้น (ขุ.ขุ.อ. 9/216) | ||
- | |||
- | 6 ไม่คะนอง หมายถึงไม่คะนองกาย วาจา และใจ (ขุ.ขุ.อ. 9/217) | ||
- | |||
- | 1 หวาดสะดุ้ง หมายถึงมีตัณหาและความกลัวภัย มั่นคง หมายถึงบรรลุอรหัตตผล เพราะละตัณหาและ | ||
- | ความกลัวภัยได้ (ขุ.ขุ.อ. 9/220) | ||
- | |||
- | 2 ในที่นี้ ภูต หมายถึงพระอรหันตขีณาสพ สัมภเวสี หมายถึงพระเสขะและปุถุชนผู้ยังต้องแสวงหาที่เกิด | ||
- | ต่อไป เพราะยังละภวสังโยชน์ไม่ได้ | ||
- | |||
- | อีกนัยหนึ่ง ในกำเนิด 4 สัตว์ที่เกิดในไข่และเกิดในครรภ์ ถ้ายังไม่เจาะเปลือกไข่หรือคลอดจากครรภ์ | ||
- | ออกมา ยังเรียกว่า สัมภเวสี ต่อเมื่อเจาะเปลือกไข่หรือคลอดออกมา เรียกว่า ภูต, พวกสังเสทชะ (เกิดที่ | ||
- | ชื้นแฉะ) และพวกโอปปาติกะ (เกิดผุดขึ้น) ในขณะจิตแรก ก็เรียกว่า สัมภเวสี ตั้งแต่ขณะจิตที่ 2 เป็นต้นไป | ||
- | เรียกว่า ภูต (ขุ.ขุ.อ. 9/221) | ||
- | |||
- | 1 ชั้นบน หมายถึงอรูปภพ (ขุ.ขุ.อ. 9/223) | ||
- | |||
- | 2 ชั้นล่าง หมายถึงกามภพ (ขุ.ขุ.อ. 9/223) | ||
- | |||
- | 3 ชั้นกลาง หมายถึงรูปภพ (ขุ.ขุ.อ. 9/223) | ||
- | |||
- | 4 สติ หมายถึงเมตตาฌานัสสติ คือสติที่ประกอบด้วยเมตตาฌาน (ขุ.ขุ.อ. 9/224) | ||
- | |||
- | 5 ทิฏฐิ หมายถึงทิฏฐิที่ว่า กองแห่งสังขารล้วน ๆ จัดเป็นสัตว์ไม่ได้ (ขุ.ขุ.อ. 9/225) และดู สํ.ส. (แปล) | ||
- | 15/171/228 | ||
- | |||
- | 6 ทัสสนะ หมายถึงโสดาปัตติมัคคสัมมาทิฏฐิ ซึ่งเป็นพื้นฐานแห่งการบรรลุสกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค | ||
- | อันเป็นเหตุให้ไปเกิดในชั้นสุทธาวาส แล้วบรรลุอรหัตตผลในที่นั้น ไม่กลับมาเกิดในครรภ์อีกต่อไป (ขุ.ขุ.อ. | ||
- | 9/225) | ||